ภาค-5 ตอนที่ 74 เงาดอกซิ่งเลือนราง (2)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ดวงตาของหลี่เสี่ยนฉายแววเยาะหยัน เอ่ยว่า “มิรู้จริงๆ ว่าท่านรับเขาเป็นศิษย์ได้อย่างไร หากเขาฉลาดสักหน่อยก็คงรู้แล้วว่าท่านมิมีทางตำหนิการกระทำที่ผิดไปจากปกติของเขา เขายกกองทัพย่อยบุกโจมตีถิ่นไกล หากมิเด็ดขาดโหดเหี้ยม น่ากลัวว่าคงติดพันกับศึกอันยากลำบาก แม้ท่านใจคอเหี้ยมอำมหิต แต่ยามปกติสุขุมอ่อนโยน ผู้คนจึงลืมไปว่าท่านเป็นผู้ใจแข็งดั่งเหล็ก”

ข้ามิสนใจคำวิจารณ์ของฉีอ๋อง เอ่ยอย่างไม่สะทกสะท้าน “แม้ข้ามิตำหนิเขา แต่ก็มิอาจไม่ลงโทษเขา คิดว่าฝ่าบาทก็คงจะมอบบทลงโทษให้เขาสักหน่อยเช่นกัน คุณงามความดีหนนี้คงมิเหลือแล้ว อย่างไรเสียวันหน้าต้ายงก็ต้องปลอบประโลมประชาชนชาวเป่ยฮั่น”

หลี่เสี่ยนอมยิ้มพลางส่ายศีรษะ ตอบว่า “เรื่องเหล่านี้ข้าคร้านจะสนใจ เสด็จพี่ย่อมเป็นผู้ใคร่ครวญเอง สุยอวิ๋น ในเมื่อมิอาจสังหารหลินปี้ แล้วมีวิธีใดสั่นคลอนขวัญกำลังใจของกองทัพไต้โจวหรือไม่ หลายวันนี้ข้าสัมผัสความร้ายกาจของกองทัพไต้โจวมาแล้ว หากทหารม้าเช่นนี้สู้แลกชีวิตขึ้นมา กองทัพของข้าน่ากลัวว่าคงเสียหายมิเบา”

ไต้โจวหรือ ข้าเอ่ยเนิบช้า “วสันต์นี้กองทัพทหารม้าของพวกคนเถื่อนกำลังหมายมาดบุกปล้นเยี่ยนเหมิน ภายในสิบวันพวกคนเถื่อนคงบุกตีไต้โจว ทหารม้าไต้โจวมีเพียงหมื่นกว่าคน หากประจันหน้ากับทหารม้าของพวกคนเถื่อน แม้ใจมุ่งมั่นแต่กำลังย่อมมิพอ ยามนี้ทางฝั่งไต้โจว หลินหย่วนถิงล้มหมอนนอนเสื่อ หลินเฉิงอี๋กับหลินเฉิงเอ่อร์ที่รั้งอยู่ไต้โจวมีแต่ความห้าวหาญ สติปัญญาวางกลอุบายไม่ดีพอ บุตรสาวคนเล็กหลินถงมิเคยนำทัพ เกรงว่าคงเคราะห์ร้ายมากกว่าเคราะห์ดี

ขอเพียงกระจายข่าวนี้ออกไป กองทัพไต้โจวไหนเลยยังจะมีใจสู้ตายอีก หากภายในสิบวันมิอาจเผด็จศึกได้ น่ากลัวว่าหลินปี้คงมิอาจควบคุมการเคลื่อนไหวของกองทัพไต้โจวได้แล้ว”

หลี่เสี่ยนกำลังจะพยักหน้า ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงถ้วยถาดแตกกระจาย หลี่เสี่ยนหันไปมองตามเสียง ท่ามกลางดอกซิ่ง ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีคนหนึ่งยืนนิ่งอยู่ใต้ดอกซิ่งสีชมพูเข้ม สีหน้าหวาดผวา ใบหน้าซีดเผือด ถาดกระเบื้องลายครามแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอยู่แทบเท้าเขา ผลไม้แห้งกับขนมตกเกลื่อนพื้น หลี่เสี่ยนนิ่งอึ้ง เขาจำชายหนุ่มผู้นี้ได้ อีกฝ่ายก็คือชื่อจี้ลูกน้องใต้บัญชาของสุยอวิ๋น เคยมีวาสนาพบหน้ากันหลายครั้ง แต่มิทราบว่าเหตุเขาจึงตื่นตระหนกเช่นนี้

ดวงตาของเสี่ยวซุ่นจื่อทอประกายเย็นยะเยือก เอ่ยอย่างเย็นชา “ชื่อจี้ ออกไปกักตัวทบทวนตนเอง หากมิได้รับอนุญาต ห้ามออกจากห้อง”

หลี่เสี่ยนแปลกใจ แต่เมื่อเห็นเสี่ยวซุ่นจื่อลงโทษชายหนุ่มผู้นั้นทันทีเช่นนี้ ก็ทราบว่าอีกฝ่ายเจตนามิต้องการให้ตนทราบสาเหตุของเรื่องนี้ เขาจึงทำได้เพียงยิ้มแล้วปล่อยผ่านไป ผู้ใดจะคิดว่าชายหนุ่มผู้นั้นกลับถลันมาถึงหน้าศาลา ค้อมกายคำนับวิงวอน “ขอคุณชายโปรดเมตตา อนุญาตให้ชื่อจี้เดินทางไปไต้โจวสักหน”

ในใจหลี่จื้อตกตะลึง สายตาเลื่อนไปจับบนใบหน้าของเจียงเจ๋อ ทว่ากลับเห็นเจียงเจ๋อมีสีหน้าสุขุมนิ่งสงบ เพียงเคร่งขรึมขึ้นเล็กน้อย

จวบจนคุกเข่าจรดพื้น ชื่อจี้จึงเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดอันใดออกไป แต่เขามินึกเสียใจแม้แต่น้อย แม้ว่าผลของการเอ่ยคำนี้อาจทำให้ถูกขัง อาจสูญเสียทุกสิ่งที่ตนเองมีอยู่ตอนนี้ แต่เขากลับไม่เสียใจสักนิดเดียว เวลานี้ในใจเขามีเพียงดรุณีผู้งดงามในอาภรณ์สีแดงนางนั้น เงาอรชรที่ทำให้เขาหวนคะนึงทุกครั้งในห้วงฝันนับแต่กลับมาจากตงไห่

แม้ก่อนหน้านี้เต้าหลีเตือนตนเองแล้วว่าเมื่อพลาดพลั้งรักไปแล้วต้องกล้าเผชิญหน้า แต่สุดท้ายเขาก็พบว่าตนเป็นเพียงคนขี้ขลาดคนหนึ่ง เขาหลบหนีทุกสิ่ง ติดตามองค์หญิงกลับนครฉางอัน รับคำสั่งลับเดินทางไปหนานฉู่จัดการเครือข่ายข่าวสารของหอกลไกสวรรค์ ทว่าสุดท้ายเขาก็อดทนมิไหว รับบัญชาของคุณชายมาถึงเป่ยฮั่น

เขาคิดว่าตนเองทำใจแข็งมองดูดรุณีผู้งดงามนางนั้นตายบนสนามรบ หรือตายใต้คมดาบได้แล้ว ทว่าเมื่อเขาทราบว่าไต้โจวกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาก็ยังใจสลาย เวลานี้เขาคิดแต่จะเดินทางไปไต้โจว ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับนาง แม้ต้องวายชีวาก็ตาม

ข้าถอนหายใจกล่าวขึ้นว่า “เงาจันทร์ในลำธารไหลเงียบงัน ใต้เงาดอกซิ่งเลือนราง เสียงขลุ่ยบรรเลงจรดฟ้าสาง เมื่อคืนวานข้าได้ยินเสียงเจ้าเป่าขลุ่ยก็ทราบแล้วว่าในหัวใจเจ้ามีความรักเกาะกุมอยู่ เจ้าติดตามข้ามาเกือบสิบปี สมควรทราบนิสัยของข้า ข้ามิเคยชมชอบบังคับผู้อื่น หากเจ้าออกจากสังกัดของข้าตอนนี้ ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปไต้โจว

แต่ถึงไต้โจวจะต่อต้านการรุกรานของพวกคนเถื่อนได้ แต่มิอาจต้านทหารอาชาเหล็กของต้ายงเหยียบย่ำทำลาย เรื่องระหว่างเจ้ากับท่านหญิงน้อยเป็นเพียงเงาจันทร์สะท้อนบนผืนน้ำ ชื่อจี้ เจ้าต้องการละทิ้งเส้นทางอันรุ่งโรจน์เบื้องหน้า ไปร่วมเป็นร่วมตายกับนางจริงหรือ”

ชื่อจี้หลั่งน้ำตาอย่างเงียบงัน ตอบว่า “คุณชายเก็บชื่อจี้มาไว้ข้างกาย ทักษะทุกสิ่งที่ชื่อจี้ทำเป็นในวันนี้ คุณชายล้วนเป็นผู้มอบให้ ผู้น้อยเคยคิดว่าจะได้จากเป็นจากตายกับนางบนสนามรบ แต่ยามนี้เมื่อทราบว่านางกำลังจะทำศึกกับพวกคนเถื่อน ข้ายากจะปล่อยวางได้จริงๆ แทนที่วันหน้าจะต้องตัดสินเป็นตายกับนาง ข้ายินดีปกป้องนางจนตัวตายอยู่นอกด่านเยี่ยนเหมิน

หากคุณชายเมตตา โปรดอนุญาตให้ชื่อจี้ไปช่วยเหลือนางที่ไต้โจวด้วย หลังจากพวกคนเถื่อนถอยไปแล้ว ต่อให้ชื่อจี้ยังมีลมหายใจเหลืออยู่ก็ยินดีตายชดใช้ให้คุณชาย มิยอมแพร่งพรายความลับใดของคุณชายเด็ดขาด”

ข้าส่ายศีรษะเล็กน้อย ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “หลังจากเจ้ากลับมาจากตงไห่ก็ชอบบรรเลงขลุ่ย วันนี้บรรเลงให้ข้าฟังสักเพลง หากข้ารู้สึกว่าดีก็จะปล่อยเจ้าไป”

ดวงตาของชื่อจี้ฉายแววงุนงงวูบหนึ่ง แต่เขาเคารพและหวั่นเกรงเจียงเจ๋อมาตลอด ดังนั้นจึงหยิบขลุ่ยไม้ไผ่สีเหลืองเลาหนึ่งออกมา คุกเข่าบนพื้นแล้วเริ่มบรรเลง แต่เดิมชื่อจี้เป็นเด็กกำพร้าที่เร่ร่อนอยู่ในแผ่นดินแคว้นฉู่ การเป่าขลุ่ยเป็นทักษะที่พบได้เป็นธรรมดา เขามิได้รู้สึกชมชอบหรือมิชมชอบ ต่อมาชีวิตต้องระหกระเหินเดินทาง เพียงพริบตาเดียวก็ต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย จึงหมดความสนใจจะเป่าขลุ่ยเล่นนานแล้ว

ทว่าหลังกลับมาจากตงไห่ หัวใจเขามักเศร้าหมอง อดมิได้ต้องรื้องานอดิเรกสมัยเยาว์วัยกลับมาอีกหน บรรเลงขลุ่ยบรรเทาความทุกข์ในหัวใจ เขาเป็นคนฉลาด แล้วยังเคยร่ำเรียนดนตรีกับเจียงเจ๋อ แม้ได้เรียนเป็นเวลาเพียงไม่กี่เดือน แต่ก็บรรเลงขลุ่ยได้ค่อนข้างสะเทือนอารมณ์ผู้คนทีเดียว

เมื่อคืนวานยามเขาเป่าขลุ่ยเต็มไปด้วยความคิดคะนึงหา ดังนั้นจึงบรรเลงเพลง ‘ดอกเหมยร่วงโรย’ อันเป็นบทเพลงขลุ่ยที่แพร่หลายของทางเจียงหนาน ท่วงทำนองเศร้าสร้อยตรอมตรม อ่อนหวานสะเทือนอารมณ์

วันนี้เจียงเจ๋อต้องการให้เขาบรรลงเพลง เขาพลันเกิดความคิดหนึ่ง กลับเลือกเป่าบทเพลง ‘หักกิ่งหลิว’ ที่ยังไม่คุ้นเคยนัก นี่เป็นบทเพลงที่เขาเคยได้ยินตอนอยู่ในไต้โจว ยามนั้นบันทึกบทเพลงไว้โดยมิได้ตั้งใจ ต่อมาเมื่อกลับถึงหนานฉู่ ยามว่างจึงเรียบเรียงออกมา เคยฝึกฝนอยู่ไม่กี่หน วันนี้ได้บรรเลง แม้ยังมีเสียงขัดหูอยู่บ้าง แต่อารมณ์ของบทเพลงตรงกับความรู้สึกของเขาพอดี เสียงขลุ่ยใสวังเวง กังวานก้องถึงหมู่เมฆบนผืนนภา ในความทุกข์ระทมของการพลัดพรากแทรกเสียงสัประยุทธ์ หอกดาบครวญคร่ำ

เขาเป่าขลุ่ยด้วยท่าทางผ่อนคลาย แต่กลับทำให้จิตใจของผู้คนรุ่มร้อนดุจเพลิงผลาญ ห่างออกไปไม่ไกล กลุ่มคนที่กำลังจูงม้าอยู่กลุ่มหนึ่งกำลังเดินมาทางด้านนี้ ผู้ที่นำอยู่เบื้องหน้าคือจิงฉือซึ่งถ่วงเวลาเนิ่นนานจนในที่สุดก็จำเป็นต้องมา เขารบเร้าจ่างซุนจี้จะอยู่ในกองทัพ แต่จ่างซุนจี้กลั้นขำเกลี้ยกล่อมเขาให้ไปคารวะเจียงเจ๋อโดยเร็วจะดีกว่า มิว่าจะสารภาพผิดหรือขอขมา สุดท้ายก็ต้องทำให้จบ

ดังนั้นท้ายที่สุดจิงฉือจึงพาองครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนมาพบเจียงเจ๋อ ในกลุ่มคนที่ติดตามมามีไต้เย่ว์อยู่ด้วย เขาจงใจแสดงทีท่ากระตือรือร้นอยากพบหน้า หลายวันนี้จิงฉือคุยกับเขาถูกคอยิ่งนัก ชื่นชมเขาอยู่พอสมควร จึงพาเขาเดินทางมาด้วย

ยังมิทันเข้าใกล้หมู่บ้าน จืงฉือก็หวาดวิตก บอกว่ากลัวจะกลายเป็นการมิเคารพ จึงลงจากม้ามาเดินด้วยเท้าตนเอง ไต้เย่ว์กับองครักษ์คนสนิทเหล่านี้จึงได้แต่เดินตามมาด้วยกันหมด คนทั้งขบวนยังมิทันเดินมาถึงหน้าหมู่บ้านก็ได้ยินเสียงขลุ่ยอันหนาวเหน็บ จึงอดหยุดฝีเท้าตั้งใจฟังมิได้

ไต้เย่ว์แต่เดิมก็เป็นคนเป่ยฮั่น บทเพลงบทนี้นอกจากที่ไต้โจว ยังค่อนข้างแพร่หลายในถิ่นอื่นของเป่ยฮั่น ไต้เย่ว์ฟังแล้วพลันรู้สึกคิดถึงบ้านเกิด เมื่อนึกขึ้นมาว่ายามนี้เสาค้ำนภาของเป่ยฮั่นถูกกองทัพต้ายงล้อมอยู่ แว่นแคว้นกำลังจะล่มสลายในชั่วพริบตา หัวใจก็ขื่นขมยากจะพรรณนาออกมาเป็นคำพูด หากมิใช่ว่าเขาฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เกรงว่าคงเผยพิรุธออกมาแล้ว

เสียงเพลงลอยเวียนวน บรรเลงมิขาดสาย เมื่อทุกคนเดินเข้าไปใกล้แล้ว จิงฉือจึงจัดเสื้อผ้า เดินตรงเข้าไปหาคนสองคนที่นั่งฟังบทเพลงอยู่ตรงนั้น ไต้เย่ว์กำลังจะตามไปด้วย แต่กลับถูกองครักษ์คนสนิทของจิงฉือหยุดไว้ ไต้เย่ว์ตกใจ คิดว่าตนเองเผลอเผยจิตสังหารออกมา องครักษ์คนสนิทผู้นั้นกลับกระซิบบอกว่า “เข้าไปใกล้มิได้ ฉู่เซียงโหวมิยอมให้คนมิคุ้นหน้าเข้าไปใกล้ถึงข้างตัว เจ้าไม่เห็นหรือว่าราชองครักษ์หู่จีจ้องพวกเราเขม็งอยู่ นอกจากแม่ทัพจิง พวกเรามิมีคุณสมบัติเข้าไปใกล้ใต้เท้าเจียง”

ไต้เย่ว์เพ่งมองจึงเห็นว่ารอบศาลาหลังนั้นล้วนมีราชองครักษ์หู่จีเฝ้าอยู่ แม้แต่องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องก็ยังยืนอยู่ไกลๆ มิอาจเข้าใกล้ระยะร้อยก้าวรอบศาลา ในใจไต้เย่ว์รู้สึกหงุดหงิด ทว่าบนใบหน้ากลับมิเปลี่ยนแปลง เขาผินหน้าถามว่า “ใต้เท้าเจียงผู้นี้หยิ่งยโสปานนี้เชียวหรือ”

องครักษ์คนสนิทผู้นั้นก็หัวเราะ “เจ้ากล่าวหาใต้เท้าเจียงแล้ว ใต้เท้าเจียงเป็นคนกันเองอย่างยิ่ง นี่เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทต่างหาก ข้าเคยได้ยินแม่ทัพเล่าว่า ก่อนหน้านี้ใต้เท้าเจียงถูกลอบสังหารบาดเจ็บหนัก แทบวายชีวา นับจากนั้นเป็นต้นมาองครักษ์รอบกายใต้เท้าเจียงล้วนเป็นคนที่จักรพรรดิเจาะจงส่งมาให้”

ไต้เย่ว์พยักหน้าแสดงออกว่าเข้าใจ แต่ในใจเกิดความคิดประหลาด หากจักรพรรดิต้ายงคิดจะสังหารใต้เท้าเจียงผู้นี้ ไยมิใช่ง่ายดุจพลิกฝ่ามือ เพิ่งคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันรู้สึกถึงสายตาเย็นยะเยือกคู่หนึ่งกวาดผ่านร่างตนจากในศาลา หัวใจหนาวสะท้านวูบหนึ่งอย่างห้ามมิได้

เขาสะกดความหวั่นกลัวในใจครู่หนึ่งก่อนจะหันกลับไปเงยหน้ามอง แล้วจึงเห็นชายหนุ่มอาภรณ์เขียวผู้มีใบหน้าเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็งคนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางเงาดอกซิ่ง มือถือกาสีเงิน แม้ทำงานของบ่าวรับใช้อยู่ แต่ดูจากท่วงท่าของเขามิมีกิริยาท่าทางอย่างบ่าวรับใช้แม้สักนิด เงามารหลี่ซุ่น นามนี้ผุดขึ้นในสมองของไต้เย่ว์ในทันใด