บทที่ 838 ไม่เคยได้กินเนื้อเลย

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 838 ไม่เคยได้กินเนื้อเลย

บทที่ 838 ไม่เคยได้กินเนื้อเลย

ถ้าอาของเสี่ยวซู่เป็นคนดี เราอาจจะช่วยออกนอกหน้าได้ แถมยังรับเขามาเลี้ยงเองได้ด้วยนะ เสี่ยวเถียนพยายามคิดหาหนทางว่าตนเองจะทำยังไง วิธีที่ดีที่สุดคือหาญาติเด็กสักคนมาดูแล

แต่ยุคนี้การเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต่อให้คนคนนั้นเป็นญาติก็ตาม

เธอตั้งใจจะใช้เงินรายเดือนส่งมาให้ญาติของเขา เพื่อเลี้ยงดูเด็กชายให้มีชีวิตที่ดีขึ้น และเธอหวังว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่มีสายเลือดที่เกี่ยวข้องโดยตรงจริง ๆ เพราะเด็กชายเพิ่งโดนญาติทำร้ายร่างกายมา ควรได้รับญาติคนอื่นปลอบโยนมากที่สุด

“อาของเสี่ยวซู่เป็นคนดีอยู่นะ แต่สะใภ้เขาน่ะสิเป็นผู้หญิงมีอำนาจ เผลอ ๆ บ้าอำนาจกว่าพี่สะใภ้อีก”

เสิ่นจื่อเจินส่ายหัวย้ำ ๆ ว่าไม่เห็นด้วย เขาเคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ตอนไปหมู่บ้านหนานเหอจึงสอบถามมาแล้ว

ไม่คิดเลยว่าคนในตระกูลเสี่ยวซู่แต่ละคนจะเหมือนกันขนาดนี้

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคุณย่าแกถึงคิดจะเลี้ยงหลานด้วยตัวเอง หลังจากลูกชายและลูกสะใภ้คนรองจากไป แกก็ไม่ไว้ใจลูกคนไหนอีกเลย ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ก่อนแกจะจากไปยังยกบ้าน และลานบ้านให้เพื่อแลกกับให้ลูกชายคนโตเลี้ยงดูหลานชาย เพราะคิดว่าต่อให้หลาน 18 ก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้แม้จะไม่มีบ้านอยู่แล้วก็ตาม

แต่ไม่คิดเลยว่าหลังจากสองสามีภรรยาครอบครองบ้านและลานบ้านไว้ได้ กลับไม่มีความตั้งใจจะเลี้ยงหลานคนนี้ให้เติบโต

เสิ่นจื่อเจินคิดว่าถ้าให้ผู้เป็นอารับเลี้ยง เสี่ยวซู่ก็คงหนีออกมาหลังจากเข้าไปอยู่ไม่เท่าไรหรอก ตอนนั้นเราอาจจะไม่ได้เจอเขาอีกแล้ว เผลอ ๆ อาจไม่มีชีวิตอยู่แล้วด้วย

ตอนนี้เขากำลังคิดหาวิธีจัดการให้ ในเมื่อคิดจะช่วยแล้ว ก็ต้องคิดเผื่อไปถึงอนาคตที่เขาจะสามารถมีชีวิตต่อไปได้ ให้ดีคือมีคนจิตใจดีรับเลี้ยง และถ้าให้เงินด้วยชีวิตเสี่ยวซู่อาจจะดีขึ้น

แค่คิดน่ะมันง่าย แต่การลงมือทำนั้นแหละยาก

อีกอย่างด้วยวัยของเสี่ยวซู่ เขาสามารถจดจำหลายสิ่งได้แล้ว ถึงบางคนจะอยากเลี้ยงเด็ก แต่ไม่ได้อยากเลี้ยงเด็กอายุขนาดนี้หรอกนะ ยิ่งอายุเยอะก็ยิ่งจำเรื่องราวต่าง ๆ ได้มากขึ้น จะเลี้ยงให้สนิทกันก็ค่อนข้างเป็นเรื่องยาก

เหตุผลก็คือพวกเขาอยากได้เด็กทารกมากกว่าเด็กห้าหกขวบ

ถ้าเรื่องนี้ไม่ต้องปรึกษาเถาฮวาก่อน เขาคงจะพาเด็กชายกลับไปกับตัวเองแล้วล่ะ แต่เพราะเขาเป็นคนเคารพภรรยา เรื่องสำคัญอย่างการรับลูกบุญธรรมจะต้องหารือกันก่อน

เสี่ยวเถียนยืนเงียบ ก่อนย่าเสี่ยวซู่จากไปเขาให้ลูกชายคนโตรับหลานไปเลี้ยงเอาไว้ เรื่องนี้ต้องได้รับการพิจารณามาแล้ว และคงเป็นเพราะแกคิดว่ามันต้องดีแน่ ๆ

แล้วทำไมเสี่ยวเถียนถึงคิดจะฝากความหวังไว้ที่คนเป็นอาแทนล่ะ?

เธอนี่มันซื่อจริง ๆ

ทุกคนตัดสินใจกินข้าวก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เสี่ยวซูไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว ตรงหน้ามีเนื้อเยอะไปหมด แค่มองก็น้ำลายสอ

แต่เหมือนเจ้าตัวจะรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่บ้าน จึงไม่กล้าเอื้อมมือไปหยิบอาหารเหล่านั้น เอาแต่ถือถ้วย และคีบแต่ข้าวในถ้วยกินเท่านั้น

อันหรงเสวียเห็นแล้วก็เศร้าใจ จึงคีบชิ้นปลาใส่ในถ้วยให้เด็กช่าย

เสี่ยวซู่เงยหน้าขึ้นมองกับการกระทำที่ไม่คาดคิดนี้ แล้วก็ได้แต่ตกตะลึงยามเห็นรอยยิ้มอันหรงเสวีย

“กินเถอะ ค่อย ๆ กินนะ เรามีอาหารเยอะพอเลย” เขายิ้มอ่อนโยน “ลองกินปลาดูสิ แล้วค่อยกินน่องไก่ต่อนะ”

“ใช่แล้วจ้ะ ค่อย ๆ กินนะ กินให้อิ่มเลย ถ้าหิวอีกเดี๋ยวพวกเราทำให้กินอีกนะ”

หลี่กุ้ยฮวากลัวว่าถ้ากินเยอะไปจะไปทำลายระบบร่างกายเอา จึงเอ่ยเตือนด้วยรอยยิ้ม

เนื่องด้วยหลายปีที่ผ่านมาลำบากมาก เลยไม่ค่อยมีแม้แต่ชามและตะเกียบ แต่หลังจากที่มันค่อย ๆ ดีขึ้น เราเลยมีของสำหรับเด็ก ๆ ด้วย

เธอไม่ขี้เหนียวที่จะให้เด็กกินเพิ่มอีกสักสองสามถ้วยหรอกนะ แต่บอกตามตรงถ้าให้เลี้ยงเด็กคนนี้ก็ยังมีข้อโต้แย้งอยู่ เพราะพวกเราไม่ได้รวย การเลี้ยงลูกมันไม่ใช่แค่เรื่องให้อาหารไม่กี่มื้อเท่านั้น

แล้วถ้าเรารับเลี้ยงเขา ปัญหาคงจะตามมาอีกเยอะ ไหนจะเรื่องเรียน แล้วถ้าจะแต่งงานกับภรรยา และสร้างบ้านในอนาคตล่ะ?

“เสี่ยวซู่ไม่ได้กินอิ่มมานานแล้ว พวกเนื้อกินให้น้อยหน่อยนะ กินมากจะปวดท้องเอาน่ะ” เสี่ยวเถียนกล่าวเสริม

เสี่ยวซู่ได้ฟังคำห่วงใยพลันหลั่งน้ำตา ตั้งแต่เสียคุณย่าไปก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย วันไหนที่มีน้ำซุปให้ดื่มก็จะโดนดุด่าว่าดื่มนาน แต่ตอนนี้กลับมีคนเอาเนื้อมาให้เขากิน แค่คิดน้ำตาก็พรั่งพรูออกมามากขึ้นเรื่อย ๆ

เขาร้องไห้หนักจนทุกคนตกใจ

“เสี่ยวซู่เป็นอะไรไป?”

เสี่ยวเถียที่นั่งข้างเขาเช็ดน้ำตาให้

“ผม… พี่สาว ไม่มีใครให้ผมกินเนื้อมานานแล้ว ผมไม่ได้กินเนื้อมาตั้งนานแล้ว…” เด็กชายว่าพลางสะอื้น

ทุกคนได้ยินแล้วก็ได้แต่สะเทือนใจ

คุณย่าอัน “เวรกรรมของเธอโดยแท้!”

หลังกินข้าวเสร็จทุกคนก็ยังรู้สึกหนักใจอยู่

ตอนนี้เสี่ยวซู่อยู่บ้านอันหรงเสวีย ส่วนหลี่กุ้ยฮวาบอกว่าจะอาบน้ำและซ่อมเสื้อผ้าให้เขา เรื่องเลี้ยงเด็กเสิ่นจื่อเจินไม่มีความสามารถด้านนี้ จึงทำได้แค่กลับที่ไปฐานวิจัยด้วยความกังวล

ตอนเดินทางมาเสิ่นจื่อเจินไม่ได้ใช้เงินมากนัก เพราะคิดว่าคงไม่ได้ใช้อะไรเท่าไร หลังจากหักค่าเดินทางแล้วก็หยิบเงินสิบหยวนออกมา เขาจะมอบเงินนี้ให้อันหรงเสวีย และให้สองสามีภรรยาคู่นี้ช่วยดูแลเด็กสักระยะหนึ่ง

เขาตั้งใจว่ากลับไปถึงเมืองหลวงจะหารือกับภรรยาเพื่อรับเลี้ยงเสี่ยวซู่อย่างเป็นทางการ

ในขณะเดียวกัน ซานกงเจอกางเกงขายาวสีเขียวทหารในกระเป๋าเดินทางพอดี เขาตั้งใจจะให้คุณป้าเอาไปทำเสื้อผ้าให้น้อง

สภาพเสื้อผ้าที่เขาใส่อยู่นั้นดูไม่ได้เลย

ฐานะครอบครัวอันหรงเสวียไม่ค่อยดี การทำเสื้อผ้าให้เด็ก ๆ มันไม่ได้ง่าย

เสี่ยวเถียนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่าง เธอเจอผ้าผืนหนึ่งและหยิบออกมาพร้อมกับเงิน 20 หยวน

ตอนทั้งสามออกมาก็เจอกันโดยบังเอิญ

“พวกหลาน…” เสิ่นจื่อเจิน

“อาจารย์ครับ ผมเจอกางเกงตัวนึงในกระเป๋าเลยว่าจะให้คุณป้าแกทำเป็นเสื้อผ้าให้น้อง ผมว่าที่น้องใส่อยู่คงซ่อมไม่ไหวแล้วละ” ซูซานกงว่า

“ตอนหนูมา หนูเอาผ้าปูที่นอนมาด้วยค่ะ เอามาทำเสื้อผ้าได้เลยว่าจะเอาไปให้คุณป้าเหมือนกัน” ซูเสี่ยวเถียนบอก

“เด็กคนนี้น่าสงสารมากเลย เลยคิดจะให้เงินบ้านอันแล้วฝากดูแลไว้สักพักน่ะ” เสิ่นจื่อเจินถอนหายใจ

จะส่งกลับไปหนานเหอมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!