“โอเค ฉันรู้แล้ว ฉันจะจัดการให้เสร็จภายในสองวันนี้แล้วส่งให้เธอนะ” ปาจรีย์พยักหน้าตอบกลับ
วารุณีอื้มตอบกลับ
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยเรื่องอื่น แล้ววางโทรศัพท์
จากนั้น วารุณีก็หันหลังเดินกลับไปที่ห้องรับแขก
ผู้ชายยังนั่งอยู่บนโซฟา มือข้างหนึ่งถือกาแฟ อีกข้างหนึ่งถือแท็ปเล็ต กำลังดูอะไรบางอย่าง
ได้ยินเสียงเท้าเดิน ผู้ชายวางกาแฟและแท็บเล็ตลง เงยหน้าขึ้นมองเธอ “คุยโทรศัพท์เสร็จแล้วเหรอ?”
“คุยเสร็จแล้ว” วารุณีเขย่าโทรศัพท์แล้วเดินไป
นัทธีมีความหึงเล็กน้อย “โทรศัพท์นี้โทรคุยนานจริงๆ จะนานเท่าเวลาปกติที่เราโทรคุยกันแล้ว”
วารุณีเลิกคิ้ว “ไม่หรอกมั้งที่รัก แม้กระทั่งเรื่องนี้นายก็หึงเหรอ?”
“แน่นอน” นัทธีโอบเอวของเธอ กอดเธอเข้ามาในอ้อมกอด ให้เธอนั่งอยู่บนตักเขา จากนั้นก้มหน้าผากกดทับหน้าปากของเธอ มองเธอแล้วพูดว่า “ภรรยาของฉัน พูดคุยกับคนอื่นนานเกินไป ในใจของฉันจะรู้สึกไม่สบาย ไม่ว่ายังไงแล้ว ฉันก็เป็นผู้ชายที่มีความอยากครอบครองสูง ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่ใช่ใช่” วารุณีจับหน้าเขามาแล้วจูบไปทีอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พอแล้ว ตอนนี้ยังหึงอยู่ไหม?”
นัยน์ตาของนัทธีเปล่งประกายขึ้น “เธอจูบอีกที ฉันก็ไม่หึงแล้ว”
“จูงได้ แต่ว่านายห้ามหลอกฉัน เอาเปรียบฉันอีกแล้ว อย่าลืมคำที่ลีน่าพูดเมื่อกี้ ที่นี่เป็นที่สาธารณะ” วารุณีย้ำเตือนผู้ชาย
ชัดเจนเลยว่าผู้ชายมีความไม่อยาก ทว่าสุดท้าย เขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย “โอเค”
“เอาหน้าหันไป” วารุณพูด
นัทธีทำตาม ขยับหน้าไปทางฝั่งซ้าย จากนั้นก็เผยหน้าฝั่งขวาออกมา
ไม่ว่ายังไงแล้วเมื่อกี้วารุณีก็จูบหน้าซ้าย แน่นอนว่าครั้งนี้ควรจะจูบหน้าขวาแล้ว
เห็นนัทธีเชื่อฟังขนาดนี้ วารุณียกคอขึ้น จูบลงไปยังหน้าขวาของผู้ชายเบาๆ หนึ่งที
“ตอนนี้พอใจหรือยัง?” วารุณีมองไปทางผู้ชาย ยิ้มแล้วถาม
ผู้ชายเงยหน้าคือ “พอได้แล้ว”
“ปากแข็ง” วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
พอใจมากแล้วแท้ๆ ทว่าบนปากกลับไม่ยอมรับ
ไม่พอ เธอชอบเขาในแบบนี้แหละ สีหน้าที่เกรี้ยวกราด ดูแล้วน่ารักมาก
“พอแล้ว นายปล่อยฉันก่อน จะทานข้าวแล้ว ฉันไปเรียกเด็กทั้งสองลงมา” วารุณีตบแขนของผู้ชาย
ผู้ชายปล่อยเอวของเธอออก “บอกว่าให้พวกเขาไปนอนไม่ใช่เหรอ? จะเรียกพวกเขาตื่นขึ้นมาเลย?”
“ต้องเรียกอยู่ พวกเขายังเด็ก เป็นช่วงที่ร่างกายกำลังโต จะไม่ทานอาหารเย็นไดัยังไง เดี๋ยวพวกเขาทานเสร็จแล้วก็รีบนอนเช้าๆ” วารุณีมองดูนาฬิกาตรงข้อมือแล้วพูด
นัทธีอื้มตอบกลับคำ และลุกขึ้นเช่นกัน “งั้นไปเถอะ ฉันไปกับเธอ”
“โอเค” วารุณีเห็นด้วย
เขาเป็นพ่อของเด็ก ไปเรียกเด็กๆ ตื่นพร้อมกับเธอ เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว
อีกอย่างเธอคิดว่า เด็กทั้งสองเห็นว่าพวกเขาทั้งสองต่างก็อยู่ ก็คงจะดีใจมากๆ
สองสามีภรรยาจูงมือกันเดินขึ้นตึกไป
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ทั้งสองคนจูงเด็กไว้คนละคนแล้วลงมาจากบนตึก
น่าจะเป็นเพราะว่ายังไม่ตื่น เด็กทั้งสองในตอนนี้ไม่มีชีวิตชีวาเลย สมองอันเล็กน้อยนี้ ดูแล้วน่าสงสารมาก
ลีน่าถือจานผลไม้เข้ามาจากข้างนอก เห็นเด็กทั้งสองเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกสงสาร “อัยโย เจ้าเด็กทั้งสองเป็นอะไรกัน?”
“พึ่งตื่นขึ้นมา ยังนอนไม่อิ่มเลย ไม่ค่อยมีแรง” วารุณียิ้มและอธิบายกลับ
ลีน่าเดินขึ้นไปขยี้ศีรษะของเด็กทั้งสอง หลังจากนั้นก็เหมือนนึกอะไรออก หยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋าสองลูกแล้วยื่นออกไป
“โอเคเด็กน้อยทั้งสอง รีบมากินลูกอม กินลูกอมเสร็จก็ตื่นแล้ว” ลีน่าพูด
เด็กทั้งสองยื่นมือไปรับลูกอมของเธอมา พูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงที่เบา “ขอบคุณค่ะคุณน้าลีน่า
“อัยโย เด็ดสองคนนี้ ฟังจนหัวใจฉันจะละลายแล้ว” ลีน่าจับที่หัวใจของตนเอง พูดด้วยสีหน้าที่เกินเบอร์
วารุณีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ไปเถอะ ไปกินข้าวก่อน”
“โอเค ไป” ลีน่าพยักหน้า จากนั้นก็รับเด็กทั้งสองมาจากวารุณีและนัทธี จูงมือของเด็กทั้งสองตรงไปทางห้องอาหาร
สำหรับวารุณีและนัทธี แน่นอนว่าสบายตัวไปเลย จูงมือกันแล้วเดินอยู่ข้างหลัง
วารุณีมองดูภาพข้างหลังของผู้ใหญ่หนึ่งคนและเด็กสองคน ยิ้มแล้วส่ายหัว “ลีน่าตั้งใจสินะ ตั้งใจพาเด็กทั้งสองไป ให้พวกเราอยู่ข้างหลัง”
“เขาทำได้ดีมาก” นัทธีพยักหน้าชื่นชม
วารุณีเบ้ปากอย่างหมดคำพูด
แน่นอนว่าเขารู้สึกดีอยู่แล้ว เพราะว่าไม่มีเด็กทั้งสองอยู่ข้างกาย เขาก็สามารถนัวเนียกับเธอได้อย่างโจ่งแจ้งแล้ว
ไม่รู้จริงๆ เลยว่าผู้ชายคนหนึ่ง ทำไมถึงขี้นัวเนียขนาดนี้
แต่ว่าก็ดี เขายิ่งนัวเนียเธอ ก็แสดงว่าเขายิ่งรักเธอ
ทั้งสองมาถึงห้องอาหาร ลีน่าและเด็กทั้งสองนั่งอยู่บนที่นั่งแล้ว
ขณะนี้เด็กทั้งสองตื่นอย่างโจ่งแจ้งแล้ว และชีวิตชีวามากขึ้น เห็นวารุณีและนัทธีทั้งสองเดินเข้ามา เบิกตาโตและตาสว่างแจ่มแจ้งขึ้นทันที
“คุณพ่อ หม่ามี๊ รีบมานั่งค่ะ ทานข้าวแล้ว” ไอริณโบกมืออันน้อยนิด
อารัณยิ่งโดดลงมาจากเก้าอี้เลย ช่วยสองสามีภรรยาดึงเก้าอี้ออก
เห็นเด็กทั้งสองเชื่อฟังและเป็นเด็กดีขนาดนี้ วารุณีและนัทธีรู้สึกอบอุ่นใจมากๆ
นัทธีเดินไป อุ้มอารัณขึ้นมา วางกลับไปยังเก้าอี้ จากนั้นก็ลูบศีรษะน้อยๆ ของเขาเบาๆ “เป็นเด็กดีจริงๆ”
“ฮิฮิ” อารัณลูบศีรษะน้อยๆ ของตนเองแล้วยิ้ม
นัทธีปล่อยศีรษะของเขาออก จากนั้นก็มองไปทางวารุณี “นั่ง”
“อื้ม” วารุณพยักหน้า นั่งไปยังที่นั่งข้างๆ ของเขา
คนใช้เริ่มมาเสิร์ฟอาหาร อาหารหรูหราและเยอะมาก
นัทธีสวมผ้าเช็ดปากกับเด็กทั้งสอง เดี๋ยวตอนทานอาหารจะเลอะเสื้อ
ท่าทางที่เขาทำสิ่งนี้ดูชำนาญมาก ดูก็รู้ว่าทำหลายครั้งแล้ว
ลีน่าดื่มซุปแล้วถาม “วารุณี ก่อนหน้านี้ที่พวกเธออยู่บ้าน ประธานนัทธีเป็นคนดูแลไอริณและอารัณทานอาหารเหรอ”
“ใช่” วารุณีพยักหน้า จากนั้นก็มองไปทาผู้ชายอย่างอ่อนโยน “เขาไม่ให้ฉันทำ และไม่ให้คนใช้มาทำ จะทำเอง”
ใช้คำพูดของเขาก็คือ เธอที่เธอคลอดลูก ลำบากมากพอแล้ว อีกอย่างยังลำบากมาหลายปีขนาดนี้ เลี้ยงดูลูกให้โต ส่วนเขาที่เป็นพ่อ กลับไม่เคยทำอะไรให้ลูกเลย
ดังนั้น ดูแลลูกทานอาหาร เขาก็รับผิดชอบอย่างไม่ลังเล
พูดสรุปแล้ว ก็คือขอแค่มีเขาอยู่ หน้าที่ดูแลลูกๆ ทานอาหาร ก็ตกอยู่บนตัวเขาคนเดียว
ลีน่าพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ประธานนัทธีเป็นผู้ชายที่ดีที่ทั้งเอ็นดูภรรยาและลูกๆ จริงๆ”
“ใช่แล้ว” วารุณีมองนัทธี นัยน์ตาเต็มไปด้วยความภูมิใจ
เธอโชคดีเพียงไหน สามารถได้แต่งงานกับผู้ชายคนนี้
ยี่สิบปีก่อน เธอไม่รู้ว่าครอบครัวที่อบอุ่นคืออย่างไร
ทว่าตอนนี้เธอรู้แล้ว
ดังนั้นจริงๆ แล้วเธอรู้สึกขอบคุณพิชญามากๆ ที่ในตอนนั้นส่งเธอเข้าไปในห้องนั้น ไม่เช่นนั้นเธอก็คงไม่พบเจอกับเขา
“มองฉันทำไม ไม่หิวเหรอ?” นัทธีเห็นนัยน์ตาของวารุณีมองอยู่แต่บนตัวของตนเองไม่หันไปทางอื่น ก็หันศีรษะไปถาม
วารุณียิ้มแล้วตบ “ฉันมองที่รักของฉันที่ดูดี”
“ห๊ะ?” นัทธีเลิกคิ้ว “ดูดีเท่าไหน?”
“ดูดีมากๆ เป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่ฉันเคยเจอมา!” วารุณีตอบกลับ
เธอไม่ได้ประจบประแจง แต่ว่าเป็นคำพูดจากใจจริงของเธอ
เธอเคยเจอผู้ชายที่ดูดีไม่น้อย ทว่าเขาเป็นผู้ชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่เธอเคยเจอมาจริงๆ
นัทธีได้ยินวารุณีพูดเช่นนี้แล้ว หัวเราะด้วยเสียงต่ำ “เป็นเกียรติของฉันมาก อีกอย่างเธอก็เหมือนกัน เธอก็เป็นผู้หญิงที่ดูดีที่สุดเท่าที่ฉันเจอมา”
เช่นกัน เขาก็ไม่ได้พูดโกหก เขาเองก็พูดออกมาจากใจจริง
เธอสวยเกินไปแล้ว เป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอมาจริงๆ