บทที่ 669 เปลี่ยนใหม่

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 669 เปลี่ยนใหม่

หลังเจอพายุฝน กว่าพื้นหญ้าจะแห้งต้องใช้เวลาหลายวัน กู้เจียวนัดกับองค์หญิงน้อยว่าอีกสามวันจะเข้าไปสอนขี่ม้าให้ พอหลังเลิกเรียน กู้เจียวก็วานให้เสี่ยวซุ่นพาเจ้าราชาม้ากลับไปก่อน จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปยังหอเทียนเซียง

เดิมทีที่นี่เคยเป็นหอนางโลมมาก่อน แต่พอเปิดได้สักพักพวกนางโลมรุ่นสาวๆ ก็ทยอยพากันออกไป เหลือแค่นางโลมรุ่นใหญ่ จนกิจการเริ่มไปต่อไม่ไหว จึงผันตัวมาเป็นโรงมหรสพแทน

แต่ก็ใช่ว่าทำแล้วจะดี การจะเชิญศิลปินให้มาเล่นที่นี่ได้ก็แสนยากเข็ญ อย่างมากก็แค่มีกลุ่มนักดนตรีสูงวัยมาเล่นดีดสีตีเป่าไปพลางๆ ทำเงินได้ไม่มากนัด

ประตูบานใหญ่ถูกซ่อมแล้วก็จริง ทว่าบรรยากาศข้างในกลับเงียบสงัด

สวีเฟิ่งเซียนเอาแต่นั่งถอนหายใจ พลางนึก หากเป็นอย่างนี้ต่อไปมีหวังได้ปิดกิจการแน่

“ฮูหยิน ท่านชายคนนั้นกลับมาอีกแล้วเจ้าค่ะ!” หยินซิ่งกระซิบบอกนาง

“ท่านชายคนไหนรึ รวยไหม” สวีเฟิ่งเซียนเอ่ยลอยๆ

“ท่านชายคนเมื่อวานที่ทำประตูพังอย่างไรเล่าจ้าคะ” หยินซิ่งบอก

สวีเฟิ่งเซียนได้ยินดังนั้นก็รีบนั่งหลังตรงแล้วจ้องไปที่ประตู ไม่นานกู้เจียวก็เดินตรงเข้ามาที่นางอย่างรวดเร็ว

สวีเฟิ่งเซียนลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบพร้อมกับรายงานสถานการณ์ “มาหาเขาใช่ไหมเจ้าคะ เขาฟื้นแล้วล่ะ อยู่ข้างบน”

เป็นเรื่องจริงที่ร่างกายของกู้เฉิงเฟิงแกร่งถึกและทนทานอย่างมาก หลังจากที่เขาได้พักฟื้นดูเหมือนว่าไข้เริ่มลดลงบ้างแล้ว

ขณะที่กู้เจียวกำลังเดินเข้าไปในห้อง ก็เห็นว่าเขาไม่ยอมทานยา

กู้เจียวเป็นคนเขียนใบสั่งยา โดยให้บ่าวรับใช้ของเทียนเซียงต้มยาให้เขา เป็นตำรับยาจีนที่สามารถรักษาอาการที่ต้นเหตุและช่วยฟื้นฟูร่างกายให้ดีขึ้นได้ อีกทั้งกู้เจียวยังกำชับให้บ่าวรับใช้คอยจับตาดูเขาตลอดตอนที่ดื่มยา

“ทำไมไม่กินล่ะ กลัวขมรึ”

กู้เฉิงเฟิงสะดุ้งเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ก่อนจะรีบคว้าถ้วยยาและยกดื่มในทันที

สาวใช้ทำหน้าตะลึงหลังจากที่เห็นเขาดื่มมันจนหมด ที่แท้ต้องให้ท่านชายออกโรงถึงจะได้ผล สาวใช้ขอให้เขาดื่มยาอยู่นานสองนานเขาก็ไม่ยอมฟัง

แต่ก็นะ ท่านชายน่ากลัวขนาดนั้น ถ้าเขาไม่เชื่อฟังมีหวังได้ถูกท่านชายเล่นงานแน่!

กู้เฉิงเฟิงกลัวกู้เจียวเล่นงานเสียเมื่อไหร่ล่ะ

กู้เฉิงเฟิงรู้สึกขมจนต้องแลบลิ้นออกมา จากนั้นเขาพิงเบาะด้านหลังแล้วเอ่ยถามกู้เจียว “เจ้ามาที่นี่ทำไม ไม่ต้องไปเรียนหรือ”

เขารู้เรื่องที่กู้เจียวมาที่นี่ในฐานะบัณฑิต

“เลิกเรียนแล้ว” กู้เจียวเดินมาที่ข้างเตียง จากนั้นหยิบกล่องปฐมพยาบาลออกมา “ทำแผลกัน”

“ข้าทำเอง” กู้เฉิงเฟิงรีบตอบโดยแทบไม่หันไปมอง

กู้เจียวชำเลืองเขาหนึ่งที วางกล่องยาลง จากนั้นจับเขากดลงบนเตียงแล้วทำแผลให้เขาอย่างรวดเร็ว

กู้เฉิงเฟิง “…”

ตอนนี้ทั้งหน้าและทั้งตัวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงราวกับไก่หมักย่าง

พอเก็บอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อย กู้เจียวไม่ถามเขาว่าทำไมถึงมาที่นี่ เรื่องบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องถามออกไป

แม้กู้เจียวไม่ถาม ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เล่า

แล้วก็เป็นแบบนั้นจริงๆ กู้เฉิงเฟิงนอนพิงหมอน กระแอมหนึ่งที แล้วรีบคว้าโอกาสอธิบายกับกู้เจียว “ข้าไม่ได้มาที่นี่เพื่อตามหาเจ้านะ! ข้ามาก็เพราะพี่ใหญ่มาที่นี่! ข้ากังวลว่าเขาจะเจออันตราย”

กู้เจียว “อ้อ”

กู้เฉิงเฟิงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเมื่อคืนเขาพูดอะไรไปบ้างตอนที่จับมือกู้เจียว “เจ้าไม่ใช่น้องสาวของข้า”

กู้เจียวร้องเอออออีกครั้ง “อืม”

แม้กู้เฉิงจะเริ่มรู้ว่าตัวเองกำลังปากไม่ตรงกับใจ แต่แล้วอย่างไรล่ะ จอมโจรอันดับหนึ่งอย่างเขาย่อมเป็นมือวางอันดับหนึ่งเรื่องการแสดงอยู่แล้ว

“กู้เหยี่ยนเล่า เป็นอย่างไรบ้าง” กู้เฉิงเฟิงถามไปงั้นๆ ไม่ได้ตั้งใจ

กู้เจียวตอบ “พ้นขีดอันตรายแล้ว เดือนหน้าทำการผ่าตัดให้เขาได้ตามคาด”

กู้เฉิงเฟิงขมวดคิ้ว “หมายความว่ายังไง ที่เจ้าบอกว่าตามคาด”

กู้เจียวตอบเขาขณะที่กำลังหยิบก้านสำลีอันสุดท้ายเก็บใส่ขวดโหล “ห้องผ่าตัดตั้งอยู่ในตำหนักของราชครู ต้องรอให้เขากลับมาถึงจะเข้าไปได้ ซึ่งน่าจะกลับมาช่วงเดือนหน้า”

“อย่างนี้นี่เอง” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยพลางผงกหัว

จากนั้น กู้เฉิงเฟิงก็ถามสารทุกข์สุกดิบของทั้งเซียวเหิง จิ้งคง และคนอื่นๆ

ปากบอกว่าไม่เป็นห่วง แต่กลับถามเสียละเอียดเชียว

“อ่ะนี่ ของเจ้า” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับยื่นห่อกระดาษที่ถูกปิดด้วยไขเทียน ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“มันคืออะไรรึ” กู้เจียวเอ่ยขณะที่รับห่อกระดาษมา

“องค์หญิงซิ่นหยางฝากมาให้น่ะ” กู้เฉิงเฟิงตอบ

ในนั้นเป็นเครื่องราง

“ให้เครื่องรางอีกแล้วรึ” กู้เจียวสงสัย

กู้เฉิงเฟิงอธิบาย “เครื่องรางนี้ทำขึ้นจากยา ปล่อยทิ้งไว้นานก็เสื่อมสภาพ เลยต้องเปลี่ยนใหม่”

กู้เจียวได้ยินดังนั้นจึงหยิบเครื่องรางที่ห้อยอยู่ที่คอขึ้นมาดู “ก็ไม่เห็นมันจะเสื่อมเลยนี่”

“รอให้มันเสื่อมสภาพแล้วค่อยเปลี่ยนเดี๋ยวก็ไม่ทันใช้หรอก” กู้เฉิงเฟิงเอ่ย

“ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า” กู้เจียวจึงถอดเครื่องรางอันเก่าออกแล้วเปลี่ยนเป็นอันใหม่แทน หลังจากสวมแล้วก็รู้สึกได้ถึงสดชื่นตรงเข้าสู่หัวใจอย่างทันที

“จะว่าไป…” กู้เฉิงเฟิงลังเลว่าจะเริ่มอย่างไรดี ถ้าองค์หญิงซิ่นหยางไม่บอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคงไม่รู้ว่ากู้เจียวมีเครื่องรางนี้อยู่

ในที่สุดกู้เฉิงเฟิงก็เข้าใจเจตนาของพี่ใหญ่ที่มาแคว้นเยี่ยน เขามาเพื่อช่วยนางนี่เอง

เขาไม่อยากให้นางเสียการควบคุมเหมือนครั้งที่ผ่านมา

แต่ดูเผินๆ …ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกตินี่นา

อาจเป็นเพราะเขาไม่เคยเห็นกับตา เลยนึกภาพไม่ออก

“จริงด้วย พี่ใหญ่ก็มาที่แคว้นเยี่ยนเหมือนกัน เจ้าเจอเขาบ้างไหม”

“ไม่เลย” กู้เจียวส่ายหัว

“พี่ใหญ่มาที่นี่กับพวกที่แข่งประลองการต่อสู้ ไม่รู้ว่าพวกเขาพาพี่ใหญ่ไปอยู่ที่ไหนใช้ชีวิตอย่างไร ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าก็มาที่ด้วยเหมือนกัน ถ้าเขารู้ต้องหาวิธีติดต่อเจ้าแน่ๆ ”

กู้เจียวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ “เขาอาจจะไม่ได้มาที่เซิ่งตูก็ได้”

“ก็จริงของเจ้า” กู้เฉิงเฟ้งเออออ

พี่ใหญ่มาที่นี่ก็เพื่อแม่เด็กนี่ แคว้นเยี่ยนกว้างใหญ่ขนาดนี้ ข้างนอกนั่นมีคนเก่งๆ ตั้งมากมาย แต่พวกระดับชั้นยอดอย่างไรก็คงหนีไม่ตำหนักราชครู

เขาต้องอยู่ที่นั่นแน่ๆ

เพียงแต่การที่จะผ่านเข้าไปยังตำหนักราชครูนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มาจากแคว้นระดับล่าง พี่ใหญ่ต้องชนะผู้แข่งขันระดับสูงให้ได้ จึงจะมีโอกาสผ่านเข้าไปได้

นี่เป็นเพียงการคาดเดาของกู้เฉิงเฟิงเท่านั้น

จะว่าไป หอเทียนเซียงแห่งนี้ก็นับว่าเป็นแหล่งกบดานที่ปลอดภัยพอสมควร เขาต้องอยู่ที่นี่อีกพักใหญ่เพื่อฟื้นฟูร่างกาย

กู้เจียวเดินออกมาจากหอเทียนเซียง

หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็รู้สึกว่ามีคนกำลังสะกดรอยตามอยู่ นี่เป็นสัญชาตญาณแบบหนึ่งที่กู้เจียวได้รับการฝึกฝนมาเป็นเวลานาน

กู้เจียวเดินเข้าไปในร้านขายเสื้อในทันที

ในร้านเต็มไปด้วยผู้คน เถ้าแก่ร้านมัวแต่ง่วนกับการขายผ้า

กู้เจียวหยิบชุดกระโปรงและผ้าคลุมหน้าจากร้าน แล้ววางเงินไว้บนโต๊ะเก็บเงิน

จากนั้นกู้เจียวเดินออกมาจากร้านในสภาพเด็กสาวที่สวมชุดกระโปรงและผ้าคลุมหน้า

คนที่สะกดรอยตามกู้เจียวยังอยู่ที่เดิม เพียงแต่สายตาของพวกเขาไม่ได้จับจ้องที่นางแล้ว

กู้เจียวจงใจเดินเข้าไปชนหนึ่งในนั้นที่สะกดรอยตามนาง

“เจ้า…” ชายคนนั้นทำท่าหัวเสีย แต่พอเห็นอีกฝ่ายเป็นแค่เด็กสาวร่างบางตัวเล็ก จึงรีบประสานมือขอโทษ “ข้าขออภัยด้วยแม่นาง”

“ไม่เป็นไร” กู้เจียวยกยิ้มมุกปาก พลางเอ่ยเบาๆ “หลีกทางให้ข้าได้หรือไม่”

ชายคนนั้นเริ่มมีอาการหน้าแดงหลังจากได้ยินเสียงใสกังวาลและนุ่มนวลสมวัยของเด็กสาว

ก่อนจะรีบหลีกทางให้

แม้ถนนตรงนั้นจะกว้างมาก แต่ใครจะกล้าปฏิเสธคำขอของสาวน้อยได้ล่ะ

กู้เจียวเดินห่างจากตรงนั้นไปไกลแล้ว ทว่ามือสังหารสองคนนั้นยังคงจับตามองที่ร้านขายเสื้อ

“เหตุใดถึงยังไม่ออกมาอีกนะ” มือสังหารนายหนึ่งพึมพำ

“หรือว่ามันออกไปแล้ว” สหายอีกคนสงสัย

“เป็นไปได้อย่างไร ร้านนี้มีทางเข้าออกทางเดียว! พวกเราจับตาดูแม้กระทั่งหน้าต่างร้าน! ก็ไม่เห็นว่ามันจะเดินออกมาเลย!” มือสังหารเอ่ย

“หรือว่าเจ้านั่นปลอมตัวออกไปแล้ว” เพื่อนอีกคนออกความเห็น

“มีคนเดินเข้าไปในร้านสิบสามคน ออกมาจากร้านห้าคน ในห้าคนที่ว่ามีสตรีครรภ์หนึ่งคน เด็กสองคน คนชราหนึ่งคน แล้วก็เด็กสาวที่เดินชนเราเมื่อครู่นี้อีกคน เจ้าว่ามันปลอมตัวเป็นใครกันล่ะ!” มือสังหารเอ่ย

สี่คนแรกที่พูดถึงเป็นครอบครัวเดียวกัน จึงไม่น่าจะใช่

ส่วนเด็กสาวเสียงหวานขนาดนั้นคงไม่ใช่แน่ๆ !

“เอาละ เข้าไปดูในร้านดีกว่า!” สหายขมวดคิ้ว

ทั้งสองเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าและค้นหาทุกมุม แต่ก็ไม่เจอ

“นี่มันมีปีกหรืออย่างไร” สหายสับสน

“ไอ้หยา! กระเป๋าข้าหายไปแล้ว!” มือสังหารเอ่ยขณะที่มือคลำไปที่เอว

ตัดภาพมาที่ถนนอันไร้ซึ่งผู้คนพลุกพล่าน กู้เจียวเดินเลี้ยวขวาเข้าไปยังตรอกเงียบๆ แห่งหนึ่ง ระหว่างที่เดินอยู่ก็ถอดผ้าคลุมหน้าและเสื้อคลุมออก

กู้เจียวชำเลืองกระเป๋าที่อยู่ในมือ พอเปิดออก ก็เจอกับตราประจำตระกูล

“ตระกูลหันรึ”

กู้เจียวยกยิ้มมุมปากเบาๆ เดินออกจากตรอก แล้วโยนตรานั้นลงในคูน้ำ

ในกระเป๋ายังมีเศษเงินและทองก้อน กู้เจียวเทมันออกมาทั้งหมดแล้วโยนกระเป๋าทิ้งไป