บทที่ 836 เรื่องราวของเสี่ยวซู่

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 836 เรื่องราวของเสี่ยวซู่

บทที่ 836 เรื่องราวของเสี่ยวซู่

โชคดีที่ชีวิตในครั้งนี้พี่เสี่ยวเหมยและพี่เสี่ยวกังปฏิบัติต่อลุงเขยเหมือนพ่อแท้ ๆ โดยเฉพาะพี่เสี่ยวกังที่ถึงกับลงทุนเปลี่ยนแซ่ ถือเป็นการปลอบใจที่เขาไม่มีลูกในสายเลือดก็แล้วกัน

เสิ่นจื่อเจิน ซูซานกง และอันหรงเสวียเดินทางไปหมู่บ้านหนานเหอ

เพราะพวกเราเชิญแขกมากินข้าวเย็นที่บ้าน ที่บ้านจึงเตรียมปลา ไก่ และเป็ดซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ใช้เวลาเตรียมนานมาก หลังจากแยกย้ายหลี่กุ้ยฮวาก็ลงมือทันที

เธอมีหน้าที่ทำอาหารเป็นหลัก โดยมีแม่สามีคอยช่วย ส่วนลูกเพิ่งจะสี่ห้าเดือน ตอนนี้นอนอยู่ในเปลใต้ต้นไม้ใหญ่ อ้อแอ้ ๆ นอนแทะมือตนเองอยู่

เสี่ยวเถียนเล่นกับเสี่ยวลิ่วและเสี่ยวซู่ที่บ้าน ถึงทั้งสามจะมีอายุต่างกันแต่พวกเขาสนุกสนานกันมาก

ควันจากปล่องลอยล่อง บรรยากาศผาสุก

ถ้าไม่เห็นว่าเสี่ยวซู่มีอาการบาดเจ็บที่แขน เธอเกือบเชื่อแล้วว่า นี่คงจะเป็นชีวิตที่สงบสุขที่สุด เสี่ยวซู่เป็นเด็กขี้กลัว ไม่รู้เพราะว่าไม่มีญาติหรือเปล่า ตอนเล่นด้วยกัน เสี่ยวเถียนจะลองถามดู

เธอเป็นคนใจดี เวลาพูดจึงใช้ความเป็นมิตร และได้รับความไว้วางใจอย่างรวดเร็ว เวลาถามอะไรอีกฝ่ายก็จะตอบเสมอ ครั้งนี้ทำให้เธอรู้มาหลายเรื่อง

คุณย่าของเสี่ยวซู่เสียไปเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา ก่อนแกจากไปได้เตรียมทุกอย่างไว้ให้หลานชายแล้ว พวกเขาตกลงกันว่าบ้านที่พ่อแม่เสี่ยวซู่ทิ้งไว้ ข้วงของในนั้นจะเป็นของลุง และเพื่อเป็นการตอบแทน อีกฝ่ายจะต้องเลี้ยงดูหลานชายคนนี้จนถึงอายุ 18

แต่หลังจากร่างของผู้เป็นย่าถูกฝั่ง ชีวิตอันน่าสังเวชของเด็กชายก็ได้เริ่มต้นขึ้น ผู้เป็นลุงปล่อยให้ภรรยาตนทุบตีและดุด่าเสี่ยวซู่ ป้าสะใภ้ก็ใช้ถ้อยวลีน่ารังเกียจสาดใส่ผู้เป็นหลาน

เด็กที่เพิ่งสูญเสียญาติในชีวิตทั้งหมดไป พอโดนผู้เป็นป้าสะใภ้บอกว่าตนเป็นตัวเคราะห์ร้าย ก็ได้แต่ยืนหลบมุม ไม่กล้าพูดอะไรสักอย่าง แน่นอนว่าเธอไม่ปล่อยเด็กชายให้ได้หายใจหายคอสักนิด และเริ่มลงไม้ลงมือกับเด็กชายมากกว่าเดิม

การที่เด็กน้อยมีรอยฟกช้ำตามร่างจึงกลายเป็นเรื่องปกติ นอกจากโดนทำร้ายร่างกายและจิตใจ เสี่ยวซู่ก็ไม่เคยได้กินข้าวอิ่มสักครั้งด้วย

เขาอายุยังน้อย ไม่ได้กินเยอะอะไร

แต่มันก็ยังไม่อิ่มอยู่ดี

จากสามมื้อ ได้กินเพียงมื้อเดียวก็ดีถมถืดแล้ว

บ่อยครั้งที่ตลอดทั้งวัน เสี่ยวซู่กินน้ำข้าวหรือน้ำซุปบะหมี่เพียงถ้วยเดียว มันเป็นอาหารที่มองไปก็เห็นแต่เงาสะท้อนตัวเองเท่านั้น!

ในที่สุดเด็กชายที่โดนทารุณทุกทางก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป

หลังจากโดนป้าสะใภ้ตบตีอย่างรุนแรง คืนนั้นเขาวิ่งหนีออกมา ตอนออกมาไม่ได้นำอะไรติดตัวมาด้วยสักอย่าง มีเพียงเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นบนร่างกายเท่านั้น

เขาหวาดกลัวว่าจะโดนทำร้ายร่ายกาย หวาดกลัวเสียยิ่งกว่าความมืดเสียอีก

เด็กน้อยเดินทางท่ามกลางความมืดมิด ไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปถึงไหน จนกระทั่งตอนเช้ามีคนใจดีให้ของแก่เขา จากนั้นเด็กชายก็เดินเตร่ต่อไปเรื่อย ๆ

ตอนนี้เขาใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว อาศัยกินข้าวจากคนใจดีที่เอามาให้นิดหน่อย และที่ซุกหัวนอนคือบ้านโทรม ๆ ที่ไม่มีคนอยู่ หรือวัดร้าง บางครั้งก็โพรงหญ้าข้างทาง

ขอแค่มีที่ให้ซุกซ่อน เสี่ยวซู่ก็นอนได้ทั้งนั้น

ไม่รู้ว่าพระเจ้าโปรดปรานเด็กที่น่าสงสารคนนี้หรือเปล่า จึงยังมีชีวิตรอดมาจนถึงทุกวันนี้

เขามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้เมื่อแปดเก้าวันก่อน และอาศัยอยู่ในบ้านร้างท้ายหมู่บ้านมาสองสามวันแล้ว นั่นเป็นบ้านที่ดีที่สุดที่เสี่ยวซู่เคยเห็น และเคยอยู่เลย เขาจึงไม่เต็มใจจะทิ้งมันไป

เขาจะออกไปข้างนอกตอนกลางวัน และกลับมานอนในตอนกลางคืน ที่นั่นมีกองฟาง อากาศไม่เย็นมากจึงไม่หนาว

ตอนกำลังขอทานก็บังเอิญเหลือบไปให้เสี่ยวลิ่วกำลังวิ่งเล่นอยู่ พออีกฝ่ายได้ยินเขาบอกว่าหิว ก็แอบเอาอาหารที่บ้านมาให้ตลอด แต่เสี่ยวลิ่วไม่กล้าบอกคนที่บ้าน จึงทำได้แค่แอบทำเท่านั้น

เสี่ยวเถียนเสียใจมาก เด็กอายุแค่นี้เพิ่งจะเข้าใจโลกไม่เยอะ แล้วยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในบ้านหลังโทรม ๆ ไม่รู้กลัวความมืดหรือเปล่า เด็กสาวเข้าไปกอดเด็กน้อย แต่อีกฝ่ายกลับถอยห่าง

“พี่สาว ตัวผมสกปรก!”

เสี่ยวเถียนหลั่งน้ำตากับประโยคดั่งกว่า เด็กคนนี้คงผ่านอะไรมาเยอะเลยสินะ

“ไม่เป็นไร พี่ไม่รังเกียจหรอกนะ” เสี่ยวเถียนยืนกรานที่จะกอดอีกฝ่าย

เธอตั้งใจจะเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เสี่ยวซู่ แต่รู้สึกว่าถ้าทำตอนนี้มันจะน่าสงสัยเกินไป งั้นเอากระโปรงสีขาวที่มีอยู่มาทำชุดให้เขาแล้วกัน เมื่อเสี่ยวซู่รู้ว่าเสี่ยวเถียนไม่ได้รังเกียจ ก็โผกอดอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว

“เสี่ยวซู่ ทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดีนะ เธอจะไม่โดนรังแกแบบนี้อีกแล้ว”

ถึงจะบอกแบบนั้น แต่ตนยังไม่มีเวลาจะช่วยเหลือเขานับจากนี้หรอกนะ แค่คิดว่าควรช่วยเอาไว้เท่านั้น

“พี่เสี่ยวเถียน ผมช่วยเสี่ยวซู่ได้นะ!” เสี่ยวลิ่วกำหมัดแน่น

เด็กสาวเพิ่งนึกเรื่องสำคัญออก

เสี่ยวซู่เป็นคนกล้าหาญ เราไม่สามารถบังคับเขาออกมาจากบ้านหลังนั้นได้ แต่เสี่ยวลิ่วเองก็เป็นคนโง่ที่กล้าได้กล้าเสียเหมือนกัน

โชคดีความปลอดภัยในสังคมตอนนี้ดี และมีการลักพาตัวน้อยลง ไม่งั้นเจ้าสองคนนี้ก็คงถูกพาไปไหนต่อไหนแล้วก็ไม่รู้

“เสี่ยวลิ่ว การช่วยเพื่อนเป็นเรื่องที่ดี แต่กับบางเรื่องต้องบอกผู้ใหญ่ที่บ้านให้ชัดเจนนะ” เสี่ยวเถียนเอ่ยอย่างอดทน

เป็นเรื่องดีที่เด็กมีจิตใจดี เขาได้เจอเสี่ยวซู่ก็โชคดีไป แต่ถ้าไปเจอพวกมีเจตนาแอบแฝงขึ้นมา อาจจะโดนหลอกเอาก็ได้นะ

“ผมไม่กล้าบอกครับ อยากรอจนกว่าพ่อแม่จะกลับมา” เสี่ยวลิ่วก้มหน้า

เสี่ยวเถียนเข้าใจได้ ถึงสองสามีภรรยาอันจะใจดีกับเสี่ยวลิ่ว เด็กชายก็ไม่ใช่ลูกของเขา และเจ้าตัวเองก็รู้ว่านี่ไม่ใช่บ้านตัวเองด้วย ต่อให้ลุงกับป้าเอ็นดูเขา ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะรับเลี้ยงใครที่ไหนก็ได้นี่

“คิดแบบนี้ก็ไม่ผิดหรอก แต่ดูสิ เธอพูดออกไปแล้วนะ ลุงกับป้าก็ใช่ว่าจะไม่ช่วยเสียหน่อย?” เสี่ยวเถียนยิ้ม

“พี่พูดถูก ผมจะไม่ปิดบังผู้ใหญ่แล้วครับ” เสี่ยวลิ่วขบคิดก่อนหยักหน้า

เขาเป็นแค่เด็กเลยสามารถช่วยเสี่ยวซู่ได้โดยวิธีที่จำกัดเท่านั้น แต่ผู้ใหญ่ไม่เหมือนกันหรอกนะ

เสี่ยวซู่ที่ได้ฟังแบบนั้นกลับรู้สึกกลัว