บทที่ 870 ความปิติของชิงหลวนเอ๋อร์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 870 ความปิติของชิงหลวนเอ๋อร์

นำวิญญาณของชิงหลวนเอ๋อร์ออกมาในตอนนี้ ย่อมเป็นเพราะหานเจวี๋ยมีแผน

เขาต้องการให้ชิงหลวนเอ๋อร์กลายเป็นผู้ปกครองจักรวาลแห่งนี้

น้ำดีย่อมไม่ปล่อยเข้านาคนนอก

อีกอย่าง หากชิงหลวนเอ๋อร์ฟื้นคืนชีพ จะต้องหาทางพัฒนาตัวเพื่อให้ได้อยู่เคียงข้างเขาไปชั่วนิรันดร์แน่ มิเช่นนั้นฟื้นคืนชีพขึ้นมาก็ไม่มีความหมาย

หานเจวี๋ยไม่ขาดแคลนสตรี

ในเมื่อจะฟื้นคืนชีพให้ เช่นนั้นก็ต้องทำให้ชิงหลวนเอ๋อร์อยู่ข้างกายเขาไปตลอด

หานเจวี๋ยเริ่มสำแดงพลังแห่งการสรรค์สร้าง

ทำความเข้าใจมาหลายปี ในที่สุดเขาก็ได้ครอบครองเสี้ยวพลังแห่งการสรรค์สร้างเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่มหัศจรรย์พันลึก แต่การจะฟื้นคืนชีพให้สิ่งมีชีวิตสักรายหนึ่งนั้นไม่ยากเลย

วิญญาณของชิงหลวนเอ๋อร์ถูกรักษาไว้อย่างดี เพียงฟื้นฟูกายเนื้อให้ก็ใช้ได้แล้วดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

กายเนื้อของชิงหลวนเอ๋อร์ถูกสร้างขึ้นจนเสร็จภายในวันนั้น อยู่ในระดับจักรพรรดิเซียน

หากระดับต่ำกว่านี้อีก จะรองรับวิญญาณของนางไม่ได้

ชิงหลวนเอ๋อร์นอนอยู่บนเตียง สวมชุดสีขาว นี่คืออาภรณ์ที่หานเจวี๋ยสร้างขึ้นลวกๆ เพื่อให้นางให้ปกปิดเรือนร่าง

นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น แววตาสับสน

ความทรงจำในส่วนลึกถาโถมออกมาปานน้ำหลาก ทำให้นางเบิกตากว้าง

“นี่ข้า…เกิดใหม่แล้วหรือ”

ชิงหลวนเอ๋อร์พึมพำกับตัวเอง นางยกมือขึ้นตามสัญชาตญาณ พบว่ามือของตนมิใช่มือทารก

เกิดอะไรขึ้น

นางต้องการลุกขึ้นนั่ง ผลคือไม่ทันระวัง พุ่งทะลุหลังคาอารามเต๋า ลอยขึ้นสู่นภา

นางหยุดอยู่กลางอากาศ ร่างกายสั่นสะท้าน

“เป็นไปได้อย่างไร…พลังวิญญาณนี้…”

ดวงตางามของชิงหลวนเอ๋อร์เบิกกว้าง สำรวจร่างกายของตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ

นางรับรู้ได้ถึงพลังอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้นมาภายในร่าง นางอดไม่ได้ที่จะนึกถึงพลังวิญญาณขึ้นมา

เมื่อก่อนนางเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่ก็พอจะเข้าใจในวิถีเทพเซียนเช่นกัน

นางทอดสายตามองลงไปด้านล่าง พบว่าบนภูเขากว้างใหญ่มีอารามเต๋าเพียงหลังเดียว หลังคาที่นางพุ่งทะลุออกมา ตอนนี้อยู่ระหว่างฟื้นฟูกลับมา ราวกับภาพมายา

“มิใช่การกลับชาติมาเกิด หรือข้าจะยังไม่ตาย”

ชิงหลวนเอ๋อร์ขมวดคิ้ว พยายามควบคุมร่างกาย ค่อยๆ ร่อนลง

นางเดินเข้าไปในอารามเต๋าอย่างระมัดระวัง ร้องถาม “มีผู้ใดอยู่หรือไม่”

หลิวเป้ยยังคงอยู่กับเจียงเจวี๋ยซื่อ ดังนั้นในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามจึงไร้ผู้คน เงียบสงบอย่างยิ่ง

ครืด…

ประตูใหญ่ของอารามเต๋าพลันเปิดออก ชิงหลวนเอ๋อร์มองไม่เห็นสภาพด้านใน รู้สึกประหม่ายิ่งกว่าเดิม ไม่กล้าผลีผลามเข้าไป

ภายในอารามเต๋า หานเจวี๋ยลุกขึ้นยืน จัดแจงอาภรณ์เล็กน้อย

เมื่อครู่หากมิใช่เพราะเขาตอบสนองว่องไว ชิงหลวนเอ๋อร์คงพุ่งชนหัวโขกจนสลบไปแล้ว ความแข็งแรงทนทานของอารามเต๋ามิใช่สิ่งที่จักรพรรดิเซียนจะสามารถทำลายได้

หานเจวี๋ยรออยู่พักหนึ่ง ชิงหลวนเอ๋อร์ก็ยังไม่เข้ามา เขาจึงจำเป็นต้องยกมือขึ้นแล้วดูดดึงตัวชิงหลวนเอ๋อร์เข้ามา

ชิงหลวนเอ๋อร์ควบคุมร่างกายไม่ได้ ถูกดูดเข้าสู่อารามเต๋า

ในใจนางรู้สึกหวาดกลัวและสิ้นหวัง

นางหลับตาลงตามสัญชาตญาณ รอจนร่อนแตะพื้นอีกครั้ง นางถึงลืมตาขึ้น จากนั้นก็ตะลึงงันไป

“ท่าน…ท่านพี่”

ชิงหลวนเอ๋อร์ร้องเรียกด้วยความดีใจ จากนั้นยกมือขยี้ตาอีก

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้ม “อะไรกัน เจ้ายังกลัวข้าอีกหรือ หากมิใช่ข้า ผู้ใดจะช่วยคืนชีพให้ภรรยาอย่างเจ้ากัน”

เมื่อชิงหลวนเอ๋อร์ได้ยิน ก็คลายความสงสัยลง โผเข้าหาอ้อมอกของหานเจวี๋ยทันทีโนเวลพีดีเอฟ

“ท่านพี่ ข้าไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่ ท่านคืนชีพให้ข้าจริงๆ หรือ ยังมีอีก เหตุใดข้าถึงอ่อนเยาว์เช่นนี้”

ชิงหลวนเอ๋อร์ถามไม่หยุด นางมีข้อสงสัยมากมายยิ่งนัก

หานเจวี๋ยดึงนางให้นั่งลง เริ่มอธิบาย “หลังเจ้าสิ้นใจ ในใจข้าทุกข์ระทม เดิมทีคิดจะรอจนแก่ตายไปกับเจ้า ไม่คิดเลยว่าจะได้พบเทพเซียนผู้หนึ่งเข้า ได้รับโอกาสวาสนาจากเทพเซียน ฝึกบำเพ็ญมาหลายล้านปี ข้าได้บุกเบิกฟ้าดินขึ้น ได้รับโชคอันยิ่งใหญ่ ถึงคืนชีพให้เจ้าได้”

“ช้าก่อน! หลายล้านปีหรือ”

ชิงหลวนเอ๋อร์ตกตะลึง สีหน้าราวกับไม่อยากเชื่อ

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ถูกต้อง ผ่านไปเกือบห้าล้านปีแล้ว พวกเราไม่ได้อยู่ในแดนเซียนแล้ว”

ชิงหลวนเอ๋อร์รีบถามทันที “เช่นนั้นทั่วเอ๋อร์เล่า”

หานเจวี๋ยเงียบไป

ชิงหลวนเอ๋อร์หน้าซีดลงทันที เอ่ยถามเสียงสั่นๆ “เขาไม่อยู่แล้วหรือ…ก็ถูกแล้ว…เวลาผ่านมานานถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ต้องตายเช่นกัน…”

หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง ตอบสั้นๆ “เขายังอยู่”

“หา?”

น้ำตาของชิงหลวนเอ๋อร์หยุดลงทันที

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจนใจ “เขายังอยู่ดี แต่เขาเติบใหญ่นานแล้ว ย่อมไม่มาตามติดข้าอีก เขามีแม้แต่ลูกหลานของตนแล้วด้วยซ้ำ”

ชิงหลวนเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะทุบหานเจวี๋ยเบาๆ ทีหนึ่ง กล่าวอย่างแง่งอน “ท่านพี่ ท่านแกล้งข้า”

เมื่อทราบว่าบุตรชายยังมีชีวิตอยู่ ชิงหลวนเอ๋อร์ปิติยินดีอยู่ในใจ

นางเชื่อคำพูดของหานเจวี๋ย ถึงอย่างไรลูกก็โตแล้ว มีชีวิตเป็นของตัวเอง นางก็ไม่ได้หวังจะให้อยู่ข้างกายพ่อแม่ไปตลอดมาตั้งแต่แรกแล้ว

“รีบเล่าประสบการณ์ในช่วงหลายปีมานี้ของท่านให้ข้าฟังเถิด” ชิงหลวนเอ๋อร์ดึงแขนหานเจวี๋ยพลางเอ่ยเร่งเร้า

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เอาไว้ว่ากันทีหลังเถอะ เจ้าต้องปรับตัวให้เข้ากับพลังเวทของเจ้าก่อน”

จากนั้น เขาเริ่มสอนชิงหลวนเอ๋อร์ด้วยตัวเอง

กายเนื้อของชิงหลวนเอ๋อร์สมบูรณ์พรั่งพร้อม ทว่าเมื่อเทียบกันกับหานเจวี๋ยแล้ว ประสบการณ์ชีวิตร้อยปีของนางไม่ควรค่าให้เอ่ยถึงเลย ไม่นานนัก นางก็ฟื้นฟูความรู้สึกเยี่ยงสาวน้อยกลับมาอีกครั้ง ออดอ้อนกระเง้ากระงอดใส่หานเจวี๋ย

ชั่วพริบตาเดียว

เวลาผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ชิงหลวนเอ๋อร์ปรับตัวเข้ากับพลังระดับจักรพรรดิเซียนได้แล้ว หนึ่งปีมานี้นางใช้ชีวิตอย่างหวานชื่น มีเพียงนางและหานเจวี๋ย ไม่มีเรื่องทุกข์ร้อนกังวลใดๆ

เรื่องสำคัญที่สุดคือนางทราบแล้วว่านางและสามีจะได้อยู่เคียงคู่กันไปอีกชั่วกาลนาน

นางถึงขั้นที่รู้สึกว่ากำลังฝันไปด้วยซ้ำ

ในวันนี้ ทั้งสองสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว นั่งอยู่ข้างเตียง

หานเจวี๋ยเอ่ยขึ้นว่า “เอาล่ะ ข้าสมควรจะฝึกบำเพ็ญได้แล้ว ปัจจุบันนี้ข้าปิดด่านครั้งละหนึ่งแสนปี หากไม่มีเรื่องสำคัญ เจ้าห้ามรบกวนข้า เจ้าออกไปเดินเล่นด้านนอกได้ แต่อยู่เพียงในรัศมีล้านลี้เท่านั้น ที่นี่คืออาณาเขตเต๋าของข้า ตัดขาดจากโลกภายนอก ถึงเจ้าอยากออกไปก็ออกไม่ได้”

“หืม ล้านลี้หรือ”

ชิงหลวนเอ๋อร์โง่งมไปแล้ว

หานเจวี๋ยไม่สนใจนางอีก หลับตาลง

เหตุผลที่ปิดบังความจริงต่อชิงหลวนเอ๋อร์ เป็นเพราะหานเจวี๋ยคร้านจะอธิบายให้มากความ อีกทั้งเขาต้องการสร้างสถานการณ์บีบคั้นอย่างหนึ่ง ให้ชิงหลวนเอ๋อร์จำต้องสงบใจฝึกบำเพ็ญ

ส่วนทางฝั่งของพวกสิงหงเสวียนและเซวียนฉิงจวิน หานเจวี๋ยไม่กังวลว่าชิงหลวนเอ๋อร์จะรับไม่ได้เลย นึกถึงตอนที่ทั้งสองครองคู่กันอยู่ในโลกมนุษย์ ชิงหลวนเอ๋อร์ยังเป็นฝ่ายเสนอให้เขารับอนุเสียด้วยซ้ำ แต่ถูกเขาปฏิเสธ

ชีวิตเช่นนี้ค่อยๆ ผ่านพ้นไปปีแล้วปีเล่า

ชิงหลวนเอ๋อร์ปิดด่านบำเพ็ญอยู่หลายปีก็ทนไม่ไหวอยู่บ้าง นางออกไปเดินเล่นนอกอารามเต๋าอยู่หลายวัน จากนั้นจึงกลับมาอีกครั้ง ฝึกบำเพ็ญต่อ

ชีวิตวนเวียนเป็นวงจร ผ่านไปหนึ่งพันปี ในที่สุดนางก็เริ่มคุ้นชินกับการฝึกบำเพ็ญอันน่าเบื่อหน่ายแล้ว

….

ภายในห้วงอวกาศเวิ้งว้าง

ห้าเทวทัณฑ์เหยียบย่างไปด้านหน้าพร้อมแสงเทพ หานทั่วเดินนำอยู่ด้านหน้าสุด เขาขมวดคิ้วแน่น

อี๋เทียนเดินเข้ามาเคียงข้างเขา กระซิบถาม “ระยะนี้เหมือนจิตใจเจ้าจะไม่สงบกระมัง”

หานเจวี๋ยกล่าวตอบ “ถูกต้อง ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด ข้ารู้สึกอยู่เสมอว่ามีกลิ่นอายที่คุ้นเคยบางอย่างปรากฏขึ้น แต่จะเป็นผู้ใดนั้น ข้าก็ไม่อาจมั่นใจได้”

เขาขมวดคิ้วอยู่ตลอด ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย

“หรือน้องชายคนนั้นของเจ้าจะทะลวงขั้นได้แล้ว” อี๋เทียนเอ่ยหยอกเย้า

เมื่อก่อนหานทั่วก็จิตใจกระวนกระวายขึ้นมาเพราะน้องชายที่แสนลึกลับคนนั้น จนจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายจำเป็นต้องพาไปขอคำชี้แนะจากตัวตนเหนือชั้นที่ไม่อาจกล่าวนามได้

“มิใช่ ตอนนั้นรู้สึกกดดันยิ่ง แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกได้เพียงความสนิทสนมชิดเชื้อ ไม่มีความอึดอัดอันใด” หานทั่วส่ายหน้า

จากนั้นเขาก็เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ไม่ทราบเช่นกันว่าตอนนี้น้องชายคนนั้นของข้าจะอยู่ระดับใดแล้ว”

อี๋เทียนยิ้มพลางเอ่ยว่า “คาดว่าคงเหนือกว่าเจ้าไปแล้ว เขาอาศัยเพียงสายเลือดก็ข่มเจ้าได้แล้ว”

หานทั่วไม่เดือดเนื้อร้อนใจ กล่าวไปว่า “หากเป็นเช่นนี้ ก็ถือเป็นเรื่องดี”

ดวงจิตมหามรรคอีกสามคนอดเข้ามาร่วมวงไม่ได้ สอบถามด้วยความอยากรู้ว่าน้องชายหานทั่วเป็นใคร

………………………………………………………………