บทที่ 841 ฉินเย่จือหึงแล้ว

ทะลุมิติไปเป็นสาวนาผู้ร่ำรวย

บทที่ 841 ฉินเย่จือหึงแล้ว

บทที่ 841 ฉินเย่จือหึงแล้ว

ตระกูลจ้าวที่ใช้ชีวิตอย่างมีเกียรติได้สูญเสียแหล่งรายได้ไปแล้ว หากข้อเสนอการแต่งงานสำเร็จ กู้เสี่ยวหวานจะหาเงินได้

และจากนี้ไปยังจะกลายเป็นตัวทำเงินให้กับตระกูลจ้าว

กู้เสี่ยวหวานตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินฉินเย่จือพูดถึงนายน้อยของตระกูลจ้าว

นางค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมฉินเย่จือบอกตนเองหลายอย่างเกี่ยวกับตระกูลจ้าว “เหตุใดเจ้าถึงพูดถึงเขา”

ทันใดนั้นราวกับว่านางเข้าใจบางอย่าง กู้เสี่ยวหวานจึงโพล่งถามออกมาเมื่อเห็นท่าทางเศร้าและโกรธเคืองของฉินเย่จือ “พี่เย่จือ เจ้าหึงหรือ?”

เมื่อฉินเย่จือถูกกู้เสี่ยวหวานจับได้ ใบหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำทันที เขาไม่พูดกับกู้เสี่ยวหวานอีกต่อไป ก่อนจากไป เขายังคงมองกู้เสี่ยวหวานด้วยท่าทางเศร้าสร้อย จากนั้นหันหลังกลับและกลับไปที่ห้อง

กู้เสี่ยวหวานถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว

เมื่อครู่ กู้เสี่ยวหวานค้นพบความลับของฉินเย่จือ ไปตลอดจนถึงความเศร้าโศกเสียใจที่ฉินเย่จือส่งมาก่อนจะจากไป

ทันใดนั้น นางก็คิดว่าตัวเองเป็นคนโง่เขลา

ใบหน้าของกู้เสี่ยวหวานขึ้นสีแดงก่ำไม่ใช่เพราะละอายใจ

เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของคนอื่น แต่มันเป็นความผิดของตัวนางเอง

คำถามที่นางโพล่งออกไปเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นการล้อเล่น

นางรู้ดีว่าฉินเย่จือกำลังคิดสิ่งใด นางรู้ดี แต่ยังแสร้งเป็นหูหนวกตาบอด และคราวนี้ยังพูดสิ่งนั้นออกมาอีก นางสมควรตายจริง ๆ

นางเงยหน้าขึ้นและมองไปยังทิศทางที่ฉินเย่จือจากไป แผ่นหลังของเขาหายลับไปจากสายตาแล้ว

ก่อนจากไป สายตาคู่นั้นที่มักจะมองมาที่นางด้วยความเอ็นดูและความสุข แต่ตอนนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นแววตาที่เศร้าสร้อย ทำให้หัวใจของกู้เสี่ยวหวานเจ็บปวดเกินกว่าที่จะคาดเดาได้

หวานเอ๋อร์ เจ้ารีบโตนะ

กลิ่นหอมจาง ๆ ภายในห้องที่มืดมิด เสียงถอนหายใจราวกับค้อนหนักอึ้งกระแทกหัวใจของนางอย่างแรง ทำให้รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออก

ยามเย็น ฉินเย่จือไม่ได้ออกไปทานอาหารเย็น นั่นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

แม้แต่กู้ฟางสี่ก็ยังรู้สึกงงงวย “อ้าว ทำไมวันนี้ไม่เห็นเขาออกมา? ไม่ใช่ว่าหลังกินข้าวเสร็จเขาจะออกไปเดินเล่นกับเสี่ยวหวานหรอกหรือ?”

“แม่นาง พี่ใหญ่ฉินบอกว่าเขารู้สึกไม่สบายเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่อยากอาหาร” อาโม่พูด

ทันทีที่กู้หนิงผิงได้ยินว่าอาจารย์ไม่ออกมากินข้าว เขาก็ทำท่าว่าจะลุกขึ้นไปดู “อาจารย์ไม่สบายตรงไหน ท่านพี่ ข้าจะไปดูเขาสักหน่อย”

เขากำลังลุกขึ้นและเดินออกไป แต่กู้เสี่ยวหวานรีบหยุดเขาเอาไว้ “ทุกคนกินข้าวก่อนเถอะ เราจะยกอาหารไปให้เขาทีหลัง”

อาโม่รีบเอ่ย “ข้าจะยกไปเอง”

ครั้นกู้เสี่ยวหวานได้ยิน ตนก็ไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น นางจึงพูดอะไรบางอย่าง “เจ้ากินเถอะ อีกครู่ข้าจะยกไปเอง”

น้ำเสียงของนางอ่อนลงเรื่อย ๆ ก่อนจะก้มศีรษะ ความมั่นใจค่อย ๆ เลือนหายไป

ทุกคนรู้สึกงุนงงเล็กน้อย แต่ก็อยากที่จะเอ่ยอะไร

มีเพียงอาโมที่รู้เรื่องนี้ และรีบพูดอย่างตื่นเต้น

แต่มันกลับทำให้กู้เสี่ยวหวานรู้สึกอึดอัดยิ่งกว่าเดิม

สำหรับอาหารมื้อนี้ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้รับรู้ถึงรสชาติอาหาร ยิ่งนางคิด นางก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายใจ ดังนั้นยืนขึ้นและพูดว่า “ทุกคนกินข้าวไปก่อนเลย ข้ากลัวว่าพี่เย่จือจะหิว ดังนั้นข้าจะไปดูเขาก่อน ไม่ต้องรอข้านะ”

อาโม่จ้องมองกู้เสี่ยวหวาน จากนั้นหันไปมองชามข้าวของนาง แต่มันไม่พร่องลงเลยแม้แต่น้อย

ป้าจางเข้าไปที่ห้องครัว และส่งอาหารที่เตรียมไว้ให้กู้เสี่ยวหวานยกออกไป

หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานรับมันมา นางก็หมุนกายเดินไปยังห้องของฉินเย่จือทันที

ย่างก้าวของนางนั้นหนักอึ้ง ยิ่งเข้าใกล้ประตูมากเท่าใด ก็ดูเหมือนจะหนักอึ้งมากยิ่งขึ้น

นางรวบรวมความกล้า ก้าวไปหยุดลงหน้าประตูห้องของฉินเย่จื่อ เคาะหนึ่งทีพลางส่งเสียงเรียก “พี่เย่จือ”

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านใน ประตูถูกเปิดออกโดยไม่คาดคิด กู้เสี่ยวหวานเงยหน้าขึ้น และพบกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความยินดีของฉินเย่จือ

“หวานเอ๋อร์” เสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย หากแต่ก็ยังเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง

กู้เสี่ยวหวานยกกล่องอาหารในมือตนเองขึ้น “เจ้ายังไม่ได้กิน คงหิวแล้วใช่หรือไม่ ข้าเอามาให้ เป็นของโปรดของเจ้าทั้งหมด”

ฉินเย่จือตอบรับ เบี่ยงกายให้กู้เสี่ยวหวานเดินเข้าไปด้านใน

ภายในห้องไม่มีแสงสว่าง หลังจากที่กู้เสี่ยวหวานเข้ามา ฉินเย่จือไม่ได้ปิดประตูลงทันที แต่ยกกล่องอาหารในมือของกู้เสี่ยวหวานมา และดึงแขนเสื้อของนางเบา ๆ พลางเอ่ยเตือนว่า “มันมืดเกินไป เจ้าอย่าเพิ่งขยับ ข้าจะไปจุดตะเกียงให้ก่อน”

ค่ำคืนนี้ไม่มีพระจันทร์ โคมไฟสีแดงตรงทางเดินเปล่งแสงสลัว

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานยังไม่คุ้นชินกับความมืดตรงหน้า จึงตอบรับเสียงแผ่วและเห็นฉินเย่จือปล่อยแขนเสื้อของตน และเดินจากไปอย่างคุ้นทาง

หลังจากนั้นไม่นาน แสงเทียนจาง ๆ ก็ส่องแสงให้ความสว่างภายในห้อง

กู้เสี่ยวหวานไปหยุดที่โต๊ะตัวหนึ่งภายในห้อง ทำการเปิดกล่องอาหาร และนำอาหารข้างใน ออกมา

เป็นอาหารโปรดของฉินเย่จือในยามปกติ แต่ก็เป็นอาหารโปรดของนางเช่นกัน

ปลาและผัก นางไม่เคยชอบหมูนัก เมื่อก่อนตอนไม่มีอาหารประทังชีวิต การเห็นหมูก็ราวกับการเห็นแม่ของตัวเอง แต่ต่อมาสภาพที่บ้านก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ นางจึงไม่ต้องกังวลว่าจะกินอะไร และนางชอบกินเนื้อสัตว์ที่กินเฉพาะพืช เช่นวัวและแกะ มันรสชาติดีกว่าเนื้อหมูมาก

กู้เสี่ยวหวานจัดอาหารลงบนโต๊ะทั้งหมด กลิ่นอาหารลอยตลบอบอวลทั่วห้อง ด้วยเหตุผลบางอย่าง ตอนอยู่ตรงโต๊ะอาหารนางไม่มีความอยากอาหาร แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาแล้ว

อย่างไรก็ตาม อาหารเหล่านี้ถูกเตรียมไว้สำหรับฉินเย่จือ และกู้เสี่ยวหวานก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะกินมันเช่นกัน

เมื่อเห็นว่ากู้เสี่ยวหวานมาส่งอาหารให้เขาด้วยตัวเอง ฉินเย่จือก็รู้สึกโล่งใจ อย่างน้อยกู้เสี่ยวหวานก็รับรู้ว่าเขาเสียใจ

ฉินเย่จือหยิบชามข้าวขึ้นมา และถามว่า “หวานเอ๋อร์ เจ้ากินข้าวหรือยัง”

ทุกถ้อยคำ ทุกประโยค เต็มไปด้วยความใส่ใจ

กู้เสี่ยวหวานซาบซึ้งใจจนอยากร้องไห้ “ข้ากินแล้ว ข้ากินแล้ว เจ้ารีบกินมันเถอะ”

หลังจากได้ยินว่ากู้เสี่ยวหวานกินข้าวแล้ว ฉินเย่จือก็รู้สึกโล่งใจและหยิบชามข้าวขึ้นมา

เดิมทีเขาไม่มีความอยากอาหารมากนัก แต่เมื่อเขาเห็นกู้เสี่ยวหวานมาส่งอาหารด้วยตัวเอง ความอยากอาหารของเขาก็กลับมา

ทั้งสองนั่งอยู่ที่โต๊ะ คนหนึ่งกิน คนหนึ่งดู

ไม่ส่งเสียงใด ๆ

แม้ว่าฉินเย่จือกำลังรับประทานอาหาร แต่เขาก็ไม่ได้ส่งเสียงดัง

ชาติที่แล้ว หากครอบครัวสอนมาดี พวกเขาจะตักเตือนเด็ก ๆ ถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเมื่อรับประทานอาหาร

วัฒนธรรมจีนนั้นกว้างขวางและลึกซึ้ง แม้แต่การรับประทานอาหารที่โต๊ะก็มีความพิเศษมาก