เดือนสี่ วันที่สิบ นครหลวงต้ายงได้รับแจ้งข่าว ในสารบอกเพียงกองทัพต้ายงพ่ายแพ้ย่อยยับที่หุบเขาชิ่นสุ่ย ไท่จงได้ข่าวก็ทรงพิโรธ ตัดสินพระทัยยกทัพไปพิชิตเป่ยฮั่น ทิ้งรัชทายาทไว้เป็นผู้สำเร็จราชการแทน นำทัพไปยังด่านถงกวนด้วยพระองค์เอง
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
ณ เมืองชิ่นหยวน ต้วนอู๋ตี๋ที่จัดการงานจิปาถะเรียบร้อยแล้ว ลุกขึ้นยืนเคลื่อนไหวร่างกายที่แข็งตึงเล็กน้อย นับตั้งแต่ถูกพิษทำร้ายครั้งนั้น แม้อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว แต่ก็ยังมีความรู้สึกว่าลมปราณพร่องร่างกายอ่อนแออยู่
ครั้งนี้เขาได้รับคำสั่งให้รั้งอยู่ปกป้องเมืองชิ่นหยวน ทั้งวันวุ่นวายกับการจัดการหุบเขาชิ่นสุ่ย เผื่อว่ากองทัพแพ้พ่ายอาจถอยกลับมาตั้งมั่นตรงที่แห่งนี้ ดังนั้นหลายวันนี้เขาจึงวุ่นวายจนมิได้หลับตาพัก ข่าวการศึกจากแนวหน้าส่งมาถึงทุกวัน ต้วนอู่ตี๋ทราบว่ากองทัพเป่ยฮั่นไล่ตามตีท้ายทัพศัตรู กองทัพต้ายงปราชัยหลบหนี เพียงแต่เหตุไฉนวันนี้ถึงยามนี้แล้วกลับมิเห็นข่าวการศึกส่งมา
ต้วนอู๋ตี๋กังวลใจยิ่งนัก ทว่าที่แห่งนี้อยู่ห่างจากจี้ซื่อร้อยกว่าลี้ แม้เขาส่งทหารสอดแนมเดินทางไปสืบข่าว แต่ต่อให้แนวหน้าเกิดปัญหาขึ้นจริง ตนก็คงมิได้ข่าวก่อนเช้าตรู่วันพรุ่งนี้
ต้วนอู๋ตี๋เดินวนอยู่ในห้องหนังสือหลายรอบ จวบจนสุดท้ายก็ยังรู้สึกกังวลใจอยู่เล็กน้อย ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดบางประการ เขานึกถึงคนผู้หนึ่ง ฐานะของคนผู้นี้มิธรรมดา บางทีเขาอาจมีความเห็นที่เกี่ยวกับสถานการณ์ศึกที่ยังอยู่ในม่านหมอกเช่นนี้ต่างจากคนอื่น แม้คนผู้นี้คงมิบอกกล่าวคำใดออกมาง่ายๆ แต่ก็ยังมีโอกาสหลอกถามข่าวบางอย่างได้ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็เรียกองครักษ์คนสนิทแล้วมุ่งไปยังคุกท้ายจวนเจ้าเมือง
ต้วนอู๋ตี๋ก้าวช้าๆ ไปตามเส้นทางที่ปูด้วยหินเขียว กำแพงสองฝั่งเย็นเฉียบเปียกชื้น ตรงจุดที่ใกล้กับพื้นถึงขั้นมีตะไคร่เขียวขึ้น นอกจากแสงสว่างจากคบเพลิงก็มองมิเห็นแสงตะวันแม้สักนิด คุกแห่งนี้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษร้ายแรง ทั้งด้านในและด้านนอกคุ้มกันเข้มวงด แม้แต่หนูสักตัวก็ยากจะหลุดรอดออกไป เมื่อเดินมาถึงสุดปลายทางเดินก็พบประตูเหล็กที่ทำจากเหล็กกล้าบานหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะตั้งอยู่เป็นเวลานานแล้ว ด้านบนจึงมีสนิมเกาะเป็นด่างดวง พลทหารสองนายที่เฝ้าประตูอยู่ค้อมกายคำนับ
ต้วนอู๋ตี๋ถามเสียงเบา “นักโทษสภาพเป็นเช่นไร”
พลทหารนายหนึ่งตอบว่า “เรียนท่านแม่ทัพ นับตั้งแต่เขาฟื้นมาก็นิ่งเงียบมิพูดจา แต่มิเคยขัดขืน ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว แต่ยังมิอาจเดินเหินได้”
ต้วนอู๋ตี๋พยักหน้า ให้พวกเขาเปิดประตูเหล็ก เมื่อประตูเปิดออก กลิ่นยาฉุนจมูกคละเคล้ากับกลิ่นความชื้นพลันโถมเข้าใส่ ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วเดินเข้าไป ภายในห้องขังกว้างราวสองจั้ง มีเพียงเตียงศิลาหลังหนึ่งวางอยู่ฝั่งตรงข้าม บนนั้นปูฟางแห้งหนา กลิ่นความชื้นโชยออกมา บนกำแพงมีโซ่เหล็กตรึงติดกับผนังอยู่เส้นหนึ่ง ตรวนที่ติดอยู่กับปลายโซ่สวมอยู่บนมือเท้าของคนที่นั่งอยู่บนเตียงศิลา ทำให้คนผู้นี้ยากจะเคลื่อนไหวออกไปนอกระยะของโซ่เหล็ก
คนผู้นั้นสวมชุดนักโทษเนื้อหยาบ บนร่างมีบาดแผลที่ถูกผ้าพันไว้มิน้อย เห็นชัดว่าร่างกายบาดเจ็บหนัก เส้นผมยาวของเขาสยายปรกใบหน้าจนมองมิเห็นหน้าตา แต่เมื่อมองผ่านช่องว่างระหว่างเส้นผมก็จะเห็นใบหน้าซีกซ้ายของเขาถูกผ้าขาวพันไว้ สภาพของเขาน่าเวทนายิ่งนัก แต่ยามเขานั่งอยู่ตรงนั้นกลับยังคงท่าทางผึ่งผาย อีกทั้งท่าทางไม่สะทกสะท้าน แม้ตัวอยู่ในคุก แต่กลับมิหวาดกลัว หรือหดหู่แม้แต่น้อย
ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย คนผู้นี้ถูกไฟคลอก คุกใต้ดินแห่งนี้มิเหมาะให้เขาอยู่จริงๆ แต่คนผู้นี้เป็นยอดแม่ทัพของกองทัพต้ายง ตนเองมิเหมาะจะอำนวยความสะดวกให้เขา ต้วนอู๋ตี๋เดินมาถึงหน้าเตียงแล้วกล่าวว่า “แม่ทัพเซวียน อาการบาดเจ็บดีขึ้นหน่อยแล้วหรือไม่”
คนผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ยกมือขวาเสยเส้นผมยาวที่ปรกหน้าออก เผยให้เห็นใบหน้าซีดเซียว ใบหน้าซีกซ้ายพันผ้าขาว ยังคงมองเห็นร่องรอยของแผลไฟคลอก แต่ก็เห็นหน้าตาชัดเจน เขาก็คือเซวียนซง เซวียนฉางชิงนั่นเอง เขายิ้มน้อยๆ ตอบว่า “ที่แท้ก็แม่ทัพต้วน อาการบาดเจ็บของข้ามิได้เลวร้ายลง ต้องขอบคุณท่านแม่ทัพที่ส่งกุนซือมารักษา”
ต้วนอู๋ตี๋ถอนหายใจแผ่วเบา วันนั้นกองทัพต้ายงสู้อย่างมิคิดชีวิตหมายจะฝ่าผ่านปากหุบเขาออกมา ทว่าถูกแม่ทัพใหญ่ออกคำสั่งใช้หน้าไม้ขวางทางไว้ ทหารต้ายงหมื่นกว่าคนตายในกองเพลิงหมดสิ้น ยามเก็บกวาดสนามรบกลับพบว่าเซวียนซงถูกองครักษ์คนสนิทสิบกว่าคนทับไว้ข้างใต้ ใช้ร่างกายและโลหิตเข้าปกป้อง
แม่ทัพระดับนี้ของกองทัพต้ายงถูกจับเป็นเชลยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นน้อยครั้งในช่วงหลายปีนี้ ด้วยเหตุนี้ หลงถิงเฟยจึงออกคำสั่งให้ขังเขาไว้ แล้วยังออกคำสั่งให้หมอในกองทัพรักษาเขา ตอนเซวียนซงได้สติ หลงถิงเฟยก็นำทัพออกเดินทางไปแล้ว แต่เดิมต้วนอู๋ตี๋ตั้งใจจะล้วงถามความลับของกองทัพต้ายงจากปากของเซวียนซง แต่หลังจากเซวียนซงฟื้นขึ้นมาก็เงียบงันมิพูดจา แม้มิได้พยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็มิคิดจะยอมจำนนสักนิด
ต้วนอู๋ตี๋ยุ่งวุ่นวายอยู่กับงานในกองทัพ อีกทั้งอาการบาดเจ็บของเซวียนวงก็ยังมิหายดี เขาจึงยังมิได้มาจัดการกับเรื่องนี้ ทว่ายามนี้สถานการณ์ศึกมิกระจ่างชัด ต้วนอู๋ตี๋มิอาจใจอ่อนได้ จำต้องคิดหาวิธีล้วงความลับของกองทัพต้ายงจากปากเซวียนซงให้จงได้
เซวียนซงมองต้วนอู๋ตี๋ที่เหม่อลอยเล็กน้อยด้วยสายตานิ่งเรียบ ในใจเขาเข้าใจจุดประสงค์ที่คนผู้นี้มา แม้การอยู่ในห้องขังแห่งนี้จะไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน แต่จากจำนวนมื้ออาหารก็พอทราบวันโดยประมาณได้ เมื่อรวมกับเวลาที่ตนบาดเจ็บหนักมิได้สติ คิดว่าตอนนี้กองทัพเป่ยฮั่นคงติดกับแล้วกระมัง ดูท่ายามนี้ต้วนอู๋ตี๋จะยังมิได้รับข่าวที่แน่ชัด เพียงแต่รู้สึกผิดปกติเท่านั้น
หลังรอดจากความตายบนสนามรบ แม้เสียใจสุดแสนต่อเหล่าทหารที่ตายจาก แต่เซวียนซงมิคิดตายตามแม้สักนิด เพราะคำพูดประโยคนั้นก่อนจากของฉีอ๋อง หากหวนกลับกองทัพต้ายงได้ แม้ต้องทนอัปยศสักหน่อยก็คุ้มค่า แต่หากแม่ทัพเป่ยฮั่นคิดจะถามความลับอันใดจากปากตนก็อย่าหวัง แม้ตนปรารถนาจะออกรบบนสมรภูมิอีกครั้ง แต่เขาหาใช่คนรักตัวกลัวตายไม่ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เซวียนซงก็เอ่ยปาก “แม่ทัพต้วนทราบหรือไม่ว่าเหตุใดผู้แซ่เซวียนจึงยื้อลมหายใจมาจนวันนี้”
ต้วนอู๋ตี๋ฉุกใจคิดบางสิ่ง กล่าวว่า “ผู้แซ่ต้วนทราบว่าแม่ทัพเซวียนมิใช่ผู้ที่จะคุกเข่ายอมจำนนต่อศัตรู ท่านคงต้องการเห็นธงทัพต้ายงอีกหน”
เซวียนซงยิ้มละไม ตอบว่า “ผู้แซ่เซวียนอ่านตำราพิชัยสงครามจนแตกฉานแต่เล็ก ทว่าวรยุทธ์มิโดดเด่น แต่เดิมกองทัพต้ายงให้ความสำคัญกับทักษะขี่ม้ายิงธนูเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้แม้ผู้แซ่เซวียนอยากนำทัพออกศึกยิ่งนัก แต่จนปัญญาด้วยไร้วาสนา แต่ผู้แซ่เซวียนโชคดีมิน้อย แรกเริ่มได้เป็นหัวหน้ากองใต้บัญชาของแม่ทัพจิงฉือ แม่ทัพจิงฉือเป็นผู้ใจกว้าง มิคิดเล็กคิดน้อยว่าอำนาจจะถูกแบ่ง อนุญาตให้ผู้แซ่เซวียนนำกองทัพ
ต่อมาได้ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพกับฉีอ๋องเห็นคุณค่า ผู้แซ่เซวียนจึงได้สร้างชื่อสะเทือนใต้หล้าในศึกฉินเจ๋อ ได้กลายเป็นแม่ทัพด้วยประการฉะนี้ คุณงามความชอบเหล่านี้ได้มามิง่าย ผู้แซ่เซวียนระลึกอยู่ในใจเสมอ ด้วยเหตุนี้วันนั้นยามแม่ทัพใหญ่หลงใช้เพลิงเผาชิ่นสุ่ย ผู้แซ่เซวียนรู้ชัดว่ามีโอกาสตายเก้าในสิบ ก็ยังนำทหารมุ่งสู่ความตาย”
ต้วนอู๋ตี๋ขมวดคิ้วแย้งว่า “ความจริงวันนั้นฉีอ๋องของพวกท่านนำทัพหนีไปแล้ว พวกท่านถอยทัพมิทัน มิสู้ยอมจำนนเสีย น่าเสียดายแม่ทัพเซวียนยึดติดอย่างโง่เขลา จึงทำให้ทหารกล้าสองหมื่นนายตายในทะเลเพลิง แม่ทัพเซวียนทนได้เช่นไร”
เซวียนซงตอบเสียงเรียบ “คำพูดนี้แม่ทัพต้วนกล่าวผิดแล้ว แม้วันนั้นคุกเข่าวอนขอชีวิตได้ แต่ทหารกล้าต้ายงของพวกเราไหนเลยจะเป็นผู้รักตัวกลัวตาย หากทำเช่นนั้น แม้เอาชีวิตรอดมาได้ ก็เกรงว่าคงมิมีหน้าพบเจอผู้คนอีก เรื่องบางเรื่องก็เป็นเช่นนี้ หากแม่ทัพต้วนตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกจะยอมแพ้เพราะเสียดายชีวิตทหารใต้บัญชาหรือไร”
ต้วนอู๋ตี๋เงียบงัน หากเขาทำเช่นนั้นได้ ไยต้องลำบากลำบนทำศึกกับต้ายงอีกเล่า แม้รู้ชัดว่าสถานการณ์เสียเปรียบ แต่ก็ยังต้องลำบากแสนเข็ญพยายามสู้สุดกำลัง เรื่องบางเรื่องดูเหมือนเพียงยอมถอยก้าวเดียวก็จบ ทว่าหนึ่งก้าวนั้นมิว่าอย่างไรก็ถอยให้มิได้ ตนเองก็เข้าใจความนัยในวาจาของเซวียนซง อีกฝ่ายกำลังบอกว่าอย่าเพ้อฝันต้องการถามความลับอันใดจากปากเขา ทว่านี่เป็นเพียงหนทางเดียว จะให้ตนยอมแพ้ง่ายๆ ได้เช่นไร
คิดมาคิดไป คงมีแต่ต้องเลียบเคียงถาม หวังว่าจะได้เงื่อนงำอะไรออกมาเพิ่มสักหน่อย เมื่อคิดถึงตรงนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็เอ่ยอย่างนับถือ “ผู้แซ่ต้วนมิทันระวังเสียแล้ว แม่ทัพเซวียนเป็นผู้มีใจภักดี คงมิยอมทำให้ตนเสื่อมเกียรติ ผู้แซ่ต้วนเองก็มิต้องการทำให้ตนเองกระอักกระอ่วน ทว่าสถานที่แห่งนี้มิเหมาะกับการรักษาตัว ผู้แซ่ต้วนขอเชิญแม่ทัพเซวียนไปพักรักษาตัวที่เรือนของข้า มิทราบท่านคิดเห็นเช่นไร”
เซวียนซงทราบว่าเขาเพียงต้องการทำอย่างอ้อมๆ เท่านั้น ต่อให้ตนเองมิยินยอมก็ยากจะห้ามปรามเจตนาดีของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น ตนก็มิใช่คนยึดติด ด้วยเหตุนี้จึงคลี่ยิ้มตอบ “หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่เซวียนก็ขอบพระคุณยิ่ง”
ในใจต้วนอู๋ตี๋ยินดีเล็กน้อย ให้ทหารคนสนิทประคองเซวียนซงออกจากคุกใต้ดินไปส่งยังที่พักของตนเอง หาห้องที่การคุ้มกันแน่นหนาห้องหนึ่งให้เซวียนซงพักรักษาอาการบาดเจ็บ มิว่าจะทำให้กำแพงใจของคนผู้นี้อ่อนลงได้หรือไม่ เพียงความรู้สึกนับถือในหัวใจก็เพียงพอให้ต้วนอู๋ตี๋ทำเช่นนี้แล้ว