บทที่ 837 ขอต่อยสักสองสามทีเพื่อระบายความโกรธ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 837 ขอต่อยสักสองสามทีเพื่อระบายความโกรธ

บทที่ 837 ขอต่อยสักสองสามทีเพื่อระบายความโกรธ

ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวซู่เดินทางไปยังหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็มีเด็กให้อาหารแก่เขา พอผู้ใหญ่รู้เรื่องเข้า กลับด่าทอว่าเขาเป็นคนหลอกลวง เด็กเลว และสั่งไม่ให้พี่ชายคนนั้นมาเล่นกับเขาด้วย ทั้งยังบอกอีกว่าจะพาตัวไปส่งที่โรงพัก ด้วยความกลัวจึงวิ่งหนีออกมา

หรือว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก?

หรือเขาจะไม่สามารถอยู่ในบ้านร้างหลังนั้นได้อีกแล้ว?

ทั้งเสี่ยวลิ่วและพี่สาวก็ดีกับเขาทั้งนั้น แต่คนอื่นจะไม่รังเกียจเขาจริงหรือ? ถึงจะให้อาหารกิน แต่สุดท้ายอาจรังเกียจ และอยากไล่เขาไปให้พ้น เสี่ยวซู่คิดเศร้าสร้อย เหลือเพียงรอครอบครัวนี้กล่าวประโยคสุดท้ายกับตน

เสี่ยวเถียนมัวแต่คิดอยู่ว่าจะทำยังไง จึงไม่ได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเด็กชายเลย

เสี่ยวลิ่วเองก็คิดเหมือนกันว่าจะบอกลุงกับป้ายังไงเรื่องที่จะให้เสี่ยวซู่อยู่ด้วยเป็นการชั่วคราว คิดไปถึงที่ว่าถ้าพ่อแม่กลับบ้านจะให้เพื่อนอยู่ด้วยหรือเปล่า

เด็ก ๆ ไม่รู้หรอกว่าการที่ผู้ใหญ่มีลูกเพิ่มอีกคนในบ้านมันเป็นภาระใหญ่ขนาดไหน

ตอนนั้นเองที่พวกเสิ่นจื่อเจินได้กลับมาแล้ว

เขาเห็นเด็กทั้งสาม คนตัวโตหนึ่งคนและตัวเล็กอีกสองคนวิ่งเล่นอยู่ในบ้าน โดยเฉพาะกับเสี่ยวซู่ที่ทำท่าหมดอะไรตายยาก

ชีวิตเด็กคนนี้รันทดเหลือเกิน

พอเสี่ยวเถียนเห็นคนอื่น ๆ กลับมา ก็หยุดเล่นกับน้อง มองเข้าไปสอบถามสถานการณ์

แม่สามีและหลี่กุ้ยฮวาที่ยุ่งอยู่ในครัวยังตามออกมาด้วยเช่นกัน

เห็นสีหน้าหนักใจ หัวใจหลี่กุ้ยฮวาก็ดิ่งวูบ

ข่าวที่ได้ยินมาคงไม่ดีเท่าไรนัก!

“หรงเสวีย เป็นยังไงบ้าง?” คุณย่าอันอันถาม

ผู้หญิงทั้งสองก็อยากรู้เช่นกัน

หลี่กุ้ยฮวาพอรู้มาบ้าง ส่วนคุณย่าอันรู้เรื่องที่ว่าพ่อแม่เด็กคนนี้เมื่อก่อนเป็นคนดี จิตใจดี และทำเรื่องดีไว้มาก แต่ใครจะรู้เล่าว่าคนดีไม่ได้อายุยืน สุดท้ายก็จากไปหมดเหลือเพียงลูกเอาไว้คนเดียว

พ่อของเสี่ยวซู่จมน้ำเพราะพยายามช่วยรักษาทรัพย์สินส่วนรวมเอาไว้ และกลายเป็นว่ารุ่นลูกหลานกลับต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนหาเลี้ยงชีพเสียอย่างนั้น

อันหรงเสวียเอ่ยอย่างขมขื่น “เราไปที่หมู่บ้านหนานเหอมาแล้วครับ แต่เราไม่ได้บอกว่าเจอเสี่ยวซู่นะ บอกฝ่ายนั้นว่าเป็นญาติฝั่งแม่ของเสี่ยวซู่ และอยากมาเจอหลานชายน่ะ” เขารีบบอกเรื่องที่เกิดขึ้น

คนในหมู่บ้านนั้นยังไม่รู้เลยว่าเสี่ยวซู่หายตัวไป แต่ญาติฝั่งแม่เด็กชายบอกว่าจะมาหาหลานชาย แต่เมื่อคิดดูแล้วก็ไม่แปลกใจเท่าไรนัก เพราะเหมือนพวกเขาจะไม่เคยมาเยี่ยมหาหลานคนนี้เลย

แต่การไม่มาไม่ได้หมายความว่าไม่มีญาติเสียหน่อย

จากนั้นก็มีคนคอยนำทางให้อย่างกระตือรือร้น และบอกว่าเด็กชายป่วยมาหลายวันแล้ว

เสิ่นจื่อเจินและอันหรงเสวียแปลกใจ ในเมื่อเด็กชายอยู่ที่หมู่บ้านตนเอง แล้วจะป่วยได้ยังไงล่ะ?

ชาวบ้านไม่ได้สงสัยอะไรมากและเอ่ยบอกกันตรง ๆ เพราะช่วงนี้ไม่ได้เจอเสี่ยวซู่เลย บางคนเลยสงสัยว่าทำไมไม่เห็นเด็กน้อยเลย ส่วนลุงกับป้าเสี่ยวซู่บอกเพียงว่าช่วงนี้หลานชายไม่ค่อยแข็งแรง นอนอยู่ที่เตียงเตาตลอด

ตอนทั้งสองบอกก็ถอนหายใจออกมา บอกแค่ว่าเสี่ยวซู่สุขภาพร่างกายไม่ค่อยดี คอยดูแลมานานแต่ไม่เห็นว่าดีขึ้นเลย แล้วชาวบ้านก็เชื่อเช่นนั้นจริง ๆ

บางส่วนก็ถามไปตามมารยาท เพราะไม่เห็นเด็กชายมาเป็นเดือนแล้ว และก็เป็นอย่างที่คิด เสี่ยวซู่ระเหเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเป็นเดือนแล้วจริง ๆ แต่เรื่องนี้ลุงกับป้าเสี่ยวซู่ปิดบังเอาไว้อย่างดี

ทำให้เสิ่นจื่อเจินและอันหรงเสวียคิดว่าคงเป็นความตั้งใจของสองคนนั้น

“ผมว่าเขากำลังซื้อเวลา”

อันหรงเสวียเอ่ยสิ่งที่คาดเดาเอาไว้ และก็ไม่คิดจะให้ใครตามหาเด็กคนนี้ด้วย

“เสี่ยวซู่ยังเด็กมาก ถ้าถามหาหลังจากวันที่หายตัวจะต้องเจอเขาอยู่แล้ว”

ซานกงพยักหน้าเห็นด้วย

“สองคนนั้นคงถ่วงเวลาน่ะ พอเวลาผ่านไปนานแล้วยังไม่มีใครรู้เรื่อง ตนก็สามารถครอบครองทรัพย์สินบ้านเสี่ยวซู่ได้อย่างสมเหตุสมผล”

ใบหน้าเสิ่นจื่อเจินแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เขาคิดแบบนั้นเหมือนกัน อารมณ์ของเขาตอนนี้ปั่นป่วนเหลือเกิน

เขาเป็นนักวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ ไม่ค่อยเข้าใจโลกภายนอกเท่าไร แต่เขารู้จักการช่วยเหลือผู้อื่นนะ ไม่น่าเชื่อสักนิดว่าจิตใจมนุษย์จะชั่วร้ายได้ขนาดนี้ ถึงจะไม่ใช่ลูกหลานแท้ ๆ แต่ก็ยังเป็นสายเลือดของน้องชายที่ทิ้งไว้นะ

ตัวเองเป็นแค่ลุงกับป้าเอง เสี่ยวซู่กับเธอก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรต่อกัน เธอยังรู้สึกเห็นอกเห็นใจอีกฝ่าย แต่ลุงของเสี่ยวซู่นิสัยแย่จริง ๆ นะ

เขายังเป็นคนอยู่หรือเปล่า?

เสี่ยวเถียนแทบจะรู้ทุกเรื่องจากเด็กชายแล้ว การการรวบรวมข้อมูลที่ได้มาเธออาจเปิดโปงความจริงนี้ได้

“พวกลูกทนได้ยังไงที่ไม่พุ่งเข้าไปต่อยไอ้คนชั่วพวกนั้น” หญิงชราเอ่ยอย่างขมขื่น

แกอยู่มาครึ่งค่อนชีวิตโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะมีคนที่จิตใจเลวทรามได้ขนาดนี้ นั่นเป็นแค่เด็กเองนะ ต่อไม่ให้ใช่สายเลือดเดียวกันก็ไม่ควรทำแบบนี้หรือเปล่า!

“พวกเราไปที่บ้านเขามาด้วยครับ บอกว่าอยากเจอเสี่ยวซู่แต่อีกฝ่ายยืนกรานว่าเด็กยังป่วยไม่ยอมให้เข้าไปเยี่ยม เขาบอกว่าการดูแลเสี่ยวซู่ลำบากมาก และบอกว่าตัวเองเป็นญาติเด็กชายอะไรทำนองนี้ ไม่รู้จะมีใครให้อาหารสักหน่อยอะไรสักอย่างนี่แหละ

ถ้าพวกเราคิดจะลงไม้ลงมือกับอีกฝ่ายก็คงไม่เปิดเผยตัวตนหรอก อีกอย่างการเข้าไปทำร้ายเขาแบบนั้นมันไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย

คนพวกนั้นไร้ยางอายสมชื่อจริง ๆ แค่นี้ก็ทำให้เราได้รู้แล้วว่าความไร้ยางอายที่แท้จริงมันเป็นยังไง

เสี่ยวเถียนตกใจมาก สองคนนั้นทำแบบนี้ได้ยังไง หลานหายตัวไปจากบ้านตั้งนาน ขนาดญาติมาเยี่ยมยังมีหน้ามาขออาหารขอเงินเขาอีกหรือ

ไม่กลัวโดนจับหรือไง

หลี่กุ้ยฮวาหลั่งน้ำตาด้วยความสงสารจับใจ

เด็กดี ถ้าพ่อแม่ยังอยู่เขาจะกลายเป็นแบบนี้หรือ?

“ทำไมเขาน่าสงสารแบบนี้นะ” เธอเช็ดน้ำตา

“เราต้องช่วยเด็กคนนี้นะ ลุงกับป้าของเขาเลวร้ายมาก”

หญิงชราเลี้ยงลูกมาด้วยตัวเอง แถมลูกสาวยังมีการมีงานทำ แสดงให้เห็นเลยว่าแกมีความสามารถ ตอนนี้จึงสามารถตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด

“แม่ นี่ไม่ใช่ปัญหาในเมืองเรานะ เราไม่สามารถเดินทางไปอีกเมืองเพื่อช่วยเสี่ยวซู่ได้”

ทุกคนเงียบลง นี่แหละคือปัญหา ไม่ว่าพวกเราจะเป็นใครก็ไม่ใช่ญาติเสี่ยวซู่อยู่ดี และไม่สามารถช่วยเขาออกนอกหน้าได้

“อาของเสี่ยวซู่ล่ะคะ?” เสี่ยวเถียนถาม