บทที่ 667 ความโกรธของเจียวเจียว

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 667 ความโกรธของเจียวเจียว

กู้เจียวหันไปตอบเขาด้วยเสียงเดิมของนาง

แม้ตาเขาจะมองไม่เห็น อย่างน้อยหูเขาก็ยังได้ยิน

สวีเฟิ่งเซียนที่กำลังเทน้ำชาอยู่ข้างๆ พอได้ยินเสียงเด็กสาวดังขึ้นก็ถึงกับขนลุกซู่และรีบหันไปทางเด็กหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตา!

“เตรียมน้ำร้อนให้ด้วย” กู้เจียวกลับมาใช้น้ำเสียงเด็กหนุ่มอีกครั้ง

สวีเฟิ่งเซียนปาดเหงื่อบนหน้าผากพลางนึก นี่เราตกใจไปเองรึ เห็นๆ อยู่ว่าเขาเป็นเด็กผู้ชาย ไยถึงได้ยินเป็นเสียงเด็กผู้หญิงไปได้

ถ้าเป็นเด็กผู้หญิงจริงคงจะไม่น่ากลัวขนาดนี้กระมัง

อาการบาดเจ็บของกู้เฉิงเฟิงเรียกได้ว่าสาหัส ทั้งแผลกระแทกพื้นตอนเป็นลม ไหนจะรอยเฉือนจากของมีคมตอนต่อสู้กับคนอื่น ที่แย่ไปกว่านั้นคือแผลของเขามีแต่ซากดินโคลนเปื้อนเต็มไปหมดจนเริ่มเป็นหนอง

ในระหว่างขั้นตอนการทำความสะอาดแผล จะต้องเปิดผิวหนังและเนื้อออก

กู้เจียวทำทุกอย่างด้วยความใจเย็น

ส่วนสวีเฟิ่งเซียนที่กำลังนั่งดูอยู่ข้างๆ ถึงกับลมแทบจับ

เจ้าประคุณรุนช่องเอ๊ย! คงทรมานน่าดู

พ่อหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดมือไม้ถึงได้น่ากลัวเช่นนี้ นี่กำลังช่วยเหลือหรือซ้ำเติมกันแน่! ตอนตัวเองทำโทษบ่าวในร้านยังไม่ลงไม้ลงมือหนักเท่านี้เลย

“ไม่ต้องล้างแผลให้ข้าหรอก” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างอ่อนแรง “มันไม่น่าดูเท่าไหร่”

“แผลที่น่าเกลียดกว่านี้ข้าก็เคยเห็นมาแล้ว” กู้เจียวกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ

นอกจากแผลใหม่ที่เกิดขึ้นในวันนี้แล้ว เนื้อตัวของเขายังมีแผลเก่าหลงเหลืออยู่มากมาย เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมาเขาต้องพบเจอกับความสาหัสสากรรจ์มากเพียงใด

“ฝีมือพวกตระกูลหันรึ” กู้เจียวถามเขา

แม้น้ำเสียงจะฟังดูสงบ แต่ก็สัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตที่พุ่งพล่านออกมา

แม้แต่สวีเฟิ่งเซียนที่กำลังเดินถือถ้วยน้ำร้อนเข้ามาข้างในยังรู้สึกได้

ด้วยความที่อายุเยอะแล้ว อีกทั้งอยู่ในแวดวงนี้มาหลายปีและได้พบเจอคนหลายประเภท กลับไม่เคยเจอใครที่อายุน้อยขนาดนี้แล้วแผ่รังสีอำมหิตได้น่าขนลุกเช่นเด็กหนุ่มคนนี้มาก่อน

“ท่านชายน้อยต้องการอะไรอีกไหมเจ้าคะ” สวีเฟิ่งเซียนถามขึ้นหลังจากวางถ้วยน้ำร้อนลงที่โต๊ะข้างเตียง

“ทำข้าวต้มให้ที” กู้เจียวเอ่ย

“เจ้าค่ะ!” สวีเฟิ่งเซียนน้อมรับคำสั่ง จากนั้นนางก็ไปสั่งหยินซิ่งอีกที

หลังจากยกภูเขาก้อนใหญ่ออกจากอก ความผ่อนคลายบังเกิด ทำให้เข้าสู่ภาวะง่วงได้ง่ายขึ้น

ขณะกู้เฉิงเฟิงกำลังจะหลับ จู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนดึงกางเกงของเขาออก เขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและคว้าเข็มขัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว “นี่เจ้าจะทำอะไร”

“เจ้ามีแผลที่ขา” กู้เจียวเอ่ยขณะเห็นว่าขาเขามีเลือดซึมออกมา

“อย่า…ข้าไม่ให้ดู…” กู้เฉิงเฟิงพยายามห้ามไว้

“ข้าไม่ล้องูน้อยของเจ้าหรอก!”

กู้เฉิงเฟิง “…!!”

นี่นางกล้าพาดพิงงูของเขาเรอะ!

งูของเขาเป็นงูยักษ์ชัดๆ !

แล้วก็นะ!

เด็กผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเขาพูดจากันแบบนี้!

กู้เฉิงเฟิงโมโหจัดจนสลบไปทันที

สวี่เฟิงเซียน “เอ่อ…”

นี่เขาหลับหรือโกรธจนเป็นลมกันนะ

เดชะบุญที่กู้เจียวถอดกางเกงเขาออก เพราะที่ต้นขาของเขารอยแผลที่ลึกมากจนต้องเย็บถึงเจ็ดเข็ม

หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บทั้งหมดเสร็จ ข้าวต้มในครัวก็ทำเสร็จพอดี ทว่ากู้เฉิงเฟิงหลับไปแล้ว กู้เจียวไม่ได้ปลุกเขา นางกินข้าวต้มไปนิดหน่อย

กู้เจียวไม่ได้รู้สึกหิว

เพียงแต่ไม่อยากให้เสียของ

หลังผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สวีเฟิ่งเซียนเองก็คิดว่าตัวเองควรจะกินข้าวต้มเพื่อสงบสติอารมณ์สักหน่อย

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว…ข้าขอกลับไปที่ห้องก่อน” นางเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ช้าก่อน ข้ามีคำถาม” กู้เจียวเอ่ยพร้อมกับวางชามข้าวต้มลงบนโต๊ะ

สวีเฟิ่งเซียนรีบหันกลับมาแล้วยิ้มเจื่อนให้ “เจ้าค่ะ! ท่านชายน้อย มีคำถามอะไรหรือเจ้าคะ!”

“ตระกูลหันที่มาวันนี้ ใช้ตระกูลของหันเช่อหรือไม่” กู้เจียวถาม

หันเช่อ

สวีเฟิ่งเซียนเหม่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนระลึกได้ว่าท่านชายรองของตระกูลหันมีนามว่าหันเช่อ

นางรีบพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่แล้วเจ้าค่ะ!”

“เหตุใดพวกเขาถึงตามล่าหาตัวทาสอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้” กู้เจียวสงสัย

“ท่านคงไม่รู้สินะเจ้าคะ ว่าเขาไม่ใช่ทาสแรงงานทั่วไป…” สวีเฟิ่งเซียนพูดไปสักพักก็ลืมตัวและเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าพวกเขาสนิทกัน จึงรีบเปลี่ยนท่าที “พวกทหารที่เข้ามาเมื่อครู่นี้ ดูจากการแต่งกายของพวกเขาน่าจะเป็นคนของเหมืองตะกูลหัน กฎของที่นั่นเข้มงวดมาก ใครก็ตามที่หลบหนีจะต้องถูกจับและถูกประหาร และเป็นวิธีที่ตระกูลหันใช้เพื่อข่มขู่บ่าวไพร่ด้วย”

“สหายของท่านโชคดีมากที่รอดมาได้ เหมืองของตระกูลหันไม่ใช่ที่สำหรับมนุษย์ มีเพียงนักโทษประหารเท่านั้นที่ถูกส่งไปที่นั่น หรือไม่ก็เป็นพวกทาสที่เขาซื้อขายกันทั่วไป พวกเขาทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ไม่มีใครจะรักษาพวกเขาเมื่อพวกเขาป่วยหรือบาดเจ็บ เพราะเงินค่ารักษาเพียงพอที่จะซื้อทาสใหม่ เวลามีทาสเจ็บป่วยพวกเขาจึงผลักภาระด้วยการโยนพวกเขาลงจากภูเขา”

นัยน์ตาของกู้เจียวฉายแววกราดเกรี้ยวขึ้นมาในบัดดล

สวีเฟิ่งเซียนพยายามโน้มน้าว “ท่านชายอย่าเพิ่งใจร้อนไป พวกตระกูลหันไม่ใช่คนที่ท่านจะรับมือได้ง่ายๆ นะเจ้าคะ”

“จะขนาดไหนเชียว” กู้เจียวเอ่ย

“ตระกูลหันเป็นญาติฝั่งแม่ขององค์รัชทายาททั้งยังทรงอิทธิพล แม้ว่าตระกูลของพวกเขาจะไม่ได้อันดับหนึ่ง แต่การจัดอันดับก็เป็นเรื่องสมมติเท่านั้น ตระกูลพวกเขามีกำลังทหารที่ทรงพลังมาก พวกเขามีกองทัพอัศวินดำซึ่งรับช่วงต่อมาจากตระกูลเซวียนหยวนและเป็นกองทัพทหารม้าที่ทรงพลังที่สุดในแคว้น ท่านชายน้อยยังเด็กนัก อาจยังไม่ทราบถึงอำนาจของพวกเขา ม้าศึกของท่านชายใหญ่หันเป็นม้าในตำนานที่พันปีจะปรากฏมาครั้งนึง มันทรงพลังถึงขั้นสู้กับเสือหรือหมาป่าได้ มีแค่ตัวเดียวเท่านั้น และไม่มีม้าตัวไหนทัดเทียมได้!”

“กรี๊ดด…”

เสียงร้องของหยินซิ่งดังขึ้น

ปรากฏเป็นราชาม้าที่กำลังเล่นน้ำขังอย่างเพลิดเพลินจนเผลอทำน้ำกระเด็นใส่หยินซิ่งที่กำลังเดินผ่านพอดี

พอเอ่ยถึงทาส สายตากู้เจียวก็จับจ้องไปที่แผลที่ถูกทาบด้วยเหล็กร้อนตรงขาของกู้เฉิงเฟิง

ผิวหนังของเขาพองเหวอะจนแทบดูไม่ได้ และสภาพของมันย่ำแย่กว่าแผลอื่นๆ ที่อยู่บนร่างของเขา

“พวกเขาจะเลิกตามล่าเขาเมื่อไหร่” กู้เจียวถาม

เป็นคำถามที่ประหลาดเสียจนสวีเฟิ่งเซียนไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็ต้องตอบ “พวกเขาไม่เลิกตามล่าเขาแน่นอน ใครที่แอบหนีออกมาล้วนถูกจับได้ทุกคน ทุกวันนี้จึงไม่มีทาสคนไหนกล้าหลบหนีออกมาอย่างไรเล่าเจ้าคะ เกรงว่าสหายของท่านน่าจะเป็นคนแรกในรอบปีที่หนีออกมาได้ ตอนท่านพาเขาออกไปก็ระวังตัวด้วยแล้วกัน”

กู้เจียวหรี่ตาลง “ใครบอกว่าข้าจะพาเขาออกไป”ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“ท่านว่าอย่างไรนะ” สวีเฟิ่งเซียนฉงน

“เขาซ่อนตัวได้นานเท่าไหร่ ชีวิตของเจ้าก็ยืนยาวเท่านั้น” กู้เจียวเอ่ยกับสวีเฟิ่งเซียน

สวีเฟิ่งเซียน “…?!”

นี่เขากำลังขู่ข้าอย่างนั้นรึ

ต้องช่วยพ่อหนุ่มคนนี้หลบหนีพวกตระกูลหันต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นรึ

“ขะ ข้า ข้าขอเตือนท่านไว้เลยนะ…” สวีเฟิ่งเซียนติดอ่าง

“คนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง คนแข็งแกร่งกลัวคนใช้กำลัง และคนใช้กำลังก็กลัวคนบ้าระห่ำ เจ้าคิดว่าข้าเป็นแบบไหนละ” กู้เจียวเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้านิ่งอันนิ่งเฉย

สวีเฟิ่งเซียนถึงกับพูดไม่ออก

กู้เฉิงเฟิงมีไข้สูงตลอดทั้งคืน กู้เจียวคอยเฝ้าเขาอยู่หน้าเตียงไม่ห่าง

เช้ามืดวันถัดมา กู้เจียวนั่งรถม้าไปที่สำนักบัณฑิต

พอมาถึง ก็เจอกับกู้เสี่ยวซุ่นที่หน้าประตู

กู้เสี่ยซุ่นสะพายกระเป๋าแล้ววิ่งมาทางกู้เจียว “เมื่อคืนไปค้างที่ตำนักองค์หญิงน้อยมารึ”

“ข้าเปล่า” กู้เจียวมองไปรอบๆ ที่นี่ไม่ใช่จุดปลอดภัยเท่าใดนัก “ไว้ค่อยคุยกัน”

“อ้อ” กู้เจียวรับคำ

ตอนแรกกู้เจียวคิดไว้ว่าจะให้ราชาม้าอยู่ที่สำนักบัณฑิตก่อนแล้วค่อยพากลับไปตอนกลางคืน แต่ทันใดนั้นก็มีคนเรียกนาง “ท่านชายเซียวลิ่วหลังใช่หรือไม่ขอรับ ท่านชายของข้าน้อยต้องการพบท่านขอรับ!”

“ไม่ไป” กู้เจียวปฏิเสธทันที

“ท่านชายตระกูลหันนะขอรับ” นายทหารผู้นั้นเอ่ย

กู้เจียวหยุดฝีเท้าลง ก่อนจะหันไปกำชับเสี่ยวซุ่น “เดี๋ยวเจ้าเข้าไปก่อนนะ กระเป๋าหนังสือของข้าอยู่ในรถม้า ฝากเอาไปวางในห้องหมิงซินถังด้วยล่ะ”

“ได้เลย” กู้เสี่ยวซุ่นรับปากแล้วจูงสายเจ้าม้าเดินออกไป

“พาไปสิ” กู้เจียวหันไปพูดกับทหารหนุ่ม

แล้วเขาก็พากู้เจียวไปยังตรอกข้างๆ

ก็เจอกับหันเช่อที่มายืนรออยู่พักใหญ่แล้ว พร้อมด้วยทหารคุ้มกันประจำตระกูลมากนาย

เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มาดีแน่ๆ

จะเป็นเรื่องอะไรเสียอีก นอกจากเรื่องราชาม้า

แผนครั้งก่อนที่เขาให้หมิงจวิ้นอ๋องช่วยเหลือดันล่มไม่เป็นท่าเพราะองค์หญิงน้อย กลายเป็นว่าหมิงจวิ้นอ๋องเอาแต่กล่าวโทษเขาที่ไม่ดูลาดเลาให้ดี ทำให้เขาอับอายต่อหน้าผู้คน

แล้วมันใช่ความผิดเขารึ

เป็นหมิงจวิ้นอ๋องทำตัวเองทั้งนั้น

แน่นอนว่าหันเช่อไม่กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าหมิงจวิ้นอ๋อง

หลังจากเกิดเรื่องเขาก็แทบนอนไม่หลับ จิตใจกระวนกระวายอยากได้ราชาม้ามาครอบครองใจจะขาด

แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล

ต้องใช้ไม้อ่อนก่อน ค่อยตามด้วยไม้แข็ง

“เซียวลิ่วหลัง ข้าขอพูดตรงๆ เลยนะ ข้าอยากได้ม้าของเจ้า เสนอราคามาได้เลย!”

กู้เจียวมองเขาด้วยสายตาเยียบเย็น

“เจ้ามองข้าแบบนั้นด้วยเหตุใด คิดหรือว่าคนอย่างเจ้ามีปัญญาได้กระทบไหล่กับทายาทตระกูลหันอย่างข้า บุญของเจ้าแล้วที่ข้าถูกใจม้าของเจ้า”

กู้เจียวยังคงจ้องเขาอยู่แบบนั้น

หันเช่อไม่ชอบสายตานั้นเอาเสียเลย ราวกับกำลังถูกหมาป่าจ้องขย้ำ จึงรีบโต้กลับอย่างไม่สบอารมณ์ “เซียวลิ่วหลัง! คิดหรือว่าคนอย่างเจ้าจะมีคนหนุนหลังให้! องค์หญิงน้อยยังเด็กนัก ถ้าฝ่าบาทและท่านเยี่ยนซานจวินรู้เรื่องที่เจ้าหลอกใช้นาง อย่าหวังเลยว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปได้! แต่หากเจ้ายอมขายม้าให้ข้าตอนนี้ และคุกเข่าอ้อนวอนข้า ข้าอาจจะใจอ่อนหากเจ้ายอมเลียเท้าข้า แล้วข้าจะให้ตระกูลหันพิจารณา…”

ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ กู้เจียวยกเท้าขึ้นฟ้าแล้วถีบอย่างสุดแรง!

ยังไม่พอ กู้เจียวขยี้เท้าลงบนอกของหันเช่อด้วยรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาราวกับยมทูต “พวกตระกูลหัน เก่งมาจากไหนกัน”