บทที่ 804 ทานอาหารเช้า

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีลูบท้องของตนเอง หันไปมองผู้ชายด้วยความพร่ำบ่น “โทษนายทั้งนั้น!”

หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนเขาใช้แรงทรมานเธอ เธอจะตื่นสายขนาดนี้เหรอ?

แน่นอนว่านัทธีเข้าใจความหมายภายในนัยน์ตาของผู้หญิงตนเอง หัวเราะด้วยเสียงต่ำ “อื้ม โทษฉัน”

“ฮื้ม” วารุณีเหลือกตาขาวใส่เขา หันหลังไป ขี้เกียจสนใจเขาแล้ว

ในไม่ช้า สองสามีภรรยาก็กลับมาถึงวิลล่า

ลีน่าไม่อยู่ในห้องรับแขกแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน คาดว่าน่าจะกลับห้องแล้ว

นัทธีโอบวารุณีเข้ามาในห้องอาหาร ออกคำสั่งกับคนใช้ “เอาอาหารมาให้คุณหญิงหน่อย”

“ได้ค่ะคุณชาย” คนใช้ตอบกลับ จากนั้นก็หันไปทางห้องครัว

นัทธีดึงเก้าอี้ออก ให้วารุณีนั่ง

หลังจากที่วารุณีนั่งลงแล้ว เขาจึงจะดึงเก้าอี้ข้างๆ แล้วนั่งลง “ในเมื่อตื่นแล้ว ทำไมตอนแรกถึงไม่ให้เขาไปเตรียมอาหารให้ล่ะ?”

“ได้ยินลีน่าบอกว่า นายกับลูกทั้งสองเล่นอยู่ที่ข้างนอก ดังนั้นฉันก็เลยออกไปดู” วารุณีรับแก้วน้ำที่ผู้ชายส่งมา

ผู้ชายขมวดคิ้วอย่างไม่เห็นด้วย “ถึงแม้จะสงสัยว่าฉันกับลูกทั้งสองเล่นอะไรกัน เธอก็ควรจะเติมเต็มท้องให้อิ่มก่อน หากเธอไม่สบาย คนที่เป็นห่วงคือสามพ่อลูกเรา”

ฟังคำพูดของผู้ชายที่สั่งสอนตนเอง วารุณีไม่เพียงแต่ไม่โกรธ ในทางกลับกันยังรู้สึกอบอุ่นใจมาก

ไม่ว่ายังไงแล้วก็มีแต่คนที่เป็นห่วงตนเองจริงๆ จึงจะพูดสั่งสอนตนเองเช่นนี้

หากไม่ใช่ ใครจะมาสนเธอเยอะขนาดนี้

“ฉันรู้แล้วที่รัก อย่าโกรธเลย” วารุณีควงแขนของผู้ชาย ใช้ศีรษะขยับเข้าไปใกล้ไหล่ของเขาแล้วอ้อน

นัทธีหันข้างมองผู้หญิง นัยน์ตาอ่อนโยนหวานหยาดเยิ้มของเธอ ทำให้ใบหน้าที่ตึงเครียดของเขาคลี่คลายลงทันที

เขายกมือขึ้น ลูบผมของผู้หญิงเบาๆ “ฉันไม่โกรธ ขอแค่หลังจากนี้เธออย่าลืมดูแลตัวเองดีๆ ก็ดีแล้ว มีแต่แบบนี้ พวกเราถึงได้เป็นห่วงเธอน้อยลง”

“ฉันรู้แล้ว ฉันจะดูแลตนเอง” วารุณีหยักหน้า

“งั้นก็ดี” ผู้ชายก้มหน้าลงจูบผมของเธอ พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยน

ขณะนี้ คนใช้ถืออาหารเข้ามาแล้ว

นัทธีมองไปแวบหนึ่ง ลุกขึ้นแล้วรับมา จากนั้นก็วางอยู่ตรงหน้าวารุณี “เธอกินก่อนเลย รองท้องหน่อย อย่ากินเยอะเกิน เดี๋ยวก็ถือเวลาอาหารกลางวัน จะกินไม่ลงเอา”

“วางใจเถอะ ฉันเข้าใจ” วารุณียิ้ม จากนั้นก็หยิบแซนด์วิชในจานขึ้นมาแล้วเริ่มทานอาหาร

นัทธีนั่งเป็นเพื่อนเธออยู่ข้างๆ พยุงศีรษะแล้วมองเธออย่างเกียจคร้าน

วารุณีถูกเขามองจนรู้สึกอึดอัด ความเร็วในการกินก็ค่อยๆ น้อยลง

สุดท้าย เธอจึงวางแซนด์วิชในมือลงแล้วมองผู้ชาย “คือว่า……ที่รัก นายหันหน้าไปอีกข้างหนึ่งไป นายมองฉันแบบนี้ ฉันรู้สึกไม่ค่อยชิน”

“ไม่ชินตรงไหน?” ผู้ชายหยิบกาแฟขึ้นมาแล้วจิบไปหนึ่งคำ

วารุณีพูด “ไม่ชินทุกตรง ถูกคนจ้องมองตอนทานหาร ก็ต้องรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย”

“แบบนี้เหรอ” นัทธีพยักหน้าและทำท่าเหมือนคิดอะไรอยู่ จากนั้นก็หันหน้าไปทางอีกข้าง “โอเค เธอกินเลย ฉันไม่มองเธอ”

วารุณีเห็นเขาเป็นแบบนี้แล้ว จึงจะหยิบแซนด์วิชขึ้นมา แล้วกินอีกครั้ง

และแล้วในตอนที่กินอยู่ เธอก็รู้สึกอีกแล้วว่านัยน์ตาของผู้ชายมองอยู่บนตัวของเธอ

เธอวางแซนด์วิชในมือลงอีกครั้ง มองไปทางผู้ชายที่อยู่ข้างกายอยากจะพูดอึกๆ อักๆ “บอกว่าจะไม่มองฉันแล้วไม่ใช่เหรอ ทำไมนายมองมาอีกแล้ว”

“ทนไม่ไหว!” ผู้ชายวางแก้วกาแฟในมือลง ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไร้เดียงสา

วารุณีเลิกคิ้ว “ทำไมถึงทนไม่ไหว?”

“ท่าทางตอนกินอาหารของเธอน่ารักมาก ดังนั้นฉันจึงทนไม่ไหวที่จะไม่มองเธอ” นัทธีตอบกลับด้วยสีหน้าที่จริงจัง

ทันใดนั้นวารุณีก็หน้าแดงทันที

ผู้ชายคนนี้ ตอนนี้ยิ่งอยู่ยิ่งไม่มีท่าทีที่เย็นชาเยือกเย็นเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่กลับดูเลี่ยนมากยิ่งขึ้น

สรุปแล้วคือ ปากอ้อนคนเก่งมาก

นี่ก็บอกว่าท่าทางเธอทานอาหารน่ารักมาก ทำเอาเธออายจนหน้าแดง หัวใจเต้นแรงแล้ว

“นาย……คำพูดพวกนี้ของนายไปฝึกมากับใครเนี่ย” วารุณีมองผู้ชายด้วยความกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินนายพูดแบบนี้เลย”

“ไม่ได้ฝึกกับใคร มาจากใจจริง” นัทธียิ้มอ่อน

วารุณีรู้สึกตลกมาก “ดูเหมือนว่าท่าทางที่เย็นชา นายจะเสแสร้งออกมา ปากหวานต่างหากที่เป็นธาตุแท้ของนายสินะ”

นัทธียิ้มที่ริมฝีปาก “ฉันปากหวานกับเธอคนเดียว”

“ฮื้ม ถ้านายกล้าปากหวานกับคนอื่น ฉันก็ไม่เอานายแล้ว” วารุณีกำหมัดแน่นแล้วจ้องเขา

นัทธีพยักหน้า “ไม่มีทาง ทั้งชาตินี้ อย่าคิดจะทิ้งฉันไป”

พูดจบ เขายื่นมือออกมา จับไปที่หลังศีรษะของเธอ ดึงเข้ามาใกล้ จากนั้นก้มก้มหน้าจูบริมฝีปากของเธอ

วารุณีเบิกตาโต ตะลึงงัน จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ให้ผู้ชายดูดริมฝีปากของเธอ

จูบไปสักพัก ผู้ชายปล่อยเธอออกด้วยความอิ่ม

วารุณีรีบนั่งตัวตรง มองเข้าด้วยนัยน์ตาที่ประหลาด “เมื่อกี้ฉันพึ่งทานอาหารไป นายก็มาจูบฉันเลย ไม่รู้สึกรังเกียจสกปรกเหรอ?”

“ทำไมต้องรู้สึกสึกรังเกียจ?” นัทธีหยิบกาแฟขึ้นมาดื่มอีกคำ “แม้กระทั่งน้ำลายเราก็เคยแลกเปลี่ยนกัน แค่นี้ถืออะไรได้”

วารุณีหน้าแดงไปใหญ่ “ขี้เกียจสนใจนาย”

เธอก้มหน้าลง ทานอาหารต่อ

นัทธียังคงจ้องเธออยู่เหมือนเดิม จ้องตาไม่กะพริบเลย

วารุณีทำเป็นว่าตนเองไม่รู้เรื่องอะไร ปล่อยให้เขามอง

มองสิมองสิ ใช่ว่าเนื้อจะหายไปซะหน่อย อีกอย่าง เป็นผู้ชายของตนเองมาจ้องตนเอง ไม่ใช่คนอื่นซะหน่อย

อีกอย่างเขาจ้องตนเอง แสดงว่าเขาใส่ใจตนเอง

ล้างสมองให้ตนเองแบบนี้ ในไม่ช้า วารุณีก็ค่อยๆ ชินกับการที่ผู้ชายมองตนเองแล้ว ถึงขั้นในบางครั้ง จะหันไปจ้องผู้ชายด้วย

ผู้ชายก็ไม่โกรธ ยิ้มที่ริมฝีปากแล้วมองเธอ ยื่นมือออกมาเป็นบางคราว เช็ดเศษแซนด์วิชที่ติดอยู่ข้างปากของเธอ ท่าทางอ่อนโยนและเอ็นดูมาก

ขณะนี้ โทรศัพท์ของนัทธีดังขึ้น

เขานำมือที่วางอยู่หลังเก้าอี้ของวารุณีลง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์มาดู ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น

วารุณีเห็นเขาเป็นแบบนี้ ก็ไม่ทานอาหารแล้ว ถามอย่างห่วงใย “ที่รักเป็นอะไรเหรอ ใครเนี่ย?”

“มารุต” นัทธีหนี่ตาแล้วตอบกลับ “ฉันมาที่นี่ ให้มารุตหยุดไปสองวัน ให้เขาอยู่กับเชอรีน ตามหลักแล้ว สองวันนี้เขาไม่มีงาน ไม่มีทางโทรหาฉันแน่นอน”

“ดังนั้นเขาโทรมาตอนนี้ ต้องมีเรื่องสำคัญอะไรแน่ๆ” วารุณีได้ยินคำพูดของเขาแล้วก็พูดต่อว่า “โอเค นายรีบรับ”

เธอเร่ง

นัทธีอื้มตอบกลับ วางโทรศัพท์ไว้ที่ข้างหู รับโทรศัพท์มาฟัง “มีเรื่องอะไร”

อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์ มีเสียงของมารุตดังผ่านมา “ท่านประธานครับ พงศกรออกจากจังหวัดจันท์แล้วครับ”

“ห๊ะ?” นัทธีหรี่ตา “เขาออกจากจังหวัดจันทร์แล้ว?”

“ใช่ครับ” มารุตพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ผมไปเปลี่ยนยาเป็นเพื่อนเชอร์รีนที่โรงพยาบาล เพราะว่าตำแหน่งที่ตั้งของเราใกล้กับโรงพยาบาลบัวหลวง ดังนั้นจึงไปเปลี่ยนยาที่โรงพยาบาลบัวหลวง จากนั้นก็ได้ยินคุณหมอพูดคุยกันว่า พงศกรลาออกจากไปอีกครั้ง” จากนั้นผมก็เลยสืบเรื่องราวหลังจากที่พงศกรลาออกไป ค้นพบว่าเขาได้ซื้อตั๋วเครื่องบินที่จะไปประเทศอเมริกาครับ

“งั้นแสดงว่า เขาไปประเทศอเมเริกา?” นัทธีขมวดคิ้ว

“ใช่ครับ ตอนนี้เขาน่าจะอยู่บนเครื่องบินแล้ว” มารุตตอบกลับ

นิ้วที่เรียวยาวของนัทธีเคาะเบาๆ อยู่บนโต๊ะอาหาร “รู้เป้าหมายที่เขาไปประเทศอเมริกาไหม?”

“ยังไม่ทราบชั่วคราวครับ แต่ว่าเขาลาออกได้เร่งรีบมาก ตั๋วเครื่องบินก็ซื้ออย่างเร่งรีบ ดังนั้นผมจึงเดาว่าทางประเทศอเมริกาน่าจะมีเรื่องบางอย่างต้องให้เขาไปจัดการครับ แต่ว่าหลักคืออะไร ผมก็ไม่รู้แล้วครับ ต้องเพิ่มเติมต่อไปครับ” มารุตครุ่นคิดแล้วพูด

นัทธีเงยหน้าขึ้น “งั้นก็สืบเพิ่มเติมต่อไปเลย จะต้องสืบให้ได้ว่าพงศกรไปทำอะไรที่นั่น มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลจิรดำรงค์หรือเปล่า