นัทธียิ้มอ่อน “หึงเหรอ? ”
“แน่สิ” วารุณีเบะปาก พูดแล้วน้ำเสียงอิจฉา:“ตามหลักแล้ว ฉันคนเป็นแม่ ควรจะเป็นฉันที่ได้อุ้มเขาคนแรก แต่สุดท้าย คนที่อุ้มเขาคนแรกเป็นนาย”
รอยยิ้มบนหน้าของนัทธียิ่งยิ้มยิ่งเข้ม “ใครใช้ให้เธอไม่อยู่ในประเทศล่ะ แต่ว่าแบบนี้สิถึงเรียกว่ายุติธรรม”
“ยุติธรรม?” วารุณีทำหน้าสงสัย “ยังไง?”
“เมื่อก่อน ตอนที่เธอคลอดไอริณกับอารัณ ฉันไม่รู้เรื่องเลย ดังนั้นฉันเลยไม่เคยได้อุ้มลูกสองคนตอนที่อายุพอๆกับสุขใจ วันนี้ฉันอุ้มสุขใจเป็นคนแรก ถือเป็นการชดเชยที่ฉันไม่ได้อุ้มไอริณกับอารัณตอนเด็กๆ หรือว่านี่ไม่ยุติธรรมเหรอ? ” นัทธียกมุมปากอธิบาย
วารุณีชะงัก หลายวินาทีกว่าจะดึงสติกลับมา และทำหน้าเจื่อนๆ “ที่นายพูดก็ถูก”
“ตอนนี้ไม่หึงแล้วเหรอ? ” นัทธีถาม
วารุณีส่ายหน้า “ที่จริงฉันก็ไม่ได้หึงจริงๆสักหน่อย จงใจแกล้งเฉยๆ พวกเราคือพ่อแม่ของเด็ก ไม่ว่าใครจะอุ้มเป็นคนแรก มันก็สมควรทั้งนั้น”
ได้ยินเธอพูดแบบนี้ สายตาของนัทธีก็อ่อนโยนราวกับจะมีน้ำเยิ้มออกมา
“ที่รัก เล่าให้ฉันฟังหน่อย ตอนที่นายอุ้มสุขใจ ท่าทีของสุขใจ เขานั้นน่ารักมั้ย? ” วารุณีกำโทรศัพท์ และถามอย่างคาดหวัง
นัทธีพยักหน้า “น่ารักมาก ตอนนั้นเขาหลับไปแล้ว นอนนิ่งๆอยู่ในอ้อมแขนฉัน นุ่มๆ ตัวเล็กๆ เหมือนกับสามารถทำให้ใจคนละลายได้เลย”
ฟังฝ่ายชายพรรณนา วารุณีก็สามารถนึกภาพบรรยากาศในหัวได้อย่างชัดเจน ใจก็อ่อนปวกเปียกไปหมด “ดีจริงๆเลย”
“รอให้เธอแข่งเสร็จแล้ว เธอก็สามารถสัมผัสความรู้สึกนี้ได้แล้ว” นัทธีพูด
วารุณีพยักหน้า “อื้ม”
สามีภรรยาคุยโทรศัพท์กันอยู่นานมากๆ จนเวลาดึก ถึงจะวาง
วารุณีวางโทรศัพท์ลง และยุ่งกับงานในมือต่อ กะว่าทำงานตรงนี้เสร็จแล้วค่อยไปพัก
ลีน่าก็ทำงานล่วงเวลาอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นเธอคุยโทรศัพท์เสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะแซว “ทำไม? ไม่คุยต่อแล้วไง?”
“คุยจบแล้ว จะคุยอะไรต่ออีก? ” วารุณียิ้มแล้วเหลือบมองหล่อน
ลีน่ายกกาแฟขึ้นมาจิบ “เธอไม่รู้ ดูพวกเธอสองคนสามีภรรยาโทรหากันทุกวัน ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองต้องอิจฉาตาร้อนทุกวัน”
“เพราะงั้นไง เธอก็รีบๆหน่อย รีบลงเอยกับรุ่นพี่ของเธอเร็วๆ ให้ฉันได้อิจฉาตาร้อนบ้าง” วารุณีก็แซวหล่อน
ลีน่าถอนหายใจ “ฉันก็อยากนะ แต่เจ้าซื่อบื้อนั่นทำให้ฉันหงุดหงิดจะตายอยู่แล้วจริงๆ”
“ทำไมล่ะ? ” วารุณีมองหล่อนอย่างอยากรู้
ลีน่านวดหว่างคิ้วพลางพูด:“เมื่อก่อนเธอไม่ใช่ให้ฉันไปลองเชิงรุ่นพี่เหรอ ดูว่าเขาจะคิดกับฉันในแง่นั้นมั้ย? หลายวันมานี้ฉันหาโอกาสลองเชิงดูแล้ว แต่สุดท้ายก็พบว่าเขาเป็นเจ้าซื่อบื้อ ฉันถามเขาว่าเขาชอบผู้หญิงแบบไหน ชอบผู้หญิงแบบฉันมั้ย เธอลองเดาดูว่าเขาตอบมาว่าอะไร ผู้หญิงจะน่าชอบกว่าอัญมณีได้ยังไง? เธอดูสิไม่ซื่อบื้อแล้วจะเป็นอะไร? ”
“อุ๊บส์” วารุณีกลั้นขำไม่อยู่จึงหลุดขำออกมา “ก็ซื่อบื้ออยู่นะ แต่นี่ก็แสดงว่า เมื่อก่อนรุ่นพี่ของเธอยังไม่เคยชอบใคร เธอไปจีบเลยสู้ๆ”
ลีน่ากุมขมับ “ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่ว่าจะทำให้คนซื่อบื้อคนนึงเข้าใจ มันยากนะ โดยเฉพาะเจ้าซื่อบื้อที่ในหัวมีแต่อัญมณี”
“นั้นแล้วมันยังไง ลำบากในลำบากก็คือคนยอดคนไง พยายามแล้วจะต้องได้ผลตอบแทนแน่ๆ ฉันไม่เชื่อว่าสวยๆอย่างลีน่าของพวกเรา จะทำให้ผู้ชายคนนึงหวั่นไหวไม่ได้ สู้เขา” วารุณีตบไหล่หล่อน “รอให้แข่งจบแล้ว เธอกลับไปก็พยายามพบกับรุ่นพี่ให้มากที่สุด เทียบกับแค่โทรศัพท์ทุกวัน มันยิ่งทำให้ความสัมพันธ์คืบหน้ามากกว่า”
“ที่เธอพูดก็ถูก ทำได้แต่แบบนี้แล้ว” ลีน่าพยักหน้า
“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ทำงานต่อเถอะ ทำตรงนี้เสร็จก็ไปพักผ่อนแล้ว” วารุณีกลับไปนั่งตรงที่ตัวเอง
ลีน่าบิดขี้เกียจ “โอเค ทำงานต่อ”
ทั้งสองจมดิ่งกับงานที่ยุ่งอีกครั้ง จนผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทั้งสองถึงจะทำงานเสร็จ และแยกย้ายกลับห้องไปพักผ่อน
เช้าวันถัดมา วารุณีเพิ่งจะออกมาจากห้อง ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจภายในประเทศ เกี่ยวกับการลงโทษของจุ๊บแจง
จุ๊บแจงถูกคุมตัวส่งกลับประเทศ โดยมีตำรวจภายในประเทศรับเรื่องต่อ ผ่านไปแล้วหลายวัย เนื่องด้วยหลักฐานที่แน่นหนา ดังนั้นตอนนี้ก็ใกล้เวลาตัดสินคำพิพากษาแล้ว
โทรศัพท์สายนี้ ตำรวจได้แจ้งวารุณี ว่าจุ๊บแจงถูกพิพากษานานแค่ไหน
ห้าปี!
นี่คือเวลาที่ศาลในประเทศตัดสินลงโทษจุ๊บแจง
ระยะเวลานี้ก็อยู่ในความคาดเดาของวารุณีเช่นกัน
ถึงยังไงจุ๊บแจงก็ขโมยการออกแบบของเธอ จนประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียง จนได้รับตั๋วเข้าแข่งขัน ตรงจุดนี้ บางคนถูกตั้งข้อหาขโมยเชิงพาณิชย์ มันร้ายแรง สามารถลงโทษได้สามปี
บวกกับที่ผู้จัดการแข่งขันร้องเรียนจุ๊บแจง ถึงยังไงที่จุ๊บแจงทำแบบนี้ ก็เสียชื่อผู้จัดการแข่งขัน ทำให้ผู้จัดการแข่งขันในสายตาโลกภายนอก ขาดอำนาจ และการตรวจสอบความถูกต้อง ทำให้คุณภาพของทองในการแข่งขันลดลง
ดังนั้นฝั่งผู้จัดการแข่งจะไม่เกลียดจุ๊บแจง จะไม่ลงมือ จัดการจุ๊บแจงได้ยังไง
ระยะเวลาห้าปีนี้ มีความดีความชอบของผู้จัดงานอยู่
เกรงว่าหลังจากนี้ จุ๊บแจงคงผ่านไปได้ไม่ดีแล้ว ผู้จัดการงานคงจะไม่ปล่อยให้จุ๊บแจงแค่ติดคุกง่ายๆแน่
บางทีอาจจะส่งคนไปอยู่ในคุกแล้ว เพื่อให้ทุกๆวันหลังจากนี้ จุ๊บแจงยังมีวันแห่งความทรงจำที่สดใสอยู่
แต่วารุณีก็ไม่เห็นใจจุ๊บแจงนะ สำหรับคนหน้าไม่อายอย่างจุ๊บแจง แถมยังมีจิตใจชั่วช้า ก็สมควรที่จะได้รับบทสั่งสอนนี้แล้ว
ทำได้เพียงให้จุ๊บแจงเจ็บปวดสุดๆ กลัวแล้ว หลังจากนี้ถึงจะได้ไม่กล้าทำอีก
“อรุณสวัสดิ์ วารุณี” ขณะที่วารุณีกำลังจะวางสาย ด้านหลังก็มีเสียงของลีน่าดังขึ้นมา
วารุณีหันไปมอง มองลีน่าที่กำลังหาวพลางเดินลงมาจากข้างบน และยิ้มพลางตอบ:“อรุณสวัสดิ์ เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอ?”
“อื้ม นอนดึกไปหน่อย คุยกับรุ่นพี่นานมาก” ลีน่าขยี้ตาพลางพูด
วารุณีเลิกคิ้ว “อ๋อ? คุยกันอยู่นานมาก?”
“ใช่แล้ว เมื่อคืนกลับไปถึงห้อง ฉันก็โทรหาเขา อยากคุยกับเขา ดังนั้นเมื่อได้คุย ก็เลยคุยกันนานมาก” ลีน่าพูด
วารุณียิ้มอ่อน “ดูท่าแล้วระหว่างพวกเธอก็ยังไม่มีความคืบหน้า ไม่งั้นเธอน่าจะดีใจสิถึงจะถูก”
ลีน่าถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เป็นเธอที่เข้าใจฉัน แต่ว่านี่มันก็เรื่องปกติ ถึงยังไงเขาก็เป็นคนซื่อบื้อ เป็นไปไม่ได้ที่จะเริ่มฉลาดภายในคืนเดียว ฉันก็ปลงแล้ว ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน”
“ที่พูดก็ถูก” วารุณีพยักหน้า จากนั้นก็พูดขึ้น:“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ไปกินข้าวเช้า กินเสร็จจะได้ไปสนามแข่ง”
“อื้ม” ลีน่าขานรับ
ทั้งสองเดินไปทางห้องอาหาร หลังจากกินข้าวเสร็จ ก็ออกไปสนามแข่งขัน เริ่มต้นวันใหม่ในฐานะผู้ตัดสินการแข่งขัน
มาถึงช่วงบ่าย หลังจากการแข่งขันเสร็จสิ้น วารุณีก็ขับรถ รีบไปสนามบินอย่างดีใจ
เพราะว่าวันนี้คือสุดสัปดาห์ นัทธีพาลูกสองคนมาหาเธอที่นี่
หนึ่งอาทิตย์แล้วที่ไม่ได้เจอหน้าสามคนพ่อลูก เธอคิดถึงสามพ่อลูกเป็นพิเศษ วิดีโอคอลทุกวัน ก็ไม่สามารถเติมเต็มความคิดถึงในใจได้เลย มีเพียงแค่พบหน้า ถึงจะได้
ลีน่าไม่ได้ตามไป ตนเองไปเดินช้อปปิ้ง
ถึงยังไงครอบครัวของวารุณีได้เจอหน้ากัน คนหัวเดียวกระเทียมลีบแบบเธอจะไปทำไม ไปเป็นก้างขวางคอเหรอ
เธอไม่ต้องการ ดังนั้นเธอจึงไปเดินช้อปปิ้งดีกว่า อย่าไปดูภาพบาดตา
ไม่นาน วารุณีก็มาถึงสนามบิน และตรงไปรอในห้องรอ VIP
เธอมาเร็วไปหน่อย ตามเวลาที่นัทธีบอกมาก่อนหน้า ยังห่างอีกครึ่งชั่วโมง
หรือจะให้พูด เธอจะต้องรออีกครึ่งชั่วโมง ถึงจะได้เห็นสามพ่อลูกออกมาจากทางออก VIP