บทที่ 839 รับเลี้ยง

บทที่ 839 รับเลี้ยง

คนทั้งสามเดินทางมาถึงบ้านอันเหรงเสวีย หลี่กุ้ยฮวาก็อาบน้ำให้เสี่ยวซู่เสร็จแล้ว

เด็กน้อยร่างกายสะอาดสะอ้าน ดวงตากลมโตสดใสขึ้นกว่าก่อนหน้านี้

เขาสวมเสื้อผ้าตัวใหญ่ที่น่าจะเป็นของเสี่ยวลิ่ว เพราะแขนเสื้อมีการพับ ส่วนตัวเสื้อก็ยาวเลยลงมาคลุมก้น และมันทำให้เด็กน้อยแย้มยิ้มสดใสออกมาได้ คงเพราะรู้ว่าครอบครัวนี้มีเมตตาต่อเขา เห็นได้เลยว่าเสี่ยวซู่รู้สึกสบายใจขึ้น

จริง ๆ แล้วเขาเป็นคนที่ปรับตัวกับชีวิตได้ง่ายมาก

เสี่ยวเถียนมองเด็กสองคนที่กำลังเล่นลูกข่างด้วยกัน ก่อนจะถอนหายใจ พวกเขาอายุต่างกันแค่ปีเดียวเอง และเสี่ยวลิ่วก็ไม่ใช่เด็กที่ร่างกายแข็งแรงนัก แต่ถึงอย่างนั้นเสี่ยวซู่กลับตัวเล็กกว่ามาก

มันทำให้รับรู้ได้ว่าในช่วงที่ผ่านมาชีวิตเด็กคนนี้แย่ขนาดไหน ไม่รู้ว่าจะคอยบำรุงฟื้นกำลังได้หรือเปล่า

“อาจารย์เสิ่น ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”

เจ้าของบ้านเห็นคนทั้งสามก็เอ่ยถามด้วยความแปลกใจ เราเพิ่งจะส่งพวกเขากลับไปเอง

“หรงเสวีย ผมมีเรื่องอยากคุยด้วยน่ะ” เสิ่นจื่อเจินรู้สึกละอายใจ

แค่ให้ครอบครัวนี้รับเลี้ยงลูกชาวบ้านที่ไหนก็ไม่รู้ก็น่าอายมากพอแล้ว

“ถ้าอาจารย์เสิ่นมีเรื่องอะไรถามผมได้เลยครับ ผมจะช่วยคุณแน่นอนถ้าทำได้!”

อีกฝ่ายช่วยคนในครอบครัวเราตั้งสองคน เขาจะหนีจากคำขอเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ยังไง แต่มันเป็นเพราะอันหรงเสวียไม่รู้ว่าเสิ่นจื่อเจินจะฝากเลี้ยงเสี่ยวซู่สักช่วงหนึ่ง แต่หลี่กุ้ยฮวารู้สึกว่ามันไม่น่าใช่เรื่องง่ายแน่ ๆ หลังจากได้ยินเช่นนั้น

เพราะอาจารย์เสิ่นเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง

จากนั้นก็มองไปที่เสี่ยวซู่ จึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้น่าจะเป็นหัวข้อหลัก เธออยากจะเดินเข้าไปบอกว่าไม่ยินดี แต่ถึงกระนั้นก็พูดไม่ออก

เสี่ยวเถียนเดินเข้าไปหาพร้อมรอยยิ้ม “คุณป้า หนูมีเรื่องอยากให้ช่วยค่ะ”

หญิงวัยกลางคนยืนงง เกิดอะไรขึ้น?

นี่มาขอความช่วยเหลือกันหมดเลยหรือ?

แต่ตนไม่กล้าลืมน้ำใจของเสี่ยวเถียน จึงรีบยกยิ้ม

“เธอเป็นคุณหมอของหมู่บ้านเรานะ มีเรื่องอะไรก็ว่ามาได้เลย ไม่ต้องขอกันหรอก!”

“หนูมีผ้าอยู่ผืนนึงค่ะ แต่หนูทำเสื้อผ้าไม่เป็นเลยอยากให้ช่วยทำเสื้อผ้าให้เสี่ยวซู่หน่อยค่ะ”

หลังจากได้ยินเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แค่ทำเสื้อผ้าเองเรื่องนี้ง่ายมาก จากนั้นก็หัวเราะออกมา

“ป้าทำเป็นจ้ะ ที่บ้านมีจักรอยู่ด้วยเดี๋ยวเดียวก็เสร็จ รับประกันให้เลยว่าเสื้อผ้าที่จะทำแข็งแรงทนทานแน่นอน”

เสี่ยวเถียนไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะมีจักรอยู่ด้วย เพราะการใช้จักรมันเร็วกว่าการทำมือ!

“อันนี้เป็นกางเกงพี่สามค่ะ แยกส่วนมาทำเสื้อผ้าให้เสี่ยวซู่ได้นะคะ หนูว่าเสื้อผ้าที่เขาเคยใส่คงซ่อมไม่ไหวแล้ว เปลี่ยนเลยน่าจะดีกว่า”

หลี่กุ้ยฮวามองเสี่ยวซู่ก่อนจะชี้ไปยังเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งสองชิ้นที่แขวนอยู่บนราวไม้ไผ่

“จริงจ้ะ แค่ป้าซักมันก็แทบไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วแล้ว ช่วยไม่ได้ ก็เลยให้ใส่เสื้อผ้าเสี่ยวลิ่วก่อน”

เด็กสาวสัมผัสได้ว่าหลี่กุ้ยฮวาเป็นคนจิตใจดี แม้มันจะไร้ค่าเมื่อเผชิญกับความเป็นจริง เธอไม่มีทางปฏิบัติต่อลูกหลานตัวเองอย่างลำเอียงเพียงเพราะความเมตตา

แต่หลี่กุ้ยฮวาทำได้ขนาดนี้ก็นับว่าดีมากจริง ๆ

เสี่ยวซู่เป็นเด็กที่มีชีวิตน่าสงสาร ตั้งแต่ญาติที่ฮุบสมบัติของตัวเอง ทำให้เขากินไม่อิ่ม สวมใส่เสื้อผ้าไม่อุ่น ถ้าไม่ได้มาเจอครอบครัวอัน ไม่อยากจะคิดเลยว่าเขาจะอยู่ได้นานแค่ไหน

พวกเขามีเวลาหนึ่งวันก่อนกลับ เพราะงั้นแล้วขอจัดการการเรื่องเสี่ยวซู่ก่อน

“คุณป้า มีอีกอย่างที่ฉันอยากจะบอกด้วยค่ะ”

หลี่กุ้ยฮวาคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องใหญ่ จึงยกยิ้มแล้วให้เด็กสาวว่าต่อ

“เสี่ยวซู่ยังไม่มีที่ไป หนูเลยอยากให้เงินคุณป้าค่ะ ไว้ช่วยดูแลเขาช่วงนี้”

หญิงวัยกลางคนเป็นกังวลเรื่องนี้อยู่จริง ๆ แล้วเสี่ยวเถียนก็อยากให้เธอคอยดูแลเด็กชายช่วงนี้ นี่มันก็หมายความว่ารับเลี้ยงไม่ใช่หรือ?

แล้วมันต้องนานขนาดไหนล่ะ?

เธอลองคำนวณดู ถ้านานเกินที่บ้านจะไม่ไหวเอา

สองปีมานี้อาหารการกินบ้านเราเพิ่งดีขึ้นบ้าง ถ้ามีคนมากินด้วยเพิ่มอีก ต่อให้เป็นเด็กพวกเขาก็ลำบากอยู่ดี

หลี่กุ้ยฮวาอยากปฏิเสธ แต่ไม่รู้จะพูดยังไง ขณะที่กำลังคิดอย่างหนัก เสี่ยวเถียนก็หยิบธนบัตรสองใบออกมาจากกระเป๋า

“หนูไม่ได้ปล่อยให้คุณป้าดูแลเสี่ยวซู่เฉย ๆ นะคะ”

จากนั้นก็วางของสิ่งนั้นลงในมือหลี่กุ้ยฮวา

ทันทีที่มีสติกลับมา ก็เห็นธนบัตรสิบหยวนในมือสองใบ

จู่ ๆ ตัวเองก็รู้สึกผิด

“คุณหมอ ป้ารับเงินนี้ไว้ไม่ได้หรอก ดูแลแค่ไม่กี่วันเองไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แล้วถ้ารับเงินมาฉันจะกลายเป็นคนไม่ดีเอานะ” หญิงวัยกลางคนรีบปฏิเสธ

“คุณป้า การเลี้ยงลูกมันยากนะคะ แถมต้องกินข้าวกินน้ำด้วย จะไม่เอาเงินได้ยังไง?”

เพราะคิดว่าเสี่ยวเถียนและเสี่ยวซู่ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรต่อกัน การที่เด็กสาวให้เงินมาช่วยดูแลเด็กชายมันทำให้เธอละอายใจนัก

ยิ่งเสี่ยวเถียนเป็นเด็กก็ยิ่งแล้วใหญ่ เงินเยอะมากเลยนะ นั่นคงเป็นทั้งหมดที่เธอมีเลยด้วยซ้ำ

“ไม่งั้นให้ป้าแค่ห้าหยวนเถอะ ไว้เป็นค่าอาหารเด็กคนนี้น่ะ”

ข้าวเพิ่งจะจินละ 0.78 หยวนเอง ซื้อห้าหยวนก็ประมาณสองสามจิน เยอะขนาดนี้กินได้ตั้งสองเดือนเลย

เสี่ยวเถียนยิ้ม “รับไว้เถอะค่ะ ปัญหาเสี่ยวซู่เป็นเรื่องแก้ยาก หนูว่าอาจจะต้องรบกวนคุณป้าอีกนาน”

“แค่หุงข้าวเพิ่มอีกกำมือนึงเอง”

หลี่กุ้ยฮวาเอ่ยง่าย ๆ แต่มีหรือที่เสี่ยวเถียนจะไม่รู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องข้าวหนึ่งกำมือนะ

ถ้ามันง่ายขนาดนั้น เรื่องก็คงคลี่คลายไปนานแล้วล่ะ

“รับไว้เถอะค่ะคุณป้า หนูไม่รู้จะทำยังไงกับเด็กคนนี้ดี และไม่อาจบอกได้ว่าคุณป้าจะไม่ชอบใจที่หนูสร้างปัญหาให้หรือเปล่า แต่หนูขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ”

เพราะว่าเธอต้องกลับไปแล้ว ไม่รู้ด้วยว่าเสี่ยวซู่จะอยู่ที่นี่นานแค่ไหน

ไว้กลับไปจะคอยส่งเงินมาให้ที่นี่เป็นรายเดือนแล้วกัน

สุดท้ายหลี่กุ้ยฮวาก็รับเงิน 20 หยวนมา

ขอแค่ไม่ได้รับเลี้ยงเฉย ๆ ต่อให้ในใจคัดค้านนิดหน่อยเธอก็เต็มใจอยู่แล้ว

“ป้าไม่ควรรับเงินนี้ไว้เลยคุณหมอ แต่อย่างที่เห็นนะ บ้านเรามีทั้งแก่ ทั้งเด็ก และไหนจะคนป่วย ถึงตอนนี้จะมีนโยบายครัวเรือนแล้ว แต่บ้านเราก็แทบจะไม่พอกิน ถ้ามีเด็กมาเพิ่มอีกก็ต้องการอาหารเพิ่มจริง ๆ”