บทที่ 842 รอข้าโตก่อน

บทที่ 842 รอข้าโตก่อน

ข้าวไม่ควรหกเลอะเทอะ ถ้วยชามไม่ควรชนกันจนเกิดเสียงดัง นอกจากนี้ ตะเกียบไม่ควรกระทบจาน ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ใช้ตะเกียบคีบเลือกของในชาม และรับประทานโดยไม่ส่งเสียงดัง

เวลาทานอาหารควรนั่งหลังตั้งตรง ไม่นั่งหลังค่อม

อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ฉินเย่จือกำลังทานอาหารด้วยท่วงท่าเดียวกับในตำราเรียน

แผ่นหลังตั้งตรง เรียกได้ว่าสง่างามยิ่งนัก

กู้เสี่ยวหวานรู้สึกงุนงงเล็กน้อยเมื่อมองดู หากแต่ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด ๆ นางนั่งเท้าคางและมองจ้องไปยังฉินเย่จืออย่างไม่ปิดบัง

ครั้นเห็นกู้เสี่ยวหวานมองเขาแบบนั้น ฉินเย่จือพลันรู้สึกมีความสุขเล็กน้อย เขาวางชามและตะเกียบลงและมองไปที่กู้เสี่ยวหวานด้วยประหลาดใจ หัวใจของเขารู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก “หวานเอ๋อร์ น้ำลายของเจ้ากำลังไหลออกมา”

ถ้าหากมีสตรีใดกล้าจ้องมองเขาเช่นนี้ เกรงว่าตนเองจะควักลูกตาของนางผู้นั้นออกมาเป็นแน่

แต่นี่คือกู้เสี่ยวหวาน ในใจของเขาหวังว่าสายตาของกู้เสี่ยวหวานจะไม่มีวันละไปจากเขา และหวังว่ากู้เสี่ยวหวานจะมองเขาด้วยสายตาแบบนั้นตลอด เช่นนั้นมันก็คงจะดี

เมื่อกู้เสี่ยวหวานได้ยินเสียงของฉินเย่จือ นางก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง ก่อนจะตระหนักได้ถึงมารรยาท สิ่งนั้นมันทำให้รู้สึกอายมากจนรีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก

หลังจากเช็ดอยู่นานก็ไม่เห็นมีน้ำลายสักหยด

เมื่อเห็นใบหน้าล้อเลียนของฉินเย่จือ กู้เสี่ยวหวานก็รู้ตัวทันทีว่าตนเองกำลังถูกอีกฝ่ายหลอก

นางมองผู้ชายจนน้ำลายไหล นางบ้าผู้ชายขนาดนั้นเลยหรือ?

ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ นานวันเข้าไม่รู้ว่าความคิดของนางล่องลอยไปไหน ขนาดผู้ชายยังมาล้อเลียนตัวเอง ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ และยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า ดังนั้นจึงลุกขึ้นเตรียมจากไป “เอาล่ะ ข้าจะกลับไปกินข้าว เจ้ากินให้อร่อยเถอะ”

“ทำไมเจ้าไม่กินอะไรก่อนจะมาที่นี่?” ฉินเย่จือตกใจเมื่อได้ยินกู้เสี่ยวหวานบอกว่าตนเองกำลังจะกลับไปกินข้าว เขาผุดลุกขึ้น และคว้าแขนกู้เสี่ยวหวานไว้ พลางถามอย่างทุกข์ใจ “แล้วเมื่อครู่ที่ข้าถามเจ้าล่ะ”

“เมื่อครู่ที่เจ้าถาม ข้าแค่ไม่อยากกิน” กู้เสี่ยวหวานก้มหน้าลงแล้วพูดอย่างเศร้าใจ

“ทำไมเจ้าถึงไม่อยากกิน?” ฉินเย่จือพูดอย่างเป็นทุกข์ กู้เสี่ยวหวานไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา แต่ฟังจากน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลแล้ว นางก็ยังสามารถรับรู้ได้

“ถ้าอย่างนั้นบอกข้าสิว่าทำไมเจ้าถึงไม่ไปที่กินข้าวกับทุกคน” จู่ ๆ กู้เสี่ยวหวานก็เงยหน้าขึ้น และมองไปที่ฉินเย่จือ

ดวงตาที่สว่างไสวเหล่านั้นสว่างกว่าแสงเทียนและตราตรึงในใจของผู้คนอย่างลึกซึ้ง ไม่ว่าที่ไหนหรือเมื่อไร ตราบเท่าที่หลับตาก็จะสามารถนึกถึงมันได้ และไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้

“ข้า…” ฉินเย่จือไม่รู้จะตอบอย่างไร เขานิ่งงันอยู่นาน แต่ไม่สามารถพูดอะไรได้สักคำ

ตราบใดที่เหล่าน้อง ๆ ไม่ประสบความสำเร็จหรือยังไม่แต่งงาน ข้าจะไม่คิดถึงเรื่องเรื่องส่วนตัวเด็ดขาด

คำตอบของกู้เสี่ยวหวานที่มีต่อแม่สื่อพลันปรากฏขึ้นในใจของฉินเย่จือ

บุคคลที่มักทำตัวหยิ่งยโสและไม่สนใจ แต่ในยามนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าหญิงนางหนึ่ง เขากลับพูดสิ่งใดไม่ออก

หลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ฉินเย่จือก็ตัดสินใจได้

“หวานเอ๋อร์ ข้าอยากจะบอกอะไรบางอย่างกับเจ้า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องตอบมันออกมาก็ได้ เพียงเก็บคำถามนี้เอาไว้ในใจของเจ้าก็พอ” การปรากฏตัวของแม่สื่อทำให้ฉินเย่จือผู้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดรู้สึกถึงกังวล

แม้ว่าจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่ากู้เสี่ยวหวานจะไม่ยอมรับพวกเขา แต่คนเหล่านั้นก็มาถึงประตูบ้านด้วยเจตนาร้าย และต้องการแย่งชิงคนของเขาไป เขาไม่ต้องการได้ยินชื่อของผู้ชายคนอื่น แต่ต้องการให้นางจรดจำเอาไว้เพียงสามคำว่า ‘ฉินเย่จือ’

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา และฉินเย่จือก็ไม่เปิดโอกาสให้ตอบ

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดอย่างหนักแน่นว่า “หวานเอ๋อร์ ข้าเต็มใจรอ ข้ายินดีรอให้เจ้าทำสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จ ไม่ว่าจะนานแค่ไหน ข้าก็จะรอ”

ใช่แล้ว ไม่ว่าจะสามปี ห้าปี หรือสิบปี เขาก็ยินดีที่จะรอนางเสมอ

แม้ว่าในตอนนี้นางจะยังเป็นสาวน้อยที่ไม่เข้าใจอะไร แต่เขาก็ยินดีที่จะรอ

วันหนึ่งเมื่อนางโตขึ้น นางจะรับรู้ความรู้สึกของตัวเอง

เป็นครั้งแรกที่ฉินเย่จือเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา แม้ว่ากู้เสี่ยวหวานจะเป็นเพียงเด็กหญิง แต่นางก็ควรเข้าใจความคิดของเขา

กู้เสี่ยวหวานปิดปากของตัวเองด้วยความประหลาดใจ มองไปยังใบหน้าที่จริงจังของฉินเย่จือ ดวงตาสีดำโตของนางเบิกกว้าง

ตอนนี้ ในที่สุดนางก็รู้แล้วว่าทำไมฉินเย่จือถึงโกรธและเศร้า ปรากฏว่าเป็นเพราะมีคนมาพูดเรื่องแต่งงานจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ

อันที่จริงฉินเย่จือรู้สึกไม่สบายใจ

เมื่อเห็นกู้เสี่ยวหวานจ้องมองเขาด้วยสายตาว่างเปล่า ในใจก็รู้ว่าเขาอาจทำให้นางตกใจ แต่ในเมื่อพูดไปแล้ว เขาจะไม่มีวันกลับคำแน่นอน

และเขาจะไม่เสียใจเลย

ถ้าเขาไม่บอกกู้เสี่ยวหวาน เขาอาจจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต

อายุไม่สำคัญ แม้นางยังเด็ก แต่เขาก็เต็มใจที่จะรอนาง

ไม่ว่าจะห้าปีหรือสิบปี

เขารอได้ เขายังรอไหว

สิ่งที่แม่สื่อพูดนั้นถูกต้อง ต้องรีบจองตัวคนดี ๆ อย่างกู้เสี่ยวหวานให้เร็วที่สุด ใต้หล้านี้นอกจากเขาจะมีใครที่คู่ควรกับนางอีก

นางเปรียบดั่งหยกที่ถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นละออง ตราบใดที่ทำความสะอาดมันอย่างดี ก็สามารถเผยให้เห็นภาพลักษณ์ที่แท้จริงอันเปล่งประกาย

เขาไม่กังวลว่ากู้เสี่ยวหวานจะหนีหายไป ไม่ว่าโลกจะกว้างใหญ่แค่ไหน เขาก็จะตามหานางให้พบ

แต่สิ่งที่เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือ เมื่อกู้เสี่ยวหวานโตขึ้นแล้วหัวใจของนางจะไม่อยู่ที่เขาอีกต่อไป

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ คิ้วของฉินเย่จือก็ขมวดเข้าหากันแน่น เขาไม่สามารถปล่อยให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้

แม้ว่ามันอาจจะทำให้นางตกใจ แม้ว่านางจะด่าทอเขา แม้ว่านางจะปฏิเสธเขา แต่อย่างน้อยเขาก็ได้แสดงความรู้สึกของเขาแล้ว

และเขาจะไม่มีวันปล่อยให้นางตกหลุมรักชายคนอื่นเป็นอันขาด

กู้เสี่ยวหวานไม่ได้หวาดกลัวหรือตกใจ แต่หัวใจกลับเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง

ไม่มีผู้ใดเคยพูดกับนางเช่นนี้มาก่อน

ดวงตาของกู้เสี่ยวหวานเบิกกว้าง เมื่อมองไปที่สายตาอันเจ็บปวดของฉินเย่จือและคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน หัวใจของนางเจ็บปวดโดยไม่มีเหตุผล

นางเขย่งปลายเท้าขึ้น ยกมือขึ้นลูบหน้าผากของฉินเย่จืออย่างแผ่วเบา พยายามบรรเทาความโศกเศร้าและความอ้างว้างระหว่างคิ้วของฉินเย่จือ

ความไม่สบายใจและความวิตกกังวลของกู้เสี่ยวหวานในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาถูกทำลายโดยคำพูดของฉินเย่จือทันที

แล้วนางจะยังกลัวอะไร

“พี่เย่จือ อย่าขมวดคิ้วเช่นนี้สิ เช่นนั้นหากข้าโตแล้ว เจ้าจะแก่เกินไป”