“ผมทราบแล้วครับ” มารุตพยักหน้าตอบรับ
หลังจากนั้น การสนทนาก็จบลง
นัทธีวางโทรศัพท์ลง ขมวดคิ้วแน่น
วารุณีก็ไม่กินแล้ว ผลักจานไปไว้ข้างๆ เรียกคนใช้มาเก็บไป
หลังจากที่คนใช้เก็บจานไปแล้ว วารุณีจึงจะหันไปทางนัทธีแล้วถาม “เกิดอะไรขึ้น? เมื่อกี้เหมือนฉันได้ยินนายบอกว่า พงศกรไปประเทศอเมริกาแล้ว”
“อื้ม” นัทธีหยักหน้า “พงศกรลาออกจากโรงพยาบาลบัวหลวงแล้ว ตอนนี้ออกจากจังหวัดจันทร์ไปแล้ว อยู่บนเครื่องบินที่บินตรงไปประเทศอเมริกา”
“เขาไปทำอะไรที่ประเทศอเมริกา?” วารุณีรู้สึกไม่เข้าใจ
นัทธีส่ายหัวเบาๆ “ไม่ชัดเจน ฉันเดาว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับตระกูลจิรดำรงค์”
“ตระกูลจิรดำรงค์?” วารุณียิ่งรู้สึกงงเข้าไปใหญ่ “แต่ว่าพวกปาจรีย์ ก็ไม่ได้ถูกนายส่งไปที่ประเทศอเมริกานิ ดังนั้นเขาไปที่นั่น น่าจะไม่ใช่เพราะตระกูลจิรดำรงค์”
“ไม่ว่าใช่หรือเปล่า ลองสืบดูก็รู้แล้ว” นัทธีพูดด้วยเสียงต่ำ
วารุณีพยักหน้า “ก็จริงๆ ช่วงนี้พงศกรอยากจะหาปาจรีย์ให้เจออย่างเดียว สำหรับการหายตัวไปของเขา พวกเราต้องสืบให้ชัดเจน ไม่แน่เขาอาจจะรู้ข่าวคราวของปาจรีย์จากทางประเทศอเมริกา ไม่ว่ายังไงแล้วเขาก็เป็นหมอ มีเส้นสายที่กว้างขวาง”
“ดังนั้นฉันให้มารุตไปสืบแล้ว อย่างกังวล” นัทธีลูบผมของเธอเบาๆ
วารุณีเบ้มุมปากแล้วยิ้ม “อื้ม ฉันจะไม่เป็นห่วงก่อน โอเค พวกเราออกไปเถอะ ฉันจะไปทำแบบร่างการออกแบบที่ห้องหนังสืออีก”
“ไปเถอะ” นัทธีตอบกลับ จูงมือของเธอ เดินออกไปทางนอกห้องอาหาร
ออกจากห้องอาหารแล้ว วารุณีก็ขึ้นตึกไปที่ห้องหนังสือ
นัทธีไม่ได้ไป นั่งอยู่ในห้องรับแขก ดูทีวีไปด้วย พลางรอเด็กทั้งสองกลับมาด้วย
เด็กทั้งสองเล่นอยู่ที่ข้างนอก เดี๋ยวกลับมาแล้วต้องร้อนมากแน่ๆ
เขาที่เป็นพ่อ จะต้องเช็ดเหงื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ลูกแน่นอน
ไม่เช่นนั้น เด็กทั้งสองอาจจะเป็นหวัด
อีกทางหนึ่ง ณ ประเทศอเมริกา
หลังจากที่พงศกรลงจากเครื่องบินแล้ว ก็ตรงไปทางลานจอดรถ
ตรงนั้น มีรถหรูคันหนึ่งกำลังจอดอยู่
พงศกรเดินตรงไปทางรถคันนั้น มาถึงตรงหน้ารถ หน้าต่างของรถก็ถูกลดลง เผยใบหน้าที่มีความคล้ายคลึงกับนัทธีออกมา
นิรุตติ์!
พงศกรมองเขาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก “นายเรียกให้ฉันมาที่นี่ บอกว่าจะบอกข่าวของตระกูลจิรดำรงค์กับฉัน เป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“แน่นอน” นิรุตติ์หรี่ตายิ้มแล้วตอบกลับ
พงศกรยักไหล่ “แต่ว่าฉันรู้ นายไม่มีทางบอกฉันตรงๆ แน่ บอกมาเถอะ นายต้องการอะไร?”
รอยยิ้มของนิรุตติ์ยิ่งอยู่ยิ่งเข้มข้น “สมแล้วที่เป็นคุณหมอพงศกร ฉลาดจริงๆ”
“บนโลกใบนี้ไม่มีอาหารจานฟรี เหตุผลนี้ ไม่ต้องพูดใครๆ ก็เข้าใจ” พงศกรเม้มริมฝีปากบาง พูดด้วยเสียงเบาว่า “บอกมาเถอะ นายต้องการอะไรกันแน่ จึงจะยอมบอกข่าวทั้งบ้านของปาจรีย์ให้ฉัน”
“วางใจเถอะครับคุณหมอพงศกร ความต้องการขอผมไม่สูง คุณสามารถทำได้แน่นอน ผมแค่ต้องการให้คุณช่วยทำการผ่าตัดให้หน่อย ขอแค่การผ่าตัดสำเร็จ ผมก็จะบอกข่าวคราวของตระกูลจิรดำรงค์กับคุณ” แขนของนิรุตติ์วางอยู่บนกระจกรถแล้วพูด
พงศกรหรี่ตา “นัทธีเป็นคนพาตระกูลจิรดำรงค์ไป นายแน่ใจเหรอว่านายรู้ข่าวคราวของตระกูลจิรดำรงค์? ฉันต้องการให้นายรับรองว่านายรู้ ฉันจึงจะตกลงนาย ผ่าตัดให้ ไม่เช่นนั้น ฉันเองก็ไม่รับรองว่า ฉันจะทำอะไรกับผู้ป่วยระหว่างการผ่าตัดหรือเปล่า”
นิรุตติ์ได้ยินคำพูดที่มีน้ำเสียงการขู่ ก็ไม่ได้โกรธ ในทางกลับกันคือยิ้มขึ้นมา “สมแล้วที่เป็นคุณหมอพงศกร ไม่ยอมเสียเปรียบเลยแม้แต่น้อย แต่ว่านายวางใจได้ ฉันไม่ได้โกหกนาย คนทั้งบ้านของตระกูลจิรดำรงค์ถูกนัทธีจัดให้จากไปจริงๆ แต่ว่าฉันอยากรู้ข่าวคราวของพวกเขา ไม่ใช่เรื่องยาก จุดนี้ฉันไม่มีความจำเป็นต้องโกหกนาย ก็เหมือนกับที่นายพูด นายคือหมอ หากฉันโกหกนาย ไม่แน่นายอาจจะทำอะไรบนตัวผู้ป่วย ดังนั้นนายคิดว่าฉันกล้าโกหกนายไหม?”
นิรุตติ์ยอม จากนั้นก็พูดต่อว่า “ฉันเรียกนายกลับมาจากต่างประเทศอย่างยากลำบากขนาดนี้ ให้นายมาทำการผ่าตัด ต้องเห็นว่าฉันให้ความสำคัญกับผู้ป่วยคนนั้นแค่ไหน ฉันนำคนแบบนี้ส่งมอบให้นาย ฉันยังจะโกหกนายอยู่ไหม?”
พงศกรเฮอะไปเสียงหนึ่ง “ขอให้สิ่งที่นายพูดเป็นความจริงละกัน โอเค ฉันตกลงจะผ่าตัดให้ผู้ป่วยของนาย หากการผ่าตัดสำเร็จ รีบบอกข่าวคราวของตระกูลจิรดำรงค์ให้ฉันทันที”
“วางใจได้” นิรุตติ์พูดจบ ก็ยื่นมือไปทางที่นั่งคนขับ
คนขับรถที่รีบยื่นซองเอกสารสีเหลืองฉบับหนึ่งให้เขา
นิรุตติ์หยิบซองเอกสารมาแล้วไม่ได้เปิดออก แต่ว่ายื่นออกไปทางนอกหน้าต่าง ให้กับพงศกร “เพื่อที่จะให้นายเชื่อว่าฉันรู้ข่าวคราวของตระกูลจิรดำรงค์จริงๆ ฉันสามารถให้นายดูอะไรบางอย่าง นี่ก็ถือว่าเป็นความจริงใจหนึ่งของฉันละกัน”
“คืออะไร?” พงศกรจ้องซองเอกสาร ไม่ได้รีบรับมา
รอยยิ้มโค้งที่ริมฝีปากของนิรุตติ์ชัดเจนยิ่งขึ้น “นายดูแล้วก็จะรู้เอง ฉันขอเตือนให้นายลองดู ไม่เช่นนั้นนายจะเสียใจ”
เห็นเขาพูดอย่างจริงจังขนาดนี้ พงศกรพูดด้วยน้ำเสียงที่เสียดสี “งั้นเหรอ? ฉันจะลองดูว่า ที่นี่มีของอะไรที่จะทำให้ฉันเสียใจ”
พูดจบ เขาก็หยิบซองเอกสารมา จากนั้นก็หยิบของข้างในออกมา
นิรุตติ์พยุงหัว มองเขาด้วยความสนใจ
เห็นเขาจากตอนแรกที่ดูถูก ถึงตกใจ ถึงขั้นไม่อยากเชื่อ รอยยิ้มโค้งที่มุมปากของนิรุตติ์ชัดเจนยิ่งขึ้น
“นี่เป็นไปไม่ได้!” พงศกรจับเอกสารในมือแน่น บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่เงียบสงบ ดวงตาแดงก่ำไปหมดแล้ว
นี่เป็นไปไม่ได้แน่นอน!
ปาจรีย์เธอจะลืมเขาไปได้ยังไง!
“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้กัน?” นิรุตติ์เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ “จากที่นายเห็น ปาจรีย์รักนายจนรักอย่างบ้าคลั่ง ควรจะรักนายตลอดชีวิต ร้องไห้เพื่อนายยิ้มเพื่อนาย เจ็บปวดเพื่อนาย ไม่เปลี่ยนใจทั้งชีวิตใช่ไหม? แต่ว่าความจริงยืนยันแล้ว เธอไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงแม้ว่าเธอจะไม่เปลี่ยนใจ แต่ว่าเธอทำได้อย่างเด็ดขาดกว่า เธอลืมนายแล้ว ไม่รักนายแล้ว”
“นี่เป็นเรื่องปลอม” พงศกรพุ่งเข้ามาตรงหน้าต่างรถของเขาทันที จ้องเขาด้วยสีหน้าที่บิดเบี้ยว “นิรุตติ์นายบอกฉันมา นี่คือเรื่องปลอม ปาจรีย์เธอไม่มีทางทำแบบนี้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน ฉันเองก็ไม่เชื่อ!”
พูดจบ พงศกรก็ขยำเอกสารในมือเป็นก้อน โยนลงพื้นอย่างแรง
ปาจรีย์เธอจะไปสะกดจิตได้อย่างไร จะลืมเขาไปได้อย่างไร
เธอบอกอยู่กับปากว่ารักเขา สุดท้ายแล้ว ก็คือการรักแบบนี้เหรอ?
แล้วก็ เขามักจะล้างสมองเธอทุกครั้ง เธอไม่มีทางมีความคิดที่จะไปสะกดจิตลืมเขาแน่นอน
นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
สีหน้าของพงศกรเปลี่ยนแปลงไม่หยุด สีหน้าก็ไม่คงที่
นิรุตติ์ก้มหน้ามองก้อนกระดาษที่ถูกเขาทิ้งลงบนพื้น เลิกคิ้ว “คุณหมอพงศกร ฉันรู้ว่าเรื่องนี้น่าตะลึงงันมาก ไม่ว่ายังไงแล้วคุณปาจรีย์ก็รักนายขนาดนั้น ยังไงก็ไม่มีทางลืมนายแน่นอน แต่ว่านี่คือความจริง หากนายไม่อยากเชื่อจริงๆ ก็รีบตามไปกับฉัน การผ่าตัดสำเร็จได้เร็ว ฉันก็จะได้รีบบอกข่าวคราวของตระกูลจิรดำรงค์ให้นาย นายก็สามารถรีบไปถามเรื่องนี้กับคุณปาจรีย์ได้”
เขาพูดถูก เขาไม่มีทางเชื่อว่าปาจรีย์จะเป็นแบบนี้
เขาจำเป็นต้องไปหาปาจรีย์ถามให้ชัดเจน!
อารมณ์ในใจของพงศกรพลุ่งพล่านไม่หยุด สุดท้ายดึงประตูรถของนิรุตติ์ออก “ขับรถ”
นิรุตติ์ยิ้มที่ริมฝีปาก จากนั้นก็ออกคำสั่งกับคนขับรถ “ขับรถเถอะ ตรงไปทางโรงพยาบาล”
“ได้ครับหัวหน้า” คนขับรถตอบรับ แล้วสตาร์ทรถ
นิรุตติ์มองไปทางพงศกรที่อยู่ข้างกาย “จำเป็นต้องให้ฉันบอกอาการของผู้ป่วยหน่อยไหม?”
“หากนายยอมบอกย่อมดีอยู่แล้ว ฉันสามารถรู้อาการได้เร็ว จะได้รีบตัดสินใจว่าทำการผ่าตัดอะไร” พงศกรใช้หางตามองเขา พูดอย่างเย็นชา
นิรุตติ์ลูบคาง “ได้ ในเมื่อนายพูดแบบนี้แล้ว งั้นฉันก็จะบอกนาย หวังว่าจะนายรีบคิดออกว่าควรทำการผ่าตัดแบบไหน”