“ทำไม นายคิดว่านัทธีจะจับนายไม่ได้?” พงศกรพูดเสียดสี
นิรุตติ์ก้มมองลงล่าง ไม่ได้พูดอะไร ผ่านไปชั่วครู่ จึงจะเอ่ยปากพูด “ฉันไม่เคยพูดว่านัทธีจับฉันไม่ได้ บนโลกใบนี้ ก็ไม่มีสถานที่สามารถหลบซ่อนไปทั้งชีวิตได้ ฉันกับนัทธี สุดท้ายแล้วจะต้องสู้กันโดยต่อหน้า”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นนายยังจะหลบทำไม? ปรากฏตัวอยู่ต่อหน้านัทธีก็ได้แล้วไม่ใช่เหรอ?” พงศกรพูด
นิรุตติ์เม้มริมฝีปาก “นี่ก็ไม่เกี่ยวกับนายแล้ว นายยังไม่ได้ตอบคำถามของฉันในเมื่อกี้ แผนดำเนินการผ่าตัดของผู้ป่วย นายคิดออกหรือยังกันแน่?”
“แผนดำเนินการฉันมีแล้ว แต่ว่าหลักๆ ยังไม่สามารถลงมือทำได้ ต้องเห็นผู้ป่วยกับตาก่อนจึงจะรู้” พงศกรตอบกลับอย่าเฉยชา
นิรุตติ์พยักหน้า “แบบนี้ง่ายเลย ตอนนี้พวกเราอยู่ระหว่างทางไปโรงพยาบาล นายถึงโรงพยาบาล ก็สามารถได้เจอแล้ว”
พงศกรไม่ได้พูดอะไรแล้ว
นิรุตติ์เองก็ปิดปากแล้ว
ภายในรถเงียบสงบ ได้ยินเพียงแต่เสียงหายใจที่แผ่วเบา
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมงแล้ว
นิรุตติ์พาพงศกรเข้าไปในโรงพยาบาล ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วโมง ผู้ป่วยถูกเข็นเข้ามาในห้องผ่าตัด
อีกทางหนึ่ง หลังจากที่วารุณีทำธุระเสร็จแล้ว ก็ลงตึกมาที่ห้องรับแขก เตรียมตัวจะดื่มอะไรเล็กน้อย
ในห้องรับแขก นัทธีถือโทรศัพท์ไว้ ราวกับว่ากำลังโทรคุยกับใครบางคน สีหน้าไม่ได้ดีมากซักเท่าไหร่
วารุณีเดินไปด้วยจังหวะเท้าเดินเบาๆ เติมน้ำให้ตนเองด้วย พลางมองเขาด้วย ไม่ได้รบกวนการคุยโทรศัพท์ของเขา
จนกระทั่งผ่านไปสองสามนาที นัทธีคุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว วางโทรศัพท์ลงจากข้างหู วารุณีจึงจะดื่มน้ำแล้วถามขึ้นว่า “ที่รัก เกิดอะไรขึ้น? สีหน้าแย่ขนาดนี้เลย?”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่” นัทธีนวดหว่างคิ้ว ตอบกลับด้วยความเหนื่อยล้า
วารุณีเห็นแล้ว วางแก้วในมือลง ลุกขึ้นเดินไปยังข้างหลังของเขา นวดไหล่ให้เขา “บอกฉันหน่อยซิ ดูว่าฉันสามารถช่วยอะไรได้ไหม หากไม่ได้ ก็ถือซะว่าเป็นผู้ฟัง ช่วยให้นายคลายกังวลก็ได้นะ”
นัทธียิ้มอ่อน “โอเค จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หลังจากที่ขงเบ้งเสียชีวิตแล้ว ถูกฉันย้ายไปที่บริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป เพราะว่าบริษัทของขงเบ้งกระจายขยายมากเกินไป ดังนั้นอยากจะจัดการใหม่ทั้งมด หลอมเข้ามาอยู่ในกระดานหมากของบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ต้องใช้เวลาจำนวนมาก ตอนนี้มาผ่านสองสามเดือน คนที่รับผิดชอบบริษัทของขงเบ้งส่งข้อความมา บอกว่าบริษัทพวกนั้นของขงเบ้ง จริงๆ แล้วล้วนอยู่ในสถานะขาดทุน”
“ขาดทุน?” วารุณีเลิกคิ้ว
นัทธีอื้มตอบกลับ “ขงเบ้งคนคนนี้ใช้เงินเก่งมาก ไม่ว่าทำอะไรก็ลงที่งบประมาณสาธารณะ ดังนั้นจึงส่งผลให้บัญชีของบริษัทพวกนั้นอยู่ในสถานะที่ขาดทุน บางอย่างถึงขั้นติดหนี้ด้วย”
“งั้นก็แสดงว่า นายนำบริษัทพวกนี้เข้ามารวมอยู่ในบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ป ยังต้องเติมเต็มส่วนที่ขาดว่างพวกนั้นให้ด้วย?”
นัทธีพยักหน้าน้อย “ใช่แล้ว”
“ถึงว่าล่ะสีหน้านายแย่ขนาดนี้ แต่ว่าไม่เป็นไร รอให้จับนิรุตติ์ได้แล้ว ให้นิรุตติ์มาเติมเต็ม หนี้ของพ่อลุกมาคืนไง” วารุณีซบอยู่ที่ไหล่ของเขาแล้วพูด
นัทธีหันไปมองเธอ ยิ้มอย่างเอ็นดู “ภรรยาฉันฉลาดที่สุด”
“ใช่ไหมล่ะ?” วารุณียิ้มแล้วตอบกลับ
นัทธีพยักหน้า “ใช่แล้ว!”
“โอเค ไม่คุยกับนายแล้ว ฉันไปดูก่อนว่าเด็กทั้งสองกลับมาหรือยัง หรือว่ายังเล่นโดรนอยู่ข้างนอกอยู่
พูดจบ วารุณีปล่อยไหล่ของนัทธีออก แล้วจะออกไป
นัทธีจับมือของเธอ “พวกเขากลับมาแล้ว”
“กลับมาแล้ว?” วารุณีหยุดจังหวะเท้าเดิน
นัทธีพยักหน้า “กลับมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนที่เธอนุ่งอยู่ ฉันมาพวกเขาขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ตอนนี้น่าจะหลับแล้ว”
“หลับเช้าขนาดนี้เลย คิดว่าน่าจะเล่นจนเหนื่อยซินะ” วารุณีอ้อมโซฟาไป เดินไปนั่งข้างกายเขา
นัทธีโอบไหล่ของเธอ ให้เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดของตนเอง “เล่นจนเหนื่อยแล้วจริงๆ”
“งั้นคืนนี้คงเรียกไม่ตื่นแน่ๆ” วารุณีพูดอย่างจนปัญญา
นัทธียิ้มอ่อน “งั้นก็ให้พวกเขานอนเถอะ พรุ่งนี้ต้องไปเช้าๆให้พวกเขาได้นอนอิ่มพอดี เดี๋ยวตอนเช้าตื่นมาจะงอแงอีก”
ได้ยินประโยคนี้ของผู้ชาย สีหน้าของวารุณีหม่นหมองลง “เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ พรุ่งนี้นายกับไอริณอารัณก็จะกลับไปแล้ว”
“ไม่เป็นไร สัปดาห์หน้าฉันจะพาเด็กทั้งสองมาอีก” นัทธีก้มหน้าหอมหน้าผากของผู้หญิง “เพื่อความฝันและการงาน การจากลาชั่วคราว ถือเป็นเรื่องปกติ”
“ฉันรู้ แค่รู้สึกไม่อยากเล็กน้อย” วารุณีเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่หล่อเหลาของผู้ชาย
ผู้ชายก็มองเธอ ก้มหน้ากัดไปที่ริมฝีปากของเธอ
วารุณีเบิกตากว้าง แล้วกัดกลับไป
นัทธีไม่หลบใดๆ ปล่อยให้เธอกัด
และแล้วในตอนที่เธอกัดขึ้นมา จู่ๆ เขาก็พลิกหันข้าง กดทับผู้หญิงล้มลงบนโซฟา จูบขึ้นมา
วารุณีรู้สึกตะลึงงันก่อน จากนั้นก็จับหน้าของผู้ชายไว้ จ้องผู้ชายแล้วพูดว่า “นายขี้โกง!”
นัทธียิ้มที่ริมฝีปาก “ฉันขี้โกงตรงไหน? ฉันไม่ได้บอกซะหน่อยว่าจะเล่มเกมกัดริมฝีปากกับเธอ ฉันอยากเล่นอันนี้กับเธอ ดังนั้นนี่ไม่ใช่การขี้โกง”
พูดจบ ก็ก้มหน้าอีกครั้ง จูบเธอ
ครั้งนี้วารุณีก็ผลักไม่ออก และไม่สามารถขยับได้ สุดท้ายได้แต่ยอมรับชะตากรรม ปล่อยตามผู้ชายไป
ถึงตอนสุดท้าย เธอถึงขั้นยกแขนขึ้น กอดคอของผู้ชาย ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตอบสนองกลับไป
ในที่ไม่ไกล บนบันได ลีน่าถือแก้วกาแฟเปล่ายืนอยู่ที่นั่น มองดูผู้ชายที่นัวเนียกับผู้หญิงบนโซฟาด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก
สองสามีภรรยานี้ จะให้คนมีชีวิตต่ออยู่หรือเปล่า?
ตอนที่ไม่อยู่ด้วยกัน ก็โทรมาหากันอย่างไม่หยุดยั้ง เธอคิดถึงฉัน ฉันคิดถึงเธอ ทำให้คนฟังแล้วรู้สึกขนลุกขึ้นมา กินอาหารสุนัขจนอิ่มท้อง
ตอนนี้เจอหน้ากันแล้ว ก็เหมือนกับทารกติดตัว ไปไหนก็ไม่สามารถแยกกันได้ หาโอกาสนัวเนียกันตลอด
นี่ก็ จูบขึ้นมากลางโซฟาห้องรับแขกเลย ยังจะให้คนโสดมีชีวิตตาอยู่หรือเปล่า?
ลีน่าเห็นชายหญิงคู่นั้นไม่ได้หยุดลง แต่กลับจะเข้าในอีกขั้นต่อ ก็เบิกตาโตกว้าง รีบขึ้นตึกไปดู เห็นว่าบนตึกไม่มีใคร ก็โล่งอกไปที จึงจะเอ่ยปากขึ้นว่า “หยุด!”
บนโซฟา ชายหญิงที่ได้ยินเสียงเธอแล้วก็หยุดลงทันที
นัทธีเงยหน้าขึ้น ขมวดคิ้วมองลีน่าอย่างไม่พอใจ ชัดเจนเลยว่าไม่พอใจที่ลีน่าส่งเสียงขัดจังหวะพวกเขากะทันหัน
“ดีที่สุดเธอให้เหตุผลที่เหมาะสมกับฉันมา!” นัทธีพูดอย่างเย็นขา
ข้างล่างของเขา วารุณีก็ตื่นขึ้นมาแล้ว รีบผลักผู้ชายออกแล้วลุกขึ้นนั่ง มองลีน่าก่อน จากนั้นก็จัดการกับผมและเสื้อผ้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ถามอย่างเขินอายว่า “ลีน่า เธอลงมาทำไมเหรอ?”
ตอนแรกลีน่ายังกลัวนัทธีอยู่ หลังจากที่ได้ยินเสียงวารุณีแล้ว รีบหันสายตาไป หลบนัยน์ตาที่ดุร้ายของนัทธี มองวารุณี เหลือกตาขาวตอบกลับ “ฉันลงมาทำไม? ฉันทำงานเสร็จแล้วลงมาดื่มน้ำ ปรากฏว่าพอลงมาปุ้บก็เห็นสองสามีภรรยาพวกเธอทำอันนั้นกันอยู่ ฉันว่านะวารุณี ฉันรู้ว่าความสัมพันธ์ของเธอกับประธานนัทธีดีมาก สนิทสนมกันตลอดเวลา แต่ว่าก็ควรจะนึกถึงความรู้สึกของคนโสดอย่างเราหน่อยสิ นี่เป็นที่สาธารณะนะ!”
“ขอโทษ” วารุณีถูกว่าแบบนี้ สีหน้ายิ่งแดงไปใหญ่
จุดนี้ เธอไม่ได้วิเคราะห์จริงๆ
แต่ว่าโทษนัทธีทั้งนั้น จะมาจูบเธอทำไม เธอเองก็จูบเข้าไปด้วย ไม่ได้คิดอย่างอื่นเลย
นัทธีโอบเอวของวารุณี มองลีน่าอย่างเย็นชา “ถึงแม้ว่าจะเป็นที่สาธารณะ เธอก็สามารถทำเป็นว่าไม่เห็นอะไรได้ไม่ใช่เหรอ?”
ลีน่าเบ้ปาก “ประธานนัทธี แน่นอนว่าฉันอยากทำเหมือนไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แต่ว่าในวิลล่าหลังนี้ไม่ได้มีเพียงผู้ใหญ่เราสามคน ยังมีเด็กอีกสองคนนะ หากมีแค่เราสามคน พวกนายจะถอดเปลือยกายฉันก็ทำเหมือนไม่เห็น แต่ว่ายังมีเด็กอยู่เลย หากพวกนายไปต่อขั้นต่อไป แล้วเด็กลงมาพอดีจะทำอย่างไร?”