บทที่ 668 รัวหมัด

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 668 รัวหมัด

ทหารคุ้มกันประจำตระกูลที่มาวันนี้มีทั้งหมดหกนายด้วยกัน แม้พวกเขาจะไม่แกร่งเท่าหน่วยสังหารแต่ก็ช่ำชองการต่อสู้ไม่น้อย ทว่าจนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาเผชิญหน้ากับกู้เจียวเลยแม้แต่คนเดียว

ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะกู้เจียวลงมือเร็วเกินไป หรือพวกเขารู้สึกได้ถึงรังสีอันน่าสะพรึงที่แผ่ซ่านออกมา

หันเช่อร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวด

พอพวกทหารเริ่มได้สติก็ส่งสัญญาณให้กันแล้วพุ่งตัวเข้ามาทางกู้เจียว

กู้เจียวอาจมีลังเลบ้างหากพวกเขาเป็นองครักษ์หลงอิ่ง แต่ที่แน่ๆ กู้เจียวไม่ยอมอ่อนข้อให้คนพวกนี้เด็ดขาด

หลังจากสู้รบปรบมือด้วยกระบวนท่าต่างๆ ไม่นานพวกทหารก็เริ่มกระอักเลือด

พวกเขาล้มลงทีละคนต่อหน้าต่อตาหันเช่อ ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตาของเขา!

แต่พอมาคิดแล้ว ก็ไม่แปลกที่ภาพการณ์จะออกมาเช่นนี้

ด้วยความที่หันเช่อฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่ยังเด็ก ฝีมือของเขาเรียกได้ว่าโดดเด่นกว่าใครเพื่อนในบรรดาท่านชายจากตระกูลชนชั้นสูง ทว่าเขากลับรับมือแรงโจมตีจากเซียวลิ่วหลังแทบไม่ได้เลย

นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

เหตุใดคนจากแคว้นเล็กๆ อย่างเขาถึงได้ทรงพลังเช่นนี้

หากจะพูดกันตามเนื้อผ้า เป็นเพราะหันเช่อและทหารของเขาขาดประสบการณ์ในการต่อสู้กับศัตรูเองต่างหาก

ด้วยความที่เขาเป็นท่านชายจากตระกูลขุนนาง แทบไม่เคยเจอเหตุการณ์อันตราย อีกทั้งคนที่บิดาส่งมาคุ้มกันให้เขาก็ไม่ใช่คนที่เคยมีประวัติโชกโชนแต่อย่างใด

กลับกัน ถ้าคนที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่หันเช่อ แต่เป็นท่านชายใหญ่ตระกูลหันกับคนสนิทของเขา ก็อาจรับมือได้ยากกว่าตอนนี้

พอจัดการพวกทหารเสร็จ กู้เจียวก็หันมาเตะหันเช่อซ้ำอีกครั้ง

คนอะไรโหดเหี้ยมทารุณปานนี้

“อย่านะ เจ้า อ๊ากกก…”

มาร้องอะไรตอนนี้

นางละเกลียดนัก พวกชอบโวยวาย

ฮันเช่อถูกซัดน่วมจนชักจะสงสัยในโชคชะตา

ตอนนี้เขารู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจว่ากู้เจียวไม่ได้โกหกและแทบไม่เห็นหัวตระกูลหันเลยแม้แต่นิด เขาไม่เข้าใจว่าคนจากแคว้นระดับล่างเอาความมั่นใจแบบนี้มาจากไหน ถึงคิดจะต่อกรกับตระกูลดังของแคว้นระดับบน

ขนาดคนอื่นๆ ยังไม่มีโอกาสจะเข้ามาเลียเท้าเขาด้วยซ้ำ!

ณ ห้องหมิงซินถัง มู่ชิงเฉินนั่งรอใครบางคนมาพักใหญ่แล้ว

ปกติเขามาเข้าเรียนสายเรียกได้ว่ารั้งท้ายแทบจะทุกครั้ง

ขณะที่กู้เจียวกลับกัน คือมาเข้าเรียนเช้า ไม่เคยสาย ไม่เคยโดดเรียน ไม่เคยไม่ส่งการบ้าน จะติดก็แค่ไม่ตั้งใจเรียน

ทุกครั้ง กู้เจียวจะมาถึงห้องก่อนเขาเสมอ แต่วันนี้กลับไม่เจอแม้แต่เงา

มีเพียงแค่กระเป๋าของนางที่กู้เสี่ยวซุ่นนำมาวางไว้

มู่ชิงเฉินขมวดคิ้วแน่น ก่อนจะชะเง้อไปมองที่ประตูหลัง

ซึ่งเป็นช่วงที่อาจารย์เจียงกำลังเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับคัมภีร์ ‘หลุนอวี่’

“วันนี้ พวกเราจะเรียน…”

อาจารย์เจียงยังไม่ทันเอ่ยจบ ทันใดนั้นร่างเล็กเดินเข้าประตูหลังมาอย่างห้าวหาญ ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างมู่ชิงเฉิน

ซ้ำยังเนียนหยิบหนังสือที่อยู่บนโต๊ะของมู่ชิงเฉินไปด้วย

อาจารย์เจียงที่เห็นว่าโต๊ะของมู่ชิงเฉินว่างเปล่าก็ถึงกับย่นคิ้วแน่น “มู่ชิงเฉิน หนังสือล่ะ”

มู่ชิงเฉินเลิกมุมปากขึ้น

กู้เจียวแกล้งทำเป็นคืนหนังสือให้เขา “เดี๋ยวข้าให้ยืมนะ เนี่ย โชคดีจริงๆ ที่ข้าเอาหนังสือมาสองเล่ม”

พูดจบก็หยิบหนังสือของตัวเองออกมาจากกระเป๋า

มู่ชิงเฉิน “…”

อาจารย์เจียงส่งสายตาตักเตือนให้มู่ชิงเฉินหนึ่งที

มู่ชิงเฉินรู้อยู่นานแล้วว่าเพื่อนร่วมห้องเขาคนนี้เป็นหน้าหนา แต่ก็คาดไม่ถึงว่าจะร้ายถึงขนาดนี้ ไม่รู้ว่าควรจะด่ากลับไปอย่างไรดี

เสียงท่องตำราของทุกคนดังขึ้น โดยมีอาจารย์เจียงเป็นผู้อ่านนำ แล้วให้บัณฑิตอ่านตาม

หลังจากอ่านจบ อาจารย์เจียงก็จะอธิบายความหมายของแต่ละท่อน

“ไปไหนมาเมื่อครู่นี้” มู่ชิงเฉินหันไปกระซิบถาม

กู้เจียวพลิกหนังสือแล้วกระซิบตอบ “ไปเจอคนรู้จักมา ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันน่ะ”

มู่ชิงเฉินขมวดคิ้ว สารทุกข์สุกดิบกันอะไรกัน เหตุใดคำพูดเหล่านี้ฟังดูแปลกชอบกล

“เจ้าไม่ได้หาเรื่องใครใช่ไหม”

“ข้าเปล่า”

มีแต่คนอื่นต่างหากที่มาหาเรื่องนาง

ขณะเดียวกัน หลังจากหันเช่อถูกกู้เจียว ‘ทักทายอย่างเป็นมิตร’ แล้วเขาก็ถูกพาส่งกลับที่จวนตระกูลหัน

เนื้อตัวฮันเช่อเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำจนทุกคนในจวนที่เห็นแทบไม่มีใครจำเขาได้

บ่าวรับใช้ไปตามหมอพร้อมทั้งรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นให้ใต้เท้าหันทราบ

ใต้เท้าหันและหันชื่อจื่อกำลังรับแขกอยู่ที่ห้องโถง ใต้เท้าเลยวานให้หันชื่อจื่อไปช่วยดูก่อน

ฮันเช่อนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงหลังจากที่บ่าวรับใช้ช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อ ขนาดตอนเปลี่ยนเสื้อเขายังรู้สึกเจ็บเจียนตาย

พอหันชื่อจื่อ หรือท่านชายใหญ่แห่งตระกูลหันเดินเข้าไปในห้อง ก็เจอกับน้องชายของเขานอนอยู่บนเตียงด้วยความเจ็บปวดและบ่าวก็ยืนทำอะไรไม่ถูก

“ชื่อจื่อ!” พวกบ่าวรับใช้รีบโค้งคำนับให้ท่านชายใหญ่ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” หันชื่อจื่อเดินมาที่ข้างเตียงพร้อมกับสีหน้าบึ้งตึง

หันเช่อรู้สึกสมเพชตัวเองที่พี่ใหญ่ต้องมาเห็นเขาในสภาพนี้ เขายื่นมือที่บวมช้ำแล้วคว้าชายเสื้อของพี่ใหญ่ไว้ “มีคนรังแกข้า…”

“ไหนเจ้าว่ามาซิ” หันชื่อจื่อเอ่ย

แล้วหันเช่อก็เริ่มบีบน้ำตาพร้อมกับเล่าเรื่องอย่างใส่ไข่ใส่สี “…ข้าก็แค่เห็นท่านหมิงจวิ้นอ๋องไม่พอใจ เลยตั้งใจไปหาเขาเพื่อที่จะลองโน้มน้าวดู และขอให้เขาอย่าเป็นศัตรูกับหมิงจวิ้นอ๋อง แต่ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ เขาก็มาลงกับข้า…แถมยังมีหน้ามาถามว่าคนของตระกูลหันเก่งมาจากไหนด้วย ดูสิพี่ใหญ่! เจ้านั่นไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาเลยสักนิด! คนจากแคว้นระดับล่างคงไม่กล้าทำอะไรบ้าระห่ำเช่นนี้หรอก เรื่องนี้ต้องมีมู่ชิงเฉินอยู่เบื้องหลังแน่ๆ !”

ความขัดแย้งระหว่างสองตระกูลมีมานานก็จริง จนหันเช่ออดคิดไม่ได้ว่าเรื่องนี้มู่ชิงเฉินต้องมีเอี่ยวแน่นอน

“เจ้าก็อย่าเพิ่งรีบด่วนตัดสินแล้วโยนความผิดให้มู่ชิงเฉินอย่างเดียว ถ้าเขาจะจัดการเจ้าจริงๆ คงไม่ใช้วิธียุ่งยากแบบนี้หรอก” หันชื่อจื่อจ้องเขม็งอย่างเข้มงวดใส่น้องชาย

“เจ้านั่นมันท้าทายตระกูลหัน! มันแทบไม่ไว้หน้าตระกูลพวกเราเลยนะพี่ใหญ่!” หันเช่อโต้กลับพร้อมบันดาลโทสะ

หันชื่อจื่อหรี่ตาลงพร้อมกับชำเลืองสำรวจหนึ่งที พลางเอ่ย “ยังมีแรงโมโหอยู่นี่นา แสดงว่าไม่ได้โดนเล่นหนักสินะ”

“ไม่หนักได้อย่างไรเล่า ข้าเกือบตายรู้ไหม ข้าไม่มีสิทธิ์โกรธรึไง!”

หันเช่อรู้สึกอัปยศอดสูอย่างมาก เขาถูกเซียวลิ่วหลังเล่นงานปางตาย จนเขาอดสงสัยไม่ได้ว่าอีกฝ่ายแค้นเขาเรื่องอะไรกันแน่

“ดูที่มันทำข้าสิ อย่างกับข้าเป็นสนามอารมณ์ของมัน!” หันเช่อโอดครวญ

หันชื่อจื่อเอามือไพล่หลังเอ่ย “ข้าบอกแล้วว่าอย่าไปคบพวกคนพาล เรื่องชกต่อยก็เพลาๆ เสียบ้าง ข้าบอกกี่ครั้งกี่หนเจ้าก็ทำเป็นหูทวนลม เรื่องนี้ก็ให้เป็นบทเรียนของเจ้าแล้วกัน ดูสิวันข้างหน้าเจ้าจะกล้ามีเรื่องกับใครอีกไหม”

หันเช่อแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง จึงโต้กลับ “พี่ใหญ่พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร! จะไม่แก้แค้นให้ข้าหน่อยหรือ ปล่อยให้คนเป็นน้องถูกคนอื่นทำร้ายย่ำยีแบบนี้น่ะหรือ”

แม้ตระกูลหันจะมีบุตรชายมากมาย แต่คนที่เป็นทายาทโดยชอบธรรมมีเพียงแค่หันชื่อจื่อและหันเช่อเพียงสองคน

พวกเขาเติบโตมาพร้อมกับความคาดหวังของคนในตระกูล จึงถูกเลี้ยงดูอย่างเข้มงวด เพียงแต่หากเทียบกันแล้ว หันชื่อจื่อเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นกว่า อีกทั้งมีนิสัยที่สุขุมกว่า

เมื่อได้ยินน้องชายพเอ่ยออกมาแบบนั้น นัยน์ตาของหันชื่อจื่อเริ่มฉายแววเย็นเยียบทันที “เจ้าเป็นฝ่ายกลั่นแกล้งเขาก่อน นอกจากจะทำไม่สำเร็จ ซ้ำยังถูกอีกฝ่ายเล่นงานกลับ ยังมีหน้ามาขอให้ข้าช่วยแก้แค้นให้อีกรึ”

หันเช่อถึงกับพูดไม่ออก

คนพี่กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้างและเย็นชา “ขนาดคนจากแคว้นระดับล่างยังเอาชนะไม่ได้ ถ้าข้าเป็นเจ้า คงรีบหาอะไรมาคลุมหัวแล้ว!”

คราวนี้หันเช่อหมดคำจะพูดจริงๆ

พี่ชายตระกูลอื่นเขามีแต่ออกโรงช่วยเหลือน้อง แต่พี่ชายของเขากลับไม่เคยช่วยเลยสักครั้ง

บางทีหันเช่อก็นึกสงสัยว่าเขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขาหรือไม่! ถ้าไม่ติดว่าใบหน้าของพวกเขาคล้ายกัน

หันเช่อเบือนหน้าลงแล้วกำหมัดแน่น

หันชื่อจื่อชำเลืองคนน้องด้วยสายตาที่เย็นชาอีกหนึ่งที ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

“ชื่อจื่อขอรับ”

หลังเดินออกจากห้อง คนสนิทของหันชื่อจื่อก็ปรากฏกายขึ้น

“ได้เรื่องอะไรบ้าง”

“หลังจากข้าน้อยได้สอบถามคนแวดล้อมของท่านชายรอง ยืนยันได้ขอรับว่าคนที่ลงมือเป็นบัณฑิตของเทียนฉงจริงๆ เรื่องมีอยู่ว่าท่านชายรองถูกใจม้าของบัณฑิตคนนั้น แต่ติดที่ว่าบัณฑิตคนนั้นเป็นสหายของท่านชายมู่ชิงเฉิน จึงขอให้หมิงจวิ้นอ๋องออกโรงแทน หมิงจวิ้นอ๋องเองก็ทรงชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจ พอทราบเรื่องเข้าก็อยากได้เจ้ามาตัวนั้นมาครอบครองเช่นกัน พวเขาจึงเดินทางไปที่สำนักบัณฑิตเพื่อขอซื้อม้าตัวนั้น แต่ระหว่างนั้นองค์หญิงน้อยก็ทรงปรากฏตัวกะทันหัน กระทั่งองค์หญิงน้อยและหมิงจวิ้นอ๋องมีปากเสียงกันจนหมิงจวิ้นอ๋องถูกองค์หญิงน้อยต่อว่าและทำให้อับอายท่ามกลางผู้คน หมิงจวิ้นอ๋องทรงรู้สึกละอายใจอย่างมากจึงระบายความโกรธกับท่านชายรอง แล้ววันนี้ ท่านชายรองก็ได้ไปที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงเพื่อขอซื้อม้า…”

“แล้วก็ไปแก้แค้นด้วยสินะ” หันชื่อจื่อเติมประโยคที่ทหารคนสนิทไม่กล้าเอ่ย “ก็เล่นไปหาเรื่องแบบนั้น ไม่แปลกที่จะถูกเล่นงานกลับ”

ทหารคนสนิทไม่กล้าพูดถึงท่านชายรองในแง่ลบ

หันชื่อจื่อกล่าวต่อ “แต่บัณฑิตคนนั้นก็ทำแรงเกินไปหน่อย อย่างน้อยหันเช่อก็เป็นทายาทของตระกูลหัน สิ่งที่เขาทำเป็นการหยามเกียรติตระกูลหัน”

พอนึกถึงสภาพบาดแผลและรอยฟกช้ำบนเนื้อตัวของน้องชายเขา หันชื่อจื่อก็ย่นคิ้วลงทันที