บทที่ 666 รู้จัก (2)
“จับมันอ้าปาก”
ฮูหยินสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา
บ่าวใช้มือพยายามแงะปากของกู้เฉิงเฟิงให้อ้าออก
ฮูหยินเปิดขวดยาออก ทำท่าจะเทยาใส่เข้าไปในปากของเขา
ทันใดนั้น กู้เฉิงเฟิงยกขาขึ้นพรวดแล้วถีบร่างของฮูหยินจนกระเด็น รวมถึงสลัดร่างของจากบ่าวทั้งสองคนได้ เขาลุกขึ้นแล้วรีบมุ่งหน้าไปยังประตู
ฮูหยินเอามือกุมท้องพร้อมกับกัดฟันแน่ “นี่มันถิ่นของข้า คิดหรือว่าเจ้าจะหนีพ้น! จ้าวซื่อ!”
สิ้นเสียงคำสั่ง มือสังหารในชุดดำก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วผลักกู้เฉิงเฟิงล้มลงกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว!
กู้เฉิงเฟิงเจ็บร้าวไปทั่วอกจนกระอักเลือด
จ้าวซื่อคว้าคอเสื้อเขาขึ้นมาแล้วยกร่างเขาขึ้นจากพื้น ก่อนจะใช้มืออีกข้างยกกำปั้นขึ้นฟ้า เล็งไปที่หน้าของเขา!
เจอหมัดนี้เข้าไปถ้าไม่ตายก็ต้องมีพิการบ้างล่ะ
ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ จู่ๆ ประตูชั้นหนึ่งก็ถูกใครบางคนถล่มจนพังล้มลงมา!
ทุกคนต่างตะลึงกับเสียงนั้น!
หมัดของจ้าวซื่อลอยเคว้งกลางอากาศ ก่อนจะหันไปมองที่ต้นเสียงชั้นหนึ่ง จึงได้เห็นเด็กหนุ่มในชุดเครื่องแบบปรากฏตัวพร้อมกับสีหน้าเย็นชา
เสียงฟ้าร้องและแสงจากฟ้าแลบจากด้านนอกยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดูน่ากลัวและเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารราวกับยมทูต
“ปล่อยเขาเดี๋ยวนี้”
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงแข็ง
จ้าวซื่อยอมรับว่าแวบแรกเขาแอบรู้สึกหวั่นกลัวเล็กน้อยตอนที่เด็กหนุ่มปรากฏกาย แต่พอเด็กคนนั้นเปิดปากพูด เขาก็ระลึกได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคน ไม่ใช่ยมทูตหรือผีสางแต่อย่างใด
เขาไม่สนใจที่อีกฝ่ายพูด และหันมาเล็งหมัดกู้เฉิงเฟิงต่อ
เด็กหนุ่มดึงกริชออกมาแล้วขว้างขึ้นไป
จ้าวซื่อไม่ทันระวังว่าอีกฝ่ายมีอาวุธ เพียงแต่รับรู้ถึงแสงวาบที่สะท้อนเข้ามา
วินาทีต่อมา มือข้างขวาของเขาก็ถูกกริชปักเข้าเต็มๆ แรงของกริชนั้นรุนแรงจนปักมือเขาทั้งมือติดเข้าไปบนกำแพง
ร่างของเขาก็ชนกำแพงด้วย จนเขาต้องปล่อยมืออีกข้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
ร่างของกู้เฉิงเฟิงร่วงหล่นลงพื้นทันที
จ้าวซื่อกัดฟันพยายามดึงกริชออก
แต่ไม่เป็นผล!
ในเวลานี้เองที่เขาตระหนักอย่างแท้จริงว่าเด็กหนุ่มนั่นแข็งแกร่งแค่ไหน!
หลังจากพยายามอยู่นานสองนาน ในที่สุดจ้าวซื่อก็ดึงกริชออกมาได้ แต่ยังไม่ทันแม้แต่จะลุกขึ้นยืน จ้าวซื่อก็เจอเข้ากับลูกเตะของเด็กหนุ่มเข้าอย่างจัง
ร่างของจ้าวซื่อร่วงลงจากชั้นสองทันที
ก่อนจะกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ชั้นหนึ่งจนพังโครม
ฮูหยินที่เดินออกมาจากห้องเห็นภาพเหตุการณ์นี้เข้าพอดี นางแทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง
เจ้าเด็กนี่เป็นใครกัน
เหตุใจถึงมาทำร้ายจ้าวซื่อของนางจนหมดสภาพแบบนั้น
จ้าวซื่อคือมือสังหารที่ฮูหยินซื้อมาด้วยราคาแพง และเขาไม่เคยแพ้ใครมาก่อนเลยด้วยซ้ำ!
“เด็กเมื่อวานซืนนี่เป็นใครกัน บังอาจมายุ่งวุ่นวายกับหอของข้า เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าคือใคร…อ๊าก…”
ยังไม่ทันจะเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็เข้ามาคว้าคอและกดร่างของฮูหยินเข้ากับกำแพง!
ฮูหยินรู้สึกปวดร้าวไปทั้งหลังจนแทบจะกระอักเลือด ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ
เด็กหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องฮูหยินด้วยสายตาอำมหิต “ใครใช้ให้เจ้าแตะต้องเขา”
เขารึ
เขาคนไหน
หมายถึงทาสคนนั้นรึ
“ฮูหยินเจ้าคะ ยานี้ยังจะให้กินอยู่อีกไหม…กรี๊ดดด!” สาวใช้ที่กำลังเดินออกมาพร้อมกับยาพอเห็นเหตุการณ์นอกห้องก็ถึงกับร้องเสียงหลง
“เอามันมา” เด็กหนุ่มพูดกับนาง
สาวใช้จึงทำตามที่เขาสั่ง
เด็กหนุ่มมองไปที่ฮูหยินที่กำลังอยู่ในสภาพหายใจติดขัด “ป้อนยาให้แม่นี่กินซะ”
สาวใช้ตกใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
นางต้องทำอย่างไร ป้อนหรือไม่ป้อนดี ถ้านางไม่ป้อนนางจะถูกฆ่าไหม
“ถ้าเจ้าไม่ป้อน เจ้าก็ต้องกินเอง” เด็กหนุ่มเอ่ยหน้าตาย
สาวใช้ลังเลไม่นาน ก่อนตัดสินใจยื่นชามเข้าไปที่ปากนายหญิงของตัวเอง
ฮูหยินรีบเบือนหน้าหนี “ท่านจอมยุทธน้อย โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นทาสของท่าน หากข้ารู้ข้าจะไม่พาตัวเขามาเด็ดขาด”
“ฮูหยินเจ้าคะ! มีทหารของทางการมาแถวนี้เจ้าค่ะ! กำลังตรวจร้านสุราข้างๆ อยู่ เหมือนว่าเขากำลังตามล่าตัวทาสแรงงานในเหมืองของตระกูลหันที่หายตัวไปนะเจ้าคะ!”
ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็หันไปทางกู้เฉิงเฟิงทันที!
เขาอยู่ในสภาพนอนนิ่งไม่ขยับ
“เป็นเขาใช่ไหม” ฮูหยินเอ่ย
แววตาของเด็กหนุ่มเย็นชาขึ้นกว่าเดิม
ฮูหยินถึงกับสะอึก!
ใช่แล้ว เมื่อครู่นี้ฮูหยินแอบคิดว่าถ้าทางการมาจับพวกเขาไป นางก็จะรอดตัว
แต่ทุกอย่างไม่ง่ายแบบนั้น
“อย่าฆ่าข้าเลย…อย่านะ…ข้าจะไม่พูดอะไรทั้งนั้น!” ฮูหยินเอ่ยกับเด็กหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ
แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่เชื่อนางแม้แต่นิด
เด็กหนุ่มสะกิดเท้าแล้วเตะกริชให้ลอยขึ้น จากนั้นใช้มือคว้าเอาไว้แล้วจ่อเข้าที่คอของฮูหยิน
“อย่านะ! ได้โปรด อย่าฆ่าข้าเลย! ข้ามีวิธีช่วยท่าน! ถ้าท่านกำจัดข้าตอนนี้ ตัวตนของพวกท่านอาจถูกเปิดโปงได้! ไม่คุ้มเสียกันหรอกท่าน! ไว้ชีวิตข้าด้วย! ข้ายินดีช่วยพวกท่าน รับรองว่าพวกทหารจับเขาไปไม่ได้แน่ !”
……
ครึ่งชั่วยามต่อมา ทางการก็เดินเข้ามาตรวจที่หอนางโลม
ชั้นหนึ่งถูกเก็บกวาดประมาณหนึ่ง ร่างของจ้าวซื่อถูกหามออกไปซ่อนไว้เรียบร้อย จะเหลือก็แค่ประตูที่ซ่อมไม่ทัน
พวกทหารทางการมากันหกคน
ไม่ใช่กลุ่มเดียวกันกับที่เผชิญหน้ากับกู้เฉิงเฟิงก่อนหน้า
แต่จากเรื่องนั้น ทำให้ทางการต้องเพิ่มจำนวนองครักษ์หลงอิ่งเข้าไปด้วยสามนายในการตามล่ากู้เฉิงเฟิง
ฮูหยินหอนางโลมเป็นคนตระกูลสวี นามว่าเฟิ่งเซียน
สวีเฟิ่งเซียนค่อยๆ เดินกรีดกรายลงบันไดอย่างยั่วยวน พร้อมกับต้อนรับเหล่าทหารด้วยรอยยิ้ม “ลมอะไรหอบพวกท่านมาถึงที่นี่ คืนนี้หอเทียนเซียงของเราต้องสนุกแน่!”
หนึ่งในนายทหารหยิบรูปแล้วเอ่ยถาม “เคยเห็นบุคคลในรูปนี้หรือไม่”
สวีเฟิ่งเซียนทำเป็นชำเลืองมองภาพนั้นแล้วยิ้มกริ่ม “พ่อหนุ่มรูปหล่อที่ไหนกันหรือ น่าเสียดายที่ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน”
“ไม่เคยเห็นจริงๆ รึ” คนที่เป็นหัวหน้าทหารเอ่ยถามขึ้น
สวีเฟิ่งเซียนหัวเราะ “หอเทียนเซียงของเราไม่มีคนหน้าตาแบบนี้หรอก ข้าต้องจำเขาได้แน่ๆ ถ้าเคยเจอ”
จากนั้นหัวหน้าทหารก็ตะโกนสั่ง “ค้นให้ทั่ว!”
ใบหน้าของสวีเฟิ่งเซียนซีดลงเอ่ย “เดี๋ยวก่อนสิ! พวกท่านคิดจะทำอะไรน่ะ รู้ไหมว่าท่านชายสามของตระกูลหนานกงเป็นลูกค้าประจำของหอเรานะ!”
“หึ!” หัวหน้านายทหารถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์
มีหรือตระกูลหนานกงจะเทียบเคียงกับตระกูลหันได้
หลังจากที่พวกเขาค้นหาทุกอย่างทั้งภายในและภายนอก ยังดีที่หอเทียนเซียงแทบไม่มีลูกค้าเลย ไม่อย่างนั้นเหตุการณ์คงบานปลายมากกว่านี้
“ไม่เจอขอรับลูกพี่!”
ทหารนายอื่นๆ เดินกลับมาที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง
“หากเจอคนในรูปอย่าลืมมารายงานกับตระกูลหันล่ะ” หัวหน้านายทหารเอ่ย
“มีรางวัลนำจับไหมเจ้าคะ” สวีเฟิ่งเซียนถาม
หัวหน้านายทหารถลึงสายตาเย็นชาใส่ทันที จนอีกฝ่ายหดคอแทบไม่ทัน “เอาละ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
แล้วเหล่านายทหารพวกนั้นก็เดินออกไป
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเข้าไปในบ่อนพนันข้างๆ แล้ว สวีเฟิ่งเซียนจึงเดินไปที่ห้องเก็บฟืน เปิดประตูลับบนพื้น แล้วเอ่ยพูดกับคนสองคนในห้องใต้ดิน “พวกเขาไปแล้ว!”
กู้เจียวแบกร่างของกู้เฉิงเฟิงขึ้นไปข้างบน
เหตุผลที่สวีเฟิ่งเซียนไม่กล้าฟ้องเรื่องของกู้เจียวกับทางการ เป็นเพราะกู้เจียวขู่ไว้ว่า “ถ้าเจ้าเล่นตุกติก หากข้าโดนจับได้ ข้าจะหลบหนีออกมาแล้วจัดการกับเจ้าเป็นคนแรก เจ้าคิดว่าคนอย่างข้าหนีออกมาได้ไหมล่ะ”
สายตาที่กระหายเลือดของกู้เจียวตอนพูดราวกับไม่ใช่คน สวีเฟิ่งเซียนเห็นแบบนั้นจึงไม่กล้าเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง
สวีเฟิงเซียนให้กู้เฉิงเฟิงนอนในห้องของตัวเอง ไม่ใช่เพราะต้องการใช้ประโยชน์จากเขา แต่ห้องของนางมีเส้นทางลับใช้สำหรับลี้ภัย ซึ่งเป็นห้องที่ปลอดภัยที่สุดในหอเทียนเซียง
กู้เจียวค่อยๆ วางร่างของกู้เฉิงเฟิงลงบนเตียง จากนั้นเตรียมจะกลับไปที่รถม้าเพื่อหยิบกล่องยา
ขณะที่กำลังจะลุก กู้เฉิงเฟิงยื่นฝ่ามือใหญ่ที่ร้อนระอุคว้ามือของกู้เจียวไว้
เรื่องบางเรื่อง คำพูดบางคำ เขาไม่เคยแสดงออกมาในช่วงเวลาปกติ
แต่ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้แทบไม่มีกะจิตกะใจมาพะวงเรื่องอะไรทั้งนั้น
เขาจับนางไว้แน่น พยายามลืมตาแม้ภาพที่เห็นจะพร่ามัว ก่อนจะพูดด้วยเสียงแหบแห้งและอ่อนแรง “ข้าหาเจ้าเจอแล้วใช่ไหม”
กู้เจียวมองเขาพร้อมกับพยักหน้า “อื้ม เจอแล้ว”