ภาค-5 ตอนที่ 75 เงาดอกซิ่งเลือนราง (3)

ตำนานสุยอวิ๋นยอดกุนซือ

ระหว่างที่ไต้เย่ว์กำลังขบคิด เสียงขลุ่ยก็หยุดลง ชายหนุ่มผู้คุกเข่าบรรเลงเพลงขลุ่ยผู้นั้นก้มศีรษะคำนับแล้วนิ่งเงียบ ในใจไต้เย่ว์รู้สึกประหลาดใจ แต่มิกล้าถามมาก เพียงเฝ้ามองอยู่เงียบๆ เท่านั้น

ทันใดนั้นบุรุษอาภรณ์เขียว เรือนผมสีเทาในศาลาผู้นั้นก็ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้า แล้วก้าวลงบันไดหินมาประคองชายหนุ่มผู้นั้นขึ้น แล้วถอนหายใจกล่าวว่า “ข้ามองเห็นหัวใจของเจ้ากระจ่างชัดแล้ว เจ้าต้องการไปไต้โจว ข้าจะมิขวางเจ้า แต่เจ้าจงอย่าได้สละชีวิตง่ายๆ ข้าหวังว่ายามกองทัพต้ายงปราบไต้โจวสำเร็จ เจ้าจะกลับมาพบหน้าข้า วางใจเถิด ข้ามิต้องการให้เจ้าทำสิ่งใด ข้าเพียงต้องการให้เจ้าพยายามมีชีวิตรอดกลับมาพบหน้าข้าเท่านั้น”

หลังจากนั้นชายหนุ่มผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืนพลางใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา แล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม แม้ไต้เย่ว์จับต้นชนปลายมิถูก แต่ชายหนุ่มผู้นี้กำลังจะเดินทางไปไต้โจว เรื่องนี้เขาได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง ในใจเกิดเมฆหมอกแห่งความสงสัยอย่างห้ามมิได้

เวลานี้เอง จิงฉือก็ก้าวเข้าไปคำนับพร้อมกับสีหน้าพิลึก “ผู้น้อยคารวะท่านอาจารย์ มิทราบว่าท่านอาจารย์สบายดีหรือไม่”

ข้าลอบหัวเราะในใจพลางมองสีหน้าวิตกของจิงฉือ “อะไรกัน แม่ทัพจิงมีเวลาว่างมาเยี่ยมข้าแล้วหรือ”

จิงฉือหน้าเจื่อน “ผู้น้อยสำนึกผิดแล้ว ขอท่านอาจารย์ลงโทษ”

ข้าเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “ข้าจะลงโทษท่านทำอันใด ท่านเป็นขุนนางคนสำคัญของราชสำนัก ยอดแม่ทัพในกองทัพ ยกทัพพันลี้จู่โจม ต่อให้ไร้ความดีความชอบก็ยังมีผลงาน ข้ามีเพียงบรรดาศักดิ์เล็กๆ ตำแหน่งหนึ่งที่ช้าเร็วท่านก็คงได้รับแต่งตั้งเช่นกัน

หากกล่าวถึงตำแหน่งขุนนาง หลายวันนี้ผู้แซ่เจียงร่างกายมิค่อยแข็งแรงจึงถวายหนังสือขอออกจากตำแหน่งผู้ตรวจการกองทัพแล้ว แม้ยังมิมีราชโองการลงมา ยังครองตำแหน่งกินเบี้ยหวัดหลวงอยู่ แต่ก็มิกล้าตำหนิแม่ทัพผู้กล้าที่นำพลทหารมากมายเช่นท่านหรอก”

จิงฉือถูกวาจาประชดท่อนนี้ทำเอาวิญญาณแทบหลุดจากร่าง คิดว่าเจียงเจ๋อโกรธเข้าแล้วจริงๆ เขารีบหมอบคารวะเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์อย่าได้โมโห จิงฉือมิได้คิดเมินเฉยต่อท่านอาจารย์ เพียงแต่ครั้งนี้นำทัพมีเรื่องที่ทำได้ไม่ดีอยู่มาก เกรงท่านอาจารย์จะตำหนิ ด้วยเหตุนี้จึงมาสายไปเสียหน่อย ขอท่านอาจารย์อย่าได้บันดาลโทสะ ท่านอาจารย์กำลังป่วยไข้ หากกระทบต่อร่างกาย ผู้น้อยคงกินมิได้นอนมิหลับ”

ไต้เย่ว์มองอยู่ไกลๆ อย่างตกตะลึงพรึงเพริด เขาได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคนอยู่รางๆ ยามปกติติดตามอยู่ข้างกายจิงฉือ เห็นเขาเป็นคนโผงผางหยาบกระด้าง เดินทัพครานี้ยังเห็นเขาปราบศัตรูจนโลหิตคาวคลุ้ง ในใจเห็นจิงฉือเป็นดั่งดาวมฤตยู คิดมิถึงเขากลับก้มหัวคุกเข่าต่อหน้าบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งเช่นนี้ สิ่งนี้ทำให้ไต้เย่ว์ตกตะลึง

คนหยาบกระด้างผู้นี้เป็นคนที่เคารพอาจารย์อย่างยิ่ง หรือบัณฑิตอาภรณ์เขียวผู้นี้มีพลังที่ทำให้คนมิอาจไม่เคารพยำเกรง คนในพรรคมารเคารพพลังอันแข็งแกร่ง ดูแคลนพวกที่อาศัยอำนาจหรือฐานะอันสูงส่งมาข่มผู้อื่น ไต้เย่ว์ดูอย่างไรก็มิรู้สึกว่าบุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นั้นมีพลังอำนาจอันใด เหตุไฉนชายหนุ่มเมื่อครู่กับจิงฉือยามอยู่ต่อหน้าเขาจึงตัวสั่นระริก แม้แต่เงามารหลี่ซุ่นยอดฝีมือผู้ยากจะคาดเดาคนนี้ก็ยินยอมพร้อมใจเป็นบ่าวรับใช้ของเขา

ในใจเขาฉงนสนเท่ห์นัก ตั้งใจจะมองดูเรื่องตรงหน้าต่อไป ผู้ใดจะคิดว่าราชองครักษ์หู่จีคนหนึ่งกลับเดินเข้ามาสั่งเสียงเบาให้พวกเขาเข้าไปพักผ่อนในหมู่บ้าน ไต้เย่ว์จึงจำต้องเดินตามทุกคนจากไป แต่เขาก็จงใจชะลอฝีเท้า พยายามเงี่ยหูฟัง ทว่ายิ่งฟังก็ยิ่งได้ยินมิชัด หูได้ยินถ้อยคำกระท่อนกระแท่นเลือนรางประโยคหนึ่ง

“เรื่องที่สังหารล้างเมืองเจ้ามิได้ทำผิดมหันต์อันใด ไยต้องรู้สึกผิด…” เสียงนั่นสุขุมอ่อนโยน ทว่าฟังแล้วไร้หัวใจ ชวนให้หัวใจของไต้เย่ว์เย็นยะเยือกยิ่งนัก

“ดวงดาวขาวโพลนแต้มเกศา แซมไล่มาจากปอยผมห้อยตก แม้นมิใช่แมลงวันดำสกปรก กลับทำเกียรติภูมิข้าย่อยยับดุจเดียวกัน” หลินหย่วนถิงสวมชุดเกราะเต็มตัวขับบทกวีเสียงกังวานอยู่ใต้ต้นไหวเก่าแก่ลำต้นหนาหนึ่งคนโอบใจกลางลานเรือน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ทุกท่าน แม้ข้าเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ทว่ายังมีเรี่ยวแรงขึ้นหลังอาชากวัดแกว่งศาสตราอยู่ แม้พวกคนเถื่อนดุร้าย แต่พวกเราบุรุษไต้โจวหวั่นเกรงพวกเขาหรือ”

แม่ทัพแห่งกองทัพไต้โจวที่ยืนเรียงแถวอยู่ด้านซ้ายและขวาตะโกนพร้อมเพรียง “บุรุษไต้โจวเห็นความตายในสมรภูมิเป็นเกียรติยศ ไฉนจะหวาดกลัวพวกคนเถื่อน ขอท่านแม่ทัพโปรดสั่งการ ขับไล่พวกคนเถื่อนออกจากเขตไต้โจว”

หลินหย่วนถิงหัวเราะดังลั่น ใบหน้าที่เดิมทีซีดเหลืองอยู่เล็กน้อยเผยความองอาจห้าวหาญมิลดทอนจากวันวาน เขามองด้านหลังของตน แม่ทัพแห่งกองทัพไต้โจวล้วนยืนอยู่ในลานกว้าง บางคนอายุห้าหกสิบปี เป็นแม่ทัพผู้กรำศึกเส้นผมขาวโพลนมีรอยแผลอยู่ทั่วร่าง บางคนเป็นแม่ทัพห้าวหาญวัยกลางคนกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ บางคนก็เป็นแม่ทัพหนุ่มที่ยังหลงเหลือเค้าความเยาว์วัย

บุตรชายทั้งสองคนของตนหลินเฉิงอี๋กับหลินเฉิงเอ่อร์ก็อยู่ในนั้นด้วย แต่น่าเสียดายแม่ทัพเหล่านี้กล้าหาญชาญชัยเหลือล้น แต่เฉลียวฉลาดมิมากพอ ครานี้พวกคนเถื่อนยกพลบุกมามากมาย หากอาศัยเพียงแม่ทัพเหล่านี้ออกไปแลกชีวิตทำศึก เกรงว่าคงเสียหายทั้งสองฝั่ง ดวงตาของเขาฉายแววเศร้าสร้อยวูบหนึ่ง แต่มินานก็จางหายไป ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพไต้โจวตอนนี้ เขามิอาจเผยความเศร้าหมองในหัวใจออกมาได้

หลินหย่วนถิงกล่าวอย่างรู้สึกผิด “ปี้เอ๋อร์ทำตามคำสั่งของเจ้าแคว้น นำกำลังหลักของกองทัพเราเดินทางไปชิ่นโจว ทำให้วันนี้สถานการณ์ไต้โจววิกฤตเช่นนี้ หย่วนถิงละอายใจนัก น้องฉี เดิมทีเจ้าถอดเกราะหวนคืนบ้านแล้ว แต่ยามนี้กลับต้องสวมเกราะเข้าสู่สมรภูมิอีกหน พี่ผิดต่อเจ้าแล้ว”

แม่ทัพชราเส้นผมหนวดเคราขาวโพลนคนหนึ่งก้าวออกมาประสานหมัดตอบว่า “ท่านแม่ทัพอย่าได้กล่าวเช่นนี้ เจ้าแคว้นมีบุญคุณต่อไต้โจวของพวกเรามากมาย ยามนี้แคว้นเผชิญอันตราย จำเป็นต้องเรียกกองทัพไต้โจวลงใต้ก็นับเป็นเรื่องสมเหตุผล เรื่องนี้กองทัพไต้โจวของพวกเราประชุมอย่างเป็นทางการกันแล้ว มิเกี่ยวกับท่านแม่ทัพหรือท่านหญิง

เจ้าลูกหมาลูกข้าติดตามท่านหญิงลงใต้ ส่วนหลานชายก็อายุยังน้อย ยามคนเถื่อนรุกราน ตระกูลฉีของข้าจะไม่มีผู้ใดออกรบได้เช่นไร แม้ผู้น้อยแก่แล้ว แต่ฝีไม้ลายมือมิได้หดหาย ท่านแม่ทัพอย่าได้ดูแคลนผู้น้อย”

หลินหย่วนถิงพลันรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ กล่าวตอบว่า “ขอบคุณน้องชายที่เข้าใจ แต่เจ้าเป็นถึงแม่ทัพผู้ผ่านศึกมามากจะลงสมรภูมิง่ายๆ มิได้ เจ้าเพียงบัญชาการอยู่กลางทัพหลวงให้ดีก็เป็นคุณงามความชอบใหญ่หลวงที่สุดแล้ว ครั้งนี้ข้าออกคำสั่งเรียกรวมกำลังพล บุรุษไต้โจวที่อายุมากกว่าสิบห้าปีล้วนต้องเตรียมตัวออกรบ พวกเขาเยาว์วัยเปี่ยมพละกำลัง ต้องการเจ้าคอยควบคุม ส่วนการลงสมรภูมิสังหารศัตรูให้เป็นเรื่องของคนหนุ่ม เจ้าอย่าไปแย่งความดีความชอบของพวกเขาเลย”

แม่ทัพเฒ่าผู้นั้นแรกเริ่มเผยสีหน้ามิพอใจ แต่เมื่อเห็นหลินหย่วนถิงมีสีหน้าแน่วแน่ ก็ทราบว่าเรื่องที่ตนสมควรทำที่สุดก็คือถ่ายทอดประสบการณ์ในสนามรบให้แก่คนรุ่นเยาว์ ดังนั้นจึงขานรับแล้วถอยไป

หลินหย่วนถิงยิ้มน้อยๆ กล่าวขึ้นว่า “ดี แม่ทัพทั้งหลายจงฟัง ชาวบ้านทั้งหมดที่อยู่นอกด่านเยี่ยนเหมินถูกอพยพเข้ามาในด่านแล้ว พวกเราจำต้องพิทักษ์ด่านอย่างแน่นหนา ครานี้พวกเรากำลังทหารไม่พอ มิอาจปะทะกับกำลังหลักของศัตรูนอกด่านเยี่ยนเหมินเหมือนก่อนหน้าได้

แต่การปิดด่านปกป้องตนเองก็เท่ากับรนหาที่ตาย ครานี้พวกคนเถื่อนประสบภัยจากหิมะย่อมโจมตีไต้โจวอย่างมิสนชีวิต หากพวกเราทำเพียงเฝ้าฐานที่มั่น พวกคนเถื่อนก็จะแทรกซึมเข้ามาตามช่องโหว่แนวป้องกันของไต้โจว ดังนั้นพวกเรายังต้องออกจากด่านไปทำศึกอยู่ แต่พวกเราจะส่งทหารชั้นยอดไปคอยถ่วงเวลาพวกเขาเท่านั้น ให้เฉิงอี๋กับเฉิงเอ๋อร์นำกำลังทหารไป พวกเจ้าคิดเช่นไร”

แม่ทัพทั้งหลายล้วนทราบว่าแม้พี่น้องตระกูลหลินยังเยาว์วัย แต่ก็เป็นแม่ทัพผู้ห้าวหาญคนหนึ่ง ถึงจะชาญฉลาดเจ้าอุบายสู้หลินปี้มิได้ แต่ก็เป็นแม่ทัพชั้นยอด ฝีมือเหนือกว่าแม่ทัพหนุ่มคนอื่น ดังนั้นจึงมิได้เห็นแย้งประการใด หลินหย่วนถิงกำลังจะออกคำสั่งเคลื่อนทหาร ดรุณีอาภรณ์สีแดงนางหนึ่งก็ก้าวออกมาจากจวนด้านใน ชุดเกราะสีแดงเพลิง ผ้าคลุมไหมสีแดง สะพายคันศรห้อยดาบไม่ขาดสักสิ่ง นางก็คือหลินถง บุตรีคนเล็กของหลินหย่วนถิง

เวลานี้หลินถงสีหน้าเย็นยะเยือกดุจหิมะ ดวงหน้าเคร่งขรึมแฝงอำนาจ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับมีความใจสู้ลุกโชนประหนึ่งเปลวเพลิง หลังกลับจากตงไห่ เด็กสาวผู้นี้ก็คล้ายกับเติบใหญ่อย่างกะทันหัน ความงดงามซุกซนเช่นก่อนหน้านี้มลายหายไปสิ้น สิ่งที่มาแทนที่คือความร้อนแรงดุจเปลวเพลิงและความงามเจิดจ้าดั่งพญาหงส์

ภายในชั่วระยะเวลาสั้นๆ ทักษะการขี่อาชายิงธนูและกลศึกของนางก้าวหน้าจนด้อยกว่าพี่สาวอยู่เพียงนิดเดียว แต่การยกทัพออกศึกครานี้ หลินหย่วนถิงก็ยังไม่คิดจะให้นางออกศึกด้วย มิว่าอย่างไรตระกูลหลินมีบุตรสี่คน บุตรีสองคน ห้าคนกำลังควบอาชาอยู่บนสมรภูมิแล้ว หลินหย่วนถิงจึงคิดจะรักษาบุตรีที่อายุน้อยที่สุดคนนี้ไว้เพราะความเห็นแก่ตัวเสี้ยวเล็กๆ

หลินถงเดินมาถึงในลานว่างแล้วคุกเข่าข้างหนึ่งคำนับ “ลูกขอคำสั่ง ติดตามบิดาเข้าสู่สนามรบสังหารศัตรู ขับไล่พวกคนเถื่อน พิทักษ์มาตุภูมิของพวกเรา”

หลินหย่วนถิงตวาด “เจ้าเป็นสตรีตัวเล็กๆ นางหนึ่ง เหตุใดจึงเอ่ยวาจาโอหังเช่นนี้ ออกศึกสังหารศัตรูย่อมมีพ่อกับพี่ชายของเจ้าทำหน้าที่ เจ้าอยู่ในบ้านปกป้องมารดาของเจ้าจึงจะถูก”

หลินถงโต้อย่างเคร่งขรึม “คำพูดนี้ท่านพ่อกล่าวผิดแล้ว แม้ลูกจะอายุน้อย แต่ก็อายุสิบเจ็ดปีแล้ว ท่านพี่อายุสิบห้าก็เข้าสู่สมรภูมิ ลูกทราบว่าลูกอายุน้อยด้อยประสบการณ์ มิกล้าวาดหวังจะนำกองทัพทำศึก เพียงต้องการติดตามท่านพ่อกับท่านพี่สังหารศัตรูตอบแทนเว่นแคว้นเพียงเท่านั้นก็พอใจแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น พี่สาวกำลังเดินทางไปชิ่นโจวทำศึกกับต้ายงเพื่อความอยู่รอดของแว่นแคว้น ขอให้ถงเอ๋อร์ออกศึกแทนท่านพี่ ขับไล่พวกคนเถื่อนออกจากไต้โจวด้วยเถิด”

สีหน้าของหลินหย่วนถิงปลื้มใจแต่ก็เศร้าหมองอยู่ในที สีหน้าบนใบหน้าแปรเปลี่ยนนับพันหมื่น นิสัยของลูกสาวคนนี้เขารู้ดียิ่งนัก ถึงมิยอมให้นางติดตามไป เกรงว่านางก็คงแอบปะปนกับหมู่ชาวบ้านมุ่งหน้าสู่สมรภูมิอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้น เห็นลูกสาวกล้าหาญเช่นนี้ หัวใจเขาก็ยินดียิ่งนัก ในที่สุดหลินหย่วนถิงจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ออกรบครั้งนี้ เจ้ารับหน้าที่เป็นองครักษ์คนสนิทพ่อชั่วคราว”

หลินถงโขกศีรษะคำนับอีกหนแล้วลุกขึ้นยืน เดินไปอยู่ด้านหลังบิดา สายตาของนางคล้ายจะมองทะลุเมฆหมอกและหมู่เขาจนไปถึงผืนแผ่นดินริมฝั่งน้ำชิ่นสุ่ย

หากข้าสิ้นชีวาในสมรภูมิ บางทีอาจมิต้องเห็นท่านกับครอบครัวของข้าเข่นฆ่ากันกระมัง

เวลานี้ในสมองของนางปรากฏภาพชายหนุ่มดวงหน้าหล่อเหลาเกลี้ยงเกลา ผู้มีกลิ่นอายอิสระเสรีน่าเข้าใกล้คนหนึ่ง ความเศร้าหมองลึกล้ำผุดขึ้นมาในจิตใจ น้ำตาหยดหนึ่งหล่นร่วงบนฝุ่นธุลี