“ทำไม?” เชอรีนไม่เข้าใจ
มารุตกุมขมับอีกครั้ง “แน่นอนว่าจะทำให้ท่านประธานโมโหน่ะสิ ถ้าเกิดท่านประธานโมโหขึ้นมา เธอคอยดูแล้วกันว่าพวกเราสองคนจะอยู่ดีได้มั้ย”
เชอรีนปัดมืออย่างไม่เห็นด้วย “โถ่นายวางใจเถอะ ไม่เป็นแบบนั้นหรอก ประธานนัทธีไม่โมโหหรอก เขาชอบ นายไม่เห็นเหรอว่าตอนที่ฉันพูดประโยคนั้นจบ ดวงตาของประธานนัทธีเป็นประกาย? แล้วก็นายรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงแน่ใจว่าประธานนัทธีจะไม่โมโหมั้ย? ”
“ทำไม? ” ตอนนี้ถึงคราวที่มารุตไม่เข้าใจแล้ว
ไม่ใช่แบบนี้สิ เขาเป็นผู้ช่วยของท่านประธานนะ ว่าตามเหตุผลแล้ว เป็นคนที่รู้จักประธานดีที่สุด
ทำไมตอนนี้เห็นที คนที่เข้าใจประธานที่สุด จะกลายเป็นแฟนของตนล่ะ
ปากของเชอรีนยิ้มอย่างหื่นกาม “แน่นอนว่าเพราะวารุณีไง ฉันเคยถามวารุณี ถามเรื่องทำนองนั้นของเธอกับประธานนัทธี วารุณีบอกว่าบางครั้งตัวเองก็เกร็งๆ ทำให้ประธานนัทธีไม่พอใจ ดังนั้นฉันบอกว่าฉันจะพูดกับวารุณี ให้วารุณีให้รางวัลประธานนัทธี ประธานนัทธีถึงไม่โกรธไง เพราะว่าฉันเดาได้นานแล้ว เป็นไงที่รัก ฉันเก่งมั้ย!”
เธอกำมือ ทำท่าว่าตัวเองนั้นเยี่ยมมากๆ
มารุตทำหน้าแหยๆ “เธอนี่นะทำให้ฉันไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเลยจริงๆ ช่างเถอะ ครั้งนี้ช่างมัน แต่ว่าหลังจากนี้ห้ามพูดแล้วนะ เอาล่ะ นั่งดีๆ ฉันจะออกรถแล้ว”
“โอเค” เชอรีนพยักหน้า และนั่งตัวตรง
มารุตเหยียบคันเร่ง และเคลื่อนรถ
ตกดึก นัทธีรับลูกทั้งสองคนเสร็จ ก็กลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลไชยรัตน์ และโทรหาวารุณี และเล่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่พงศกรไปหาเรื่องรพี ให้เธอฟัง
หลังจากที่วารุณีได้ฟัง ก็ถอนหายใจ “ฉันว่าแล้วว่าเขาจะต้องไปหารพี เห็นที ฉันจะเดาถูกแล้ว”
“แต่ว่าถึงเขาจะไปหารพีก็ไม่ช่วยอะไร รพีไม่รู้อะไรเลย” นัทธีพูด
วารุณีพยักหน้า “แบบนี้ก็ดี ให้พงศกรไม่รู้ต่อไป”
“ใช่แล้ว ยังมีอีกเรื่องที่ฉันจะบอกเธอ” นัทธียกกาแฟบนโต๊ะขึ้นมาจิบ
วารุณีวางดินสอในมือลง กะพริบตาพลางถาม “เรื่องอะไรเหรอ”
“วันนี้พิชิตบอกว่า พงศกรชอบปาจรีย์”
“อะไรนะ? ” วารุณีพูดอย่างตกใจ “พงศกรชอบปาจรีย์? ”
“อืม” นัทธีพยักหน้า “พิชิตพูดมีเหตุผลมากๆ แล้วฉันก็เห็นว่า มันน่าจะจริง”
วารุณีอ้าปากค้าง สักครู่ความตกใจถึงสงบลง และเอาเสียงกลับมา “ไม่มั้ง พงศกรเหนี่ยนะชอบปาจรีย์ นี่……มันจะเป็นไปได้ยังไง!”
“เรื่องนี้น่าตกใจจริง แต่ว่าก็เป็นไปได้” นัทธีพูดเสียงเข้ม
วารุณีกำโทรศัพท์ “ถ้าหากพงศกรชอบปาจรีย์จริงๆ งั้นทำไมเขาต้องทำกับปาจรีย์แบบนี้? เขาไม่ควรจะทำดีต่อปาจรีย์หรอกเหรอ?”
ตรงนี้ ที่เธอไม่เข้าใจ
มุมปากของนัทธีฉีกยิ้มประชดประชันออกมา “นั่นก็เพราะว่า พงศกรเขาเองไม่รู้ว่าตัวเองชอบปาจรีย์”
“ไม่รู้? ” วารุณีเบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ
นัทธีพยักหน้า “ใช่แล้ว เพราะว่าไม่รู้ ดังนั้นถึงได้โหดเหี้ยมทำร้ายคนที่ตัวเองรัก ความเกลียดในใจของเขาที่มีต่อปาจรีย์นั้นลึกซึ้ง ได้กลายเป็นสิ่งยึดติด ความลุ่มหลงนี้ทำให้เขาตาบอด ทำให้เขามองความรู้สึกและความคิดที่แท้จริงของตัวเองได้ไม่ชัด ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าตัวเองชอบปาจรีย์”
“นายพูดแบบนี้ มันก็เป็นไปได้จริงๆ” วารุณีพยักหน้า
แต่ว่าถ้าพงศกรรักปาจรีย์ งั้นเมื่อก่อนที่พงศกรเอาแต่บอกว่าชอบเธอ นั้นมันคืออะไร?
วารุณีขมวดคิ้ว อย่างไม่เข้าใจสุดๆ
แต่ว่าวารุณีก็ไม่ได้คิดมาก เพราะว่าพงศกรไม่ได้ชอบเธอแล้ว สำหรับเธอ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี
เธอไม่ต้องรู้สึกกดดันอีกต่อไป และก็ไม่ต้องรู้สึกว่าจะทำร้ายพงศกรแล้ว
ขณะเดียวกัน คนขี้หึงอย่างนัทธี ก็ไม่ต้องเอะอะหึงไปทั่วแล้ว
“ใช่แล้วที่รัก งั้น เรื่องนี้ จะต้องบอกปาจรีย์มั้ย? ” วารุณีกัดปาก ถามอย่างลังเล
นัทธีหรี่ตา “ไม่ต้อง ปาจรีย์ไม่รู้จะดีที่สุด ถ้าหล่อนรู้ว่าพงศกรมีใจให้หล่อน เกรงว่าหล่อนในตอนนี้ คงจะเริ่มอยากรู้อยากเห็นในตัวของพงศกร และอยากจะไปรู้จักเขา ถ้าเป็นอย่างนั้น หล่อนจะรักเขาใหม่อีกครั้ง แถมยังกลับไปตามหาความทรงจำในอดีต ถ้าเป็นแบบนั้น สำหรับปาจรีย์แล้ว ยังคงไม่ใช่เรื่องที่ดี เพราะว่าพงศกรรักหล่อน ตัวพงศกรเองยังไม่รู้ เขายังคงเกลียดหล่อนอยู่ แบบนี้สุดท้ายแล้ว ระหว่างพวกเขา มันก็จะยังกลายเป็นภาพเดิมภาพก่อนที่ปาจรีย์จะลืมพงศกร”
ฟังผู้ชายพูดแบบนี้ วารุณีก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ทันใดนั้นก็ละทิ้งความคิดที่จะบอกข่าวนี้กับปาจรีย์
“นายพูดถูก ยังไงวันนี้ปาจรีย์จะลืมเขาไปแล้ว งั้นก็ให้เธอลืมเขาต่อไปเถอะ ปาจรีย์ในตอนนี้มีความสุขมากๆ มีพ่อแม่ มีลูก ไม่ต้องเสียใจเพราะความรักแล้ว จากนี้ก็จะใช้ชีวิตอย่างดี แบบนี้ก็ดีแล้ว” วารุณีถอนหายใจ
ระหว่างปาจรีย์กับพงศกร คงจะมีบุพเพแต่ไร้วาสนาจริงๆมั้ง
คนนึงตอนที่เธอรักเขา เขากลับไม่รักเธอ
ในวันนี้เธอไม่รักเขาแล้ว เขากลับรักเธอขึ้นมา
แบบนี้ไม่ใช่เรื่องน่าขันเหรอ?
สองคนนี้ มักจะมีอีกฝ่ายที่ไม่รัก ดังนั้นให้เป็นแบบนี้ไม่ดีกว่าเหรอ
“เรื่องนี้ ถือซะว่าเป็นความลับของพวกเราแล้วกัน ไม่ต้องไปเตือนพงศกร เรื่องที่ความจริงแล้วเขาใจสั่นกับปาจรีย์ และก็ไม่ต้องไปพูดกับปาจรีย์ ให้ปาจรีย์กับความอยากรู้อยากเห็นในตัวพงศกร สองคนนี้ บางทีอาจจะ ไม่ใช่คู่กันตั้งแต่แรกแล้ว” วารุณีพูดขึ้น
นัทธีพยักหน้า “เอาแบบนี้แล้วกัน วันนี้ฝั่งเธอเป็นยังไงบ้าง? ”
เขาเปลี่ยนเรื่องคุย
วารุณียิ้ม “ก็ดีนะ ตกรอบไปแล้วสองทีม อีกครึ่งเดือน การแข่งขันก็จบแล้ว”
“แบบนั้นก็ดี พรุ่งนี้ฉันจะพาลูกทั้งสองคนไปหาเธอ” นัทธีพูด
รอยยิ้มบนใบหน้าของวารุณี ยิ่งเข้มขึ้นไปอีก “โอเคเลย”
สุดสัปดาห์อีกแล้ว เร็วจัง
ที่เธอตั้งตารอที่สุด ในตอนนี้ ก็คือสุดสัปดาห์นี่แหละ แบบนี้ เธอก็สามารถเจอหน้าลูกและสามีได้แล้ว
ไม่ใช่วิดีโอคอลทุกวัน มองเห็น แต่สัมผัสไม่ได้ ทำให้คนรู้สึกหน่วงๆ
“ใช่แล้วที่รัก สุขใจเป็นยังไงบ้าง? วันนี้ได้ไปดูเขามั้ย? ” วารุณีมองนัทธี และถามอย่างตั้งตารอคำตอบ
นัทธีพยักหน้า “แน่นอน ฉันไปหาทุกวันเลย สถานการณ์ของสุขใจในตอนนี้ดีมาก ดีขึ้นทุกวันๆ แล้วก็เวลาที่ได้สติก็เริ่มจะนานขึ้นแล้ว เมื่อวานสุขใจตื่นขึ้นมาครึ่งชั่วโมง วันนี้สี่สิบนาที ฉันยังกอดเขาด้วยนะ”
พูดถึงตรงนี้ บนหน้าของนัทธีก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มของความรักและเมตตา นั่นก็คือพ่อคนนึง เวลาที่พูดถึงลูก จะปรากฏออกมา เป็นความรู้สึกที่จริงใจที่สุด
วารุณีก็ตื่นเต้น “ที่รัก เมื่อกี้นายบอกว่า นายกอดสุขใจ หรือว่าสุขใจออกมาจากตู้อบได้แล้วเหรอ? ”
“ออกได้แล้ว แต่เวลาไม่นานมาก มากสุดไม่กี่นาที ดังนั้นคุณหมอเนสจึงอนุญาตให้ฉันกอดสุขใจแป๊บนึง เธอรู้มั้ย? เขาตัวเล็กมาก เบามาก อุ้มอยู่ในอ้อมแขน ไม่มีน้ำหนักใดๆเลย ฉันถึงกับไม่กล้าออกแรง” นัทธีนึกถึงความรู้สึกตอนที่อุ้มลูกแล้วพูด
วารุณีดีใจจนจะร้องไห้ “ดีมากๆเลย ดีจริงๆ ในที่สุดสุขใจก็สามารถออกจากตู้อบได้สักแป๊บนึงแล้ว”
นั่นมันบอกล่วงหน้าอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าอีกไม่นาน สุขใจก็จะสามารถออกจากตู้อบมาเลยได้แล้ว?
“ใช่แล้ว รอหลังจากที่เธอแข่งจบ สุขใจออกมาได้จริงๆแล้ว ถึงตอนนั้น เธอสามารถอุ้มเขาได้ด้วยมือเธอเอง” นัทธีพูดปลอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
วารุณีพยักหน้า “แน่นอน ฉันจะต้องอุ้มเขา เขาเกิดมาตั้งนานแล้ว ฉันยังไม่เคยได้อุ้มเขาสักครั้งเลย แต่ว่านาย กลับได้อุ้มก่อนฉัน”
เธอมองฝ่ายชายอย่างขุ่นเคือง