น่าเสียดายข่าวร้ายมาถึงเร็วเหลือเกิน เมื่อทหารสอดแนมรายงานว่าทางใต้ของจี้ซื่อมีกองทัพใหญ่ของต้ายงปรากฏตัวขึ้น แม่ทัพหลงตกอยู่ในวงล้อมแล้ว ต้วนอู๋ตี๋ก็ตกตะลึงจนนิ่งอึ้ง อ่านข่าวสารที่ได้มาอย่างนั่งไม่ติดจบรอบหนึ่ง ต้วนอู๋ตี๋ก็คิดอย่างจนปัญญา
กำลังทหารที่ต่อสู้ได้เพียงกองเดียวของเป่ยฮั่นถูกล้อมเสียแล้ว ในมือตนมีทหารเดินเท้าอยู่เพียงไม่กี่หมื่น รักษาเมืองยังพอได้ แต่คิดจะไปช่วยย่อมมิมีกำลังพอ
เขาพลันรู้สึกว่าเรี่ยวแรงทั้งหมดในร่างถูกข่าวร้ายนี้เป่าหายไปสิ้น นิ่งงันขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ออกคำสั่งให้ปิดข่าว ให้คนนำสถานการณ์ศึกที่นี่ไปแจ้งกับเจ้าแคว้นอย่างเป็นการลับทันที จากนั้นเพิ่มการป้องกันชิ่นหยวน หลังจากทำทุกเรื่องที่ทำได้จนหมดแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปในห้องพักที่เซวียนซงถูกคุมตัวอยู่
เซวียนซงในเวลานี้เปลี่ยนมาสวมอาภรณ์สะอาดแล้ว เขาเอนร่างพักรักษาตัวอยู่บนตั่งนุ่มตัวหนึ่ง ยามต้วนอู๋ตี๋เดินเข้ามา เขากำลังอ่านตำราโบราณเล่มหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของต้วนอู๋ตี๋จึงเงยหน้าขึ้น เห็นต้วนอู๋ตี๋สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตามีจิตสังหารเย็นยะเยือก ในใจก็รู้ทันที เดาว่าข่าวกองทัพเป่ยฮั่นถูกล้อมคงส่งกลับมาถึงแล้ว เซวียนซงวางตำราลงแล้วเอ่ยอย่างนิ่งสงบ “แม่ทัพต้วนสีหน้ามิค่อยดี แนวหน้ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นหรือ”
ต้วนอู๋ตี๋มองเซวียนซงอย่างค้นหา แล้วกล่าวว่า “แม่ทัพเซวียนเป็นยอดแม่ทัพในกองทัพ ได้รับความไว้ใจจากฉู่เซียงโหว มิทราบเรื่องในวันนี้หรือ”
เซวียนซงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน “ฉู่เซียงโหวสติปัญญาล้ำลึก ในหัวซ่อนเล่ห์เหลี่ยมมากมาย ข้าไฉนจะล่วงรู้แผนการของเขา แต่หากกล่าวถึงการวางกลยุทธ์การศึก ในแคว้นเป่ยฮั่นมิมีผู้ใดเป็นคู่ต่อกรของเขา แม้แม่ทัพใหญ่หลงบัญชาการทหารได้ดั่งเทพ แต่น่าเสียดายมีกำลังทหารจำกัด แม้สิบศึกชนะเก้า ทว่าความพ่ายแพ้หนสุดท้ายนี้ได้ล่มแคว้นแล้ว”
ต้วนอู๋ตี๋เจ็บปวดใจ ความเฟ้อฝันอันมิสอดพ้องกับความจริงที่เคยเหลืออยู่เสี้ยวหนึ่งแตกสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เขากุมกระบี่ประจำตัวข้างเอว อยากจะแทงหนึ่งกระบี่สังหารคนตรงหน้าเสียให้ตาย ทว่าผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดจิตสังหารของเขาก็มลายหาย เอ่ยเสียงเย็นชาว่า “แม่ทัพใหญ่นำทัพทหารม้าไปหนึ่งแสน แล้วยังมีองค์หญิงจยาผิงช่วยเหลืออยู่ แม้จะถูกล้อมแต่ก็มิใช่ว่าจะถูกจัดการได้ง่ายๆ สงครามมิใช่ว่าจะไม่เหลือโอกาสให้พลิกสถานการณ์แล้ว แม่ทัพเซวียนอย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปจะดีกว่า”
ดวงตาของเซวียนซงทอประกายเย็นเยียบ เอ่ยขึ้นว่า “แม่ทัพใหญ่นำทัพทหารม้าเกราะเบาเดินทัพไกลบุกตีข้าศึก ข้างกายมีเสบียงอย่างมากก็มิเกินสองวัน ก็มิทราบว่าจะยืนหยัดได้สักกี่วัน”
ดวงตาของต้วนอู๋ตี๋ฉายแววยินดีจางๆ จากที่เขาได้ข่าวมา ก่อนที่จะถูกกองทัพต้ายงปิดล้อม กองเรือที่รับผิดชอบขนส่งเสบียงได้เข้าไปในเขตวงล้อมแล้ว นอกจากนั้นก็ยังพบกับกองทัพใหญ่ของหลงถิงเฟยแล้วด้วย แม้กองเรือจะฝ่าวงล้อมแน่นหนามิได้ แต่ข้างกายหลงถิงเฟยก็ยังมีเสบียงอย่างน้อยสำหรับครึ่งเดือน หากประหยัดสักหน่อยก็อาจยืดเวลาได้อีกเล็กน้อย แม้กองทัพเป่ยฮั่นจะถูกล้อม แต่ก็มิแน่ว่าจะไร้ความหวังฝ่าวงล้อมออกมา
เพียงแต่เรื่องเหล่านี้เขาย่อมมิต้องการบอกกล่าวเซวียนซง แต่เพื่อหลอกถามข้อมูลต่ออีกสักหน่อย ต้วนอู๋จี๋จึงประชดขึ้นว่า “เสบียงข้างตัวแม่ทัพใหญ่จะมีพร้อมหรือไม่ มิต้องลำบากแม่ทัพเซวียนใส่ใจ จักรพรรดิต้ายงส่งกองทัพหลวงออกมาง่ายๆ แม้จวบจนวันนี้มิเผยเบาะแส แต่ยามนี้ทุกคนรู้กันสิ้น น่ากลัวว่าจักรพรรดิต้ายงจะนึกเสียใจก็สายเสียแล้ว”
เซวียนซงทราบว่าเขาพูดเป็นนัยถึงหนานฉู่ที่จับจ้องมาดร้ายอยู่ กับเรื่องทางตงชวนที่ยังมิสงบ เพียงแต่เรื่องเหล่านี้จะจัดการเช่นไรเขาไม่ทราบ ด้วยเหตุนี้จึงเพียงคลี่ยิ้ม “กองทัพไต้โจวบุกลงใต้ มิทราบว่าสถานการณ์ทางเยี่ยนเหมินจะเป็นเช่นไร”
ต้วนอู๋ตี๋ชะงัก สถานการณ์ฝั่งไต้โจวตึงเครียด เรื่องนี้เขาก็มิใช่จะมิทราบ เพียงแต่เรื่องนี้เขาเองก็ไร้กำลัง เมื่อคิดมาถึงตรงจุดนี้ ต้วนอู๋ตี๋ก็ยิ้มขมขื่น สำเหนียกได้ว่าตนเองเป็นเพียงแม่ทัพธรรมดาคนหนึ่ง ยากจะควบคุมเรื่องใหญ่หลวง ยามนี้สถานการณ์เลวร้ายถึงจุดนี้ ตนเองยิ่งไร้กำลังพลิกแผ่นฟ้า สิ่งเดียวที่ทำได้มีเพียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าแคว้น รวมถึงปกปักษ์ชิ่นหยวนอย่างสุดกำลังเท่านั้น
เซวียนซงมองแผ่นหลังสร้อยเศร้าของต้วนอู๋ตี๋ยามเดินจากไปแล้วยิ้มจางๆ เขาเข้าใจความรู้สึกของคนผู้นี้ แคว้นเป่ยฮั่นกำลังจะล้มครืน กำลังของคนเพียงไม่กี่คนไหนเลยจะกอบกู้สถานการณ์ได้ มิทราบว่าตนเองจะยังมีหวังรอดกลับไปหรือไม่ มิแน่ว่าราชสำนักเป่ยฮั่นอาจออกคำสั่งประหารตนต่อหน้ากองทัพเพื่อยืนยันเจตจำนงว่าจะไม่ประนีประนอมก็เป็นได้
ณ นครหลวงของต้ายง ภายในตำหนักเจาไถ หวงชงย่วน หวงหลีกำลังปักอาภรณ์มังกรสีเหลืองทองทีละฝีเข็มอย่างเบิกบานใจ หลายวันที่ผ่านมาฝ่าบาทค่อนข้างโปรดปรานนาง เสด็จมาร่วมบรรทมหลายหน แต่เดิมนางก็เป็นสตรีผู้มิมีเป้าหมายและไร้เล่ห์เหลี่ยม ความขุ่นเคืองก่อนหน้านี้โยนทิ้งเสียสิ้นแล้ว แต่ละวันเพียงทุ่มเทความคิดกับการประจบหลี่จื้อ หวังว่าจะได้รับความรักเพิ่มขึ้นอีกสักเล็กน้อย
ระหว่างที่นางกำลังเพ่งสมาธิปักผ้าอยู่ ฉานเอ๋อร์หญิงรับใช้คนสนิทของนางก็ยกชากับขนมเข้ามา เห็นสีหน้าตั้งอกตั้งใจของหวงชงย่วน ดวงตาของนางก็ฉายแววดูแคลนวูบหนึ่ง หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นแย้มรอยยิ้ม ก้าวเข้ามาคำนับ เอ่ยว่า “ฝีมือการปักผ้าของพระสนมล้ำเลิศขึ้นอีกแล้ว มังกรกับเมฆาตรงนี้เหมือนจริงราวกับจะโบยบินออกมาจากผืนผ้า ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นจักต้องทรงโปรดอย่างยิ่งเป็นแน่เพคะ”
หวงชงย่วนยิ้มหยัน “ฝีมือปักผ้าเท่านี้ของข้าเทียบพี่สาวมิได้สักกระผีก ท่านพี่มีฝีมือเย็บปักถักร้อยเป็นอันดับหนึ่งในอดีตแคว้นสู่ อาภรณ์มังกรที่นางปักจึงจะเรียกว่าดูราวกับมีชีวิต”
ขณะที่กล่าวถึงตรงนี้ ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะร่าเริงของคนผู้หนึ่งดังลอยมา “เช่นนั้นหรือ สนมรักถ่อมตัวเกินไปแล้วหรือไม่ ฝีมือปักผ้าของเจ้า ข้าก็เห็นว่ายอดเยี่ยมยิ่งนักแล้ว”
หวงหลีเงยหน้าขึ้นอย่างดีใจ เห็นหลี่จื้อกำลังเดินเข้ามา ด้านหลังมีซ่งหว่านตามมาติดๆ นางรีบร้อนก้าวเข้าไปคำนับ ก่อนจะถูกหลี่จื้อประคองขึ้นมา หลี่จื้อหยิบอาภรณ์มังกรที่ปักได้ครึ่งหนึ่งแล้วขึ้นมา ดูฝีปักประณีตบนนั้นพลางเอ่ยว่า “ว่าอย่างไร ฝีมือปักผ้าของพี่สาวเจ้ายอดเยี่ยมกว่าเจ้าอีกเช่นนั้นหรือ”
ดวงตาของหวงหลีทอประกายระยิบระยับตอบว่า “แน่นอนเพคะ สี่ยอดฝีมือแห่งการปักในใต้หล้า อันดับหนึ่งแห่งซูซิ่ว[1]คือกู้ซิ่วเหนียงแห่งหนานฉู่ อันดับหนึ่งแห่งเซียงซิ่ว[2]คือเซวียหลิงอีแห่งต้ายง อันดับหนึ่งแห่งหมิ่นซิ่ว[3]คือเย่ว์ชิงเยียน อันดับหนึ่งแห่งสู่ซิ่ว[4]ก็คือพี่สาวของหม่อนฉันนามซ่งอิ่ง
สมัยยังเล็ก หม่อมฉันเคยร่ำเรียนการปักผ้าจากพี่สาว แต่พรสวรรค์สู้มิได้ หากท่านพี่อยู่ในนครหลวงต้ายง หม่อมฉันต้องขอร้องนางให้ปักอาภรณ์มังกรให้ฝ่าบาทสักตัวแน่นอน”
หลี่จื้อตรัสเหมือนนึกสิ่งใดขึ้นได้ “หมิ่นซิ่ว เย่ว์ชิงเยียน ภรรยาที่เพิ่งเข้ามาของตงไห่โหวน่ะหรือ”
ดวงตาของหวงหลีฉายแววงุนงง ตอบว่า “หม่อมฉันมิทราบ เพียงได้ยินผู้คนเล่ากันว่าเย่ว์ชิงเยียนแห่งหนานหมิ่น ชมชอบปักภาพอักษรเป็นที่สุด ฝีพู่กันและลวดลายภาพประดับเสมือนหนึ่งต้นแบบ เพียงแต่คุณหนูเย่ว์เป็นคุณหนูสูงศักดิ์ มีผลงานน้อยยิ่งนัก หากได้มาสักชิ้น ผู้คนมักจะเก็บซ่อนรักษาไว้มินำมาแสดง ดังนั้นหม่อมฉันจึงมิเคยเห็น”
หลี่จื้อสรวลตรัสว่า “หากเป็นคนที่ข้าคิดอยู่ก็ง่ายแล้ว วันหน้าจักให้นางส่งภาพปักสักภาพมาให้เจ้า แต่พี่สาวของเจ้าก็เป็นช่างปักเลื่องชื่อเช่นกัน มิทราบยามนี้อยู่ที่ใด”
หวงหลีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด นางลอบมองหลี่จื้อหนหนึ่งแล้วก้มหน้ากล่าวว่า “พี่สาวของหม่อมฉันเดิมทีเป็นนางข้าหลวงกองภูษาประจำองค์เจ้าแคว้นสู่ หลังแคว้นสู่สิ้นก็ถูกส่งกลับบ้าน สองปีก่อนถูกชิ่งอ๋องรับเข้าจวน”
หัวคิ้วของหลี่จื้อขมวดเล็กน้อยอย่างมิตั้งใจ ตรัสขึ้นว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ซ่งหว่าน พระชายากับชายารองของชิ่งอ๋องมีสตรีนางนี้อยู่หรือไม่”
ซ่งหว่านมองหวงหลีแวบหนึ่ง แล้วทูลตอบว่า “ทูลฝ่าบาท มิมีสตรีนางนี้ คิดว่าสตรีนางนี้คงมีฐานะเป็นเพียงอนุภรรยาของชิ่งอ๋องเท่านั้น ดังนั้นจึงมิได้รายงานกรมทะเบียนบรมวงศานุวงศ์”
หลี่จื้อพยักหน้า คลี่ยิ้มกล่าวว่า “มิเป็นไร วันหน้าข้าจะออกราชโองการให้ตำแหน่งพระชายารองแก่ซ่งซื่อเอง”
หวงหลียินดียิ่งนัก คารวะเอ่ยว่า “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาทแทนพี่สาว”
หลี่จื้อประคองนางขึ้นมา เห็นดวงหน้างามพิลาสของนางก็ชอบพระทัยเหลือคณา ในใจเกิดความรู้สึกอ่อนโยนสายหนึ่งจึงโอบนางเข้ามาในอ้อมแขนแผ่วเบา ร่างกายของหวงหลีอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ดวงหน้าเขินอายแดงระเรื่อ ซ่งหว่านกับฉานเอ๋อร์ถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์
ขณะที่ทั้งสองกำลังพลอดรักกันอยู่ จู่ๆ ซ่งหว่านก็พรวดพราดเข้ามาพร้อมกับสีหน้าเคร่งเครียด แล้วโขกศีรษะกราบทูลว่า “ฝ่าบาท เจ๋อโจวส่งสารด่วนมากราบทูลสถานการณ์ศึกพ่ะย่ะค่ะ”
ความหงุดหงิดบนใบหน้าของหลี่จื้อถูกสีหน้าตกตะลึงเข้าแทนที่โดยพลัน เขาปล่อยมือจากหวงหลี มิทันสนใจว่ายังมีสนมร่วมบรรทมอยู่ก็ก้าวเข้าไปรับสารแจ้งข่าวการศึก เมื่ออ่านจบ ร่างกายพลันโงนเงนเกือบล้ม สีหน้าซีดเผือดดุจหิมะ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสะบัดแขนเสื้อเดินออกไป ซ่งหว่านรีบร้อนติดตาม หวงหลีตกตะลึงยิ่งนัก รีบคุกเข่าส่งหลี่จื้อเดินออกไป
รอจนกระทั่งหลี่จื้อจากไปแล้ว ฉานเอ๋อร์จึงเดินเข้ามาอย่างตระหนกลนลาน ถามขึ้นว่า “พระสนม เหตุใดฝ่าบาทจึงโมโหโทโสจากไป พระสนมปรนนิบัติมิถูกพระทัยหรือ”
หวงหลีส่ายศีรษะตอบว่า “มิใช่ ฝ่าบาทได้รับข่าวจากทางเจ๋อโจวกะทันหันจึงจากไปเช่นนี้ ดูจากสีหน้าของฝ่าบาท คิดว่าแนวหน้าคงมีเรื่องอันใดทำให้ทรงพิโรธ”
ฉานเอ๋อร์สีหน้าเปลี่ยนไปวูบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พระสนม ฝ่าบาทโมโหเช่นนี้ พระสนมมิสู้ลองไปสืบดูสักหน่อย จะได้มิพลาดเอ่ยวาจาแตะถูกเรื่องในใจของฝ่าบาทเข้า”
หวงหลีตอบอย่างกลัดกลุ้ม “แต่ข้าจะไปสืบได้เช่นไรเล่า หากข้าสนใจเรื่องเช่นนี้มากเกินไป เกรงว่าคงถูกฮองเฮาตำหนิ”
ฉานเอ๋อร์หัวเราะ “เรื่องนี้มีสิ่งใดยาก พระสนมรู้สึกขอบคุณที่ฮองเฮาทรงปกป้องมิใช่หรือ มิสู้ตอนนี้เสด็จไปเข้าเฝ้าฮองเฮา แจ้งว่าฝ่าบาทจู่ๆ ก็โกรธเกรี้ยว ท่านกังวลว่าฝ่าบาทจะพิโรธจนส่งผลเสียต่อพระวรกาย ขอให้ฮองเฮาไปสอบถามดูสักหน่อย แล้วรอหลังจากนั้นค่อยถามฮองเฮาว่ามีเรื่องใดก็ได้แล้วมิใช่หรือ ฮองเฮาทรงเป็นผู้อ่อนโยนและมีเมตตา ย่อมต้องมิปิดบังพระสนมแน่”
หวงหลีครุ่นคิดในใจก็เห็นด้วย จึงลุกขึ้นกล่าวว่า “เจ้ามาช่วยข้าสางผมผัดหน้า ข้าจะไปคารวะฮองเฮาเดี๋ยวนี้”
ฉานเอ๋อร์ดีใจยิ่งนัก รีบก้าวเข้าไปช่วยหวงหลีแต่งเนื้อแต่งตัว หวงหลีหาได้มองเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายเล็กๆ ตรงมุมปากของฉานเอ๋อร์ไม่
[1]ซูซิ่ว ศิลปะการปักผ้าของเมืองหนานทง มณฑลเจียงซู หนึ่งในสี่ยอดศิลปะการปักผ้าของจีน มีจุดเด่นในด้าน “ความเสมือนจริง” ใช้การปักด้ายลวง หรือก็คือการใช้ด้ายต่างสีหลอกตาให้รู้สึกถึงระยะหรือผิวสัมผัสที่ต่างกัน ใช้สีสันอันหลากหลายของเส้นไหมสร้างผลงานอันอ่อนช้อยเป็นธรรมชาติ เต็มไปด้วยสีสัน แสดงความเสมือนจริงออกมาได้ถึงที่สุด
[2]เซียงซิ่ว ศิลปะการปักผ้าของเมืองฉางซา มณฑลหูหนาน หนึ่งในสี่ยอดศิลปะการปักผ้าของจีน จุดเด่นคือ “งานปักเสมือนหนึ่งภาพวาด” ใช้ผลงานภาพวาดเป็นต้นแบบ ใช้เข็มต่างพู่กัน ใช้ด้ายแต่งแต้มสีสัน ลายปักเหมือนมีชีวิต ให้ความรู้สึกเหมือนจริง จุดประสงค์คือปักให้เหมือนภาพวาดต้นแบบมากที่สุด
[3]หมิ่นซิ่ว ศิลปะการปักผ้าของแถบฝูเจี้ยน มีจุดเด่นในด้านการใช้สีสด การปักที่ดูเกินจริง ขับเน้นความงดงามหรูหรา มองดูแล้วรู้สึกคึกคักมีพลัง มีกลิ่นอายมงคล ผลงานการปักมีทั้งเป็นลวดลายภาพสัญลักษณ์ต่างๆ และสัตว์มงคล
[4]สู่ซิ่ว ศิลปะการปักผ้าของแถบเสฉวน หนึ่งในสี่ยอดศิลปะการปักผ้าของจีน ยอดเยี่ยมในด้านทักษะการปักที่พัฒนาจนถึงจุดอิ่มตัวกับฝีเข็มอันละเอียดประณีต มีจุดเด่นต่างๆ เช่น ฝีเข็มถี่ละเอียดและเป็นระเบียบ ด้ายปักมันวาว สีสันสดใสเป็นต้น