บทที่ 871 เส้นทางที่ต่างไปจากมรรคาสวรรค์

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 871 เส้นทางที่ต่างไปจากมรรคาสวรรค์

“ข้าก็ยังไม่เคยพบน้องชายของข้าเช่นกัน อย่าถามถึงเลย”

หานทั่วส่ายหน้าพลางเอ่ยยิ้มๆ ดวงตาฉายแววคาดหวัง

ผ่านมานานหลายปีเช่นนี้ คาดว่าน้องชายคงเติบใหญ่แล้ว ไม่รู้ว่าคุณสมบัติและตบะจะอยู่ในระดับใด

อี๋เทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่แน่ว่าพอถึงเวลาเขาจะมาท้าสู้กับเจ้า เพื่อแย่งชิงมรดก”

หานทั่วส่ายหน้า หลุดหัวเราะออกมา “ข้าไม่แย่งหรอก อีกทั้งข้าก็ไม่มีคุณสมบัติจะแย่งชิง”

“มรดกอันใดหรือ”

ดวงจิตมหามรรครายหนึ่งถามด้วยความสงสัย พวกเขาสนใจใคร่รู้ในฐานะตัวตนของหานทั่วมาโดยตลอด

หานทั่วแย้มยิ้ม ไม่พูดมากอีก

อี๋เทียนเองก็เช่นกัน แสร้งทำเป็นลึกลับ

ดวงจิตมหามรรคทั้งสามมองหน้ากัน หัวข้อสนทนาหยุดลงเท่านี้

….

เวลาผ่านไปไวเหมือนติดปีก

หนึ่งแสนปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับชิงหลวนเอ๋อร์แล้ว ช่างแสนสาหัสนัก

หานเจวี๋ยปิดด่านบำเพ็ญมาตลอด นางไม่กล้ารบกวน นางอยู่อย่างเดียวดายมาหนึ่งแสนปี เมื่อมีเวลาว่าง นางจะไปใต้ต้นไม้ที่หลิวเป้ยเคยอยู่ พูดคุยกับดอกไม้ใบหญ้า คลายความเบื่อหน่ายของตน

ในวันนี้ หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น

ชิงหลวนเอ๋อร์ฝึกบำเพ็ญอยู่ด้านข้าง ไม่รับรู้เลยว่าเขาตื่นขึ้นแล้ว

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา

สาวน้อยคนนี้…

เรื่องที่ชิงหลวนเอ๋อร์พูดคุยกับดอกไม้ใบหญ้า เขาก็ได้ยินเข้าหูเช่นกัน รู้สึกขบขันยิ่ง

หานเจวี๋ยเอ่ยเรียกเบาๆ “ชิงเอ๋อร์”

เมื่อหลวนชิงเอ๋อร์ได้ยิน ก็ราวกับถูกไฟดูด ร่างกายสั่นสะท้าน ลืมตาขึ้นทันที

นางมองหานเจวี๋ยด้วยความตื่นเต้นยินดี โผเข้าหาอ้อมแขนเขา เอ่ยว่า “ท่านพี่ ในที่สุดท่านก็ตื่นแล้ว”

ในใจนางคับข้องยิ่ง

นางไม่เคยคิดเลยว่าระยะเวลาหนึ่งแสนปีจะน่าเบื่อหน่ายถึงเพียงนี้ ตอนนี้พอนึกย้อนดู นางไม่ทราบเลยว่าตนผ่านมาได้อย่างไร

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจัง “นี่ก็คือการบำเพ็ญ ก่อนจะคืนชีพให้เจ้า ช่วงเวลาส่วนใหญ่ข้าล้วนฝึกบำเพ็ญเพียงลำพัง”

ชิงหลวนเอ๋อร์เงียบไป

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “หากเจ้าเดียวดาย ข้าสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตจำนวนหนึ่งขึ้นมาได้ ให้อยู่เป็นเพื่อนเจ้า”

ชิงหลวนเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมา ถามด้วยความแปลกใจ “จริงหรือ”

หานเจวี๋ยลุกขึ้น ชิงหลวนเอ๋อร์ตามหลังเขาต้อยๆ ทั้งสองเดินออกมาจากอารามเต๋า

ทั้งสองมาถึงใต้พฤกษาใหญ่ต้นนั้น หานเจวี๋ยชูมือขวาขึ้น ดอกไม้ใบหญ้าบนพื้นกลายเป็นชายหญิงคนแล้วคนเล่า ทั้งหมดล้วนเป็นหนุ่มสาวพรหมจรรย์จำนวนหนึ่งร้อยคน

สิ่งชีวิตที่ผ่านการแปลงกายแล้วจำนวนหนึ่งร้อยตนมองหน้ากันเหลอหลา ต่างงงงวยยิ่งนัก

หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรม เบิกปัญญาให้พวกเขา ระหว่างที่เทศนาธรรมได้ถ่ายทอดวิธีพูดจาและวิถีการบำเพ็ญให้พวกเขาไปด้วย

ชิงหลวนเอ๋อร์ก็จมจ่อมไปด้วยเช่นกัน

หานเจวี๋ยเทศนาอยู่ครึ่งวัน ทว่าเหล่าสิ่งมีชีวิตแปลงกายกลับรู้สึกเหมือนผ่านไปเนิ่นนานยิ่งนัก

“ท่านนี้คือนายหญิงของพวกเจ้า ต่อไปอยู่ที่นี่ล้วนต้องเชื่อฟังนาง เข้าใจหรือไม่” หานเจวี๋ยสั่งการ

สิ่งมีชีวิตแปลงกายหนึ่งร้อยคนรีบคุกเข่าคารวะชิงหลวนเอ๋อร์

ชิงหลวนเอ๋อร์ยิ้มหน้าบาน ให้พวกเขาลุกขึ้นมา

หานเจวี๋ยหันหลังเดินจากไป ยกที่เหลือให้ชิงหลวนเอ๋อร์จัดการ

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่มีพลังแห่งการสรรค์สร้าง ดังนั้นจึงมีตบะไม่สูง ด้วยตบะของหานเจวี๋ย จะเสกหินให้มีชีวิต เป็นเรื่องง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แต่หากคิดจะให้เป็นแบบชิงหลวนเอ๋อร์ ได้ครอบครองกายเนื้อในระดับจักรพรรดิเซียนเลย เช่นนั้นจำเป็นต้องใช้พลังแห่งการสรรค์สร้าง

หนึ่งแสนปีผ่านไป ชิงหลวนเอ๋อร์บรรลุระดับเทพแล้ว ร่างกายที่สร้างขึ้นจากพลังแห่งการสรรค์สร้างคุณสมบัติไม่มีทางเลวร้าย ยิ่งไปกว่านั้นคือวิญญาณของชิงหลวนเอ๋อร์ถูกหล่อเลี้ยงขัดเกลาด้วยปราณอนธการมาหลายล้านปี ทำให้เลิศล้ำขึ้นไปอีก

ต่อให้เทียบชั้นกับเทพมารฟ้าบุพกาลไม่ได้ ก็เหนือกว่าคุณสมบัติกายฟ้าบุพกาลของมรรคาสวรรค์โนเวลพีดีเอฟ

หานเจวี๋ยเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตเต๋าแห่งที่สอง ให้มู่หรงฉี่มารับตัวเทพมารตนใหม่ไปดูแล

ลี่เหยาบอกให้อู้เต้าเจี้ยนออกไป ต้องการอยู่กับหานเจวี๋ยตามลำพัง

อู้เต้าเจี้ยนหน้าแดงเล็กน้อย จากไปด้วยท่าทางคล้ายกำลังหลบหนี

หานเจวี๋ยเข้าใจเจตนาของลี่เหยา เพียงอยากสนทนาธรรมเท่านั้น

สิบปีต่อมา

หานเจวี๋ยจากไป ลี่เหยาให้อู้เต้าเจี้ยนกลับเข้ามา

อู้เต้าเจี้ยนสอบถามสถานการณ์ ลี่เหยาสีหน้าเปี่ยมความสดใส เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สามารถพิสูจน์เสรีได้ในทันใด”

“หวา! ร้ายกาจถึงเพียงนี้เชียว”

“พอใช้ได้เท่านั้น หากเทียบกับพวกมู่หรงฉี่แล้ว ยังห่างกันไกลนัก พวกเขาพิสูจน์เสรีระยะกลางแล้ว”

“พี่ลี่เหยา ท่านว่า ข้าสมควร…”

อู้เต้าเจี้ยนอึกอักขวยอาย นึกถึงคำพูดที่ไก่คุกรัตติกาลเคยกล่าวกับนาง

ลี่เหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งหน้าจะสร้างโอกาสให้เจ้า แต่สำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง เจ้าสำนักมิได้เป็นเช่นแต่ก่อน ความรักสิเน่หาของโลกปุถุชนยากจะดึงดูดเขาได้”

เมื่อบรรลุมรรคผลเบิกฟ้าแล้ว ทุกครั้งที่ฝ่าขั้นเล็กๆ ได้สักขั้น ความรู้สึกนั้นช่างสุขสันต์จนสิ่งใดก็ไม่อาจเทียบได้

อู้เต้าเจี้ยนพยักหน้ารับ ในใจเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาแล้วเช่นกัน

อีกด้านหนึ่ง

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม หานเจวี๋ยกำลังอ่านจดหมายอยู่

ระยะนี้ หานทั่วและอี๋เทียนเคลื่อนไหวถี่ยิ่ง เผชิญการโจมตีอยู่เสมอ แต่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสเลย ระหว่างต่อสู้ ดวงชะตาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นไปเรื่อยๆ

หานเจวี๋ยสังเกตเห็นจดหมายฉบับหนึ่ง

[ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงสหายของท่านดูดซับสิ่งอัปมงคล พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

ปรมาจารย์กำลังทำอะไรอยู่

ก่อนหน้านี้ดูดซับพลังอันธการ ยามนี้ยังมาดูดซับสิ่งอัปมงคลอีกดฮณ๊ฯดฯฌซ,

เหตุใดหานเจวี๋ยถึงรู้สึกว่าปรมาจารย์กำลังเข้าสู่ด้านมืดไปเรื่อยๆ กัน

เขานับนิ้วทำนาย พบว่าไม่สามารถทำนายถึงปรมาจารย์ลัญจกรสรวงได้ ดูเหมือนคนผู้นี้จะมีสมบัติวิเศษอยู่กับตัว

น่าสนใจอยู่บ้าง

หานเจวี๋ยไม่คิดจะไปเกลี้ยกล่อมปรมาจารย์ลัญจกรสรวง คนเราต่างมีเส้นทางเป็นของตัวเอง

ไม่ว่าผู้ใดจะจากไป ฟ้าบุพกาลก็ยังเดินหน้าต่อ

บางที่ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงอาจจะบุกเบิกเส้นทางของตัวเองได้กระมัง

หลังจากอ่านจดหมายจบ หานเจวี๋ยสอดส่องเจียงเจวี๋ยซื่อต่อ

เขาคิดดูเล็กน้อย เลือกเข้าฝันเจียงเจวี๋ยซื่อ ใช้รูปลักษณ์ชายชราเช่นกาลก่อน

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ก็อดไม่ได้ที่จะเงียบไป

ถึงแม้จะเงียบ แต่แววตาเขาเต็มไปด้วยความคะนึงหา

หานเจวี๋ยถาม “ศิษย์เอ๋ย หลายปีมานี้เป็นอย่างไรบ้าง”

ระดับของทั้งสองห่างไกลกันมากเกินไป หานเจวี๋ยสำแดงความฝันอันธการไปพร้อมกับใช้พลังของเทพมารเล่ห์ลวง รบกวนประสาทรับรู้และจิตใจของเจียงเจวี๋ยซื่อ

ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจียงเจวี๋ยซื่อฝันถึงอาจารย์ที่ตนพานพบระหว่างกลับชาติมาเกิด เขาก็ไม่ได้หวาดระแวงเช่นกัน เล่าถึงสิ่งที่ตนประสบมาในหลายปีนี้

ผ่านไปพักใหญ่

“อาจารย์ ตอนนี้ข้าสบายดียิ่ง พบสถานที่แห่งหนึ่งที่สามารถฝึกบำเพ็ญได้อย่างสบายใจ สักวันหนึ่ง ข้าจะคืนชีพให้ท่าน” เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยเสียงเบา

หานเจวี๋ยยกมือขึ้น ถ่ายทอดพลังวิเศษชนิดหนึ่งให้เจียงเจวี๋ยซื่อ

เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ทันตั้งตัว ตกอยู่ในความเลื่อนลอย

ไม่ทราบว่าผ่านไปนานแค่ไหน

เจียงเจวี๋ยซื่อรู้สึกตัวขึ้นมา

หลิวเป้ยที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นอะไรไป เมื่อครู่เหม่อลอยไป เช่นนี้ไม่ดีเลย หากว่ามีศัตรูอยู่ เจ้าจะถูกลอบโจมตีได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ไม่มีอะไร เพียงตระหนักรู้พลังวิเศษเท่านั้น”

นี่ไม่ใช่ครั้งที่แรกที่เขาตระหนักรู้พลังวิเศษโดยฝันถึงคนคุ้นเคยเก่า เขารู้สึกว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่เกิดจากมรรคจิตถูกกระตุ้น

กลับชาติกำเนิดมหาโชคของเขามหัศจรรย์ลึกล้ำ แม้แต่เขาเองก็ไม่กล้ายืนยันขีดจำกัด ดังนั้นอะไรก็เกิดขึ้นได้

หลิวเป้ยพยักหน้ารับ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “หากว่าในอนาคตจักรวาลนี้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิต เจ้าว่าฟ้าดินแห่งนี้ควรพัฒนาไปเช่นไรถึงจะดี”

เจียงเจวี๋ยซื่อเงียบไป

เขามาถึงจักรวาลแห่งนี้ได้ระยะหนึ่งแล้ว เขาก็รู้สึกเช่นกันว่าจักรวาลนี้มีศักยภาพยิ่ง

“สามารถเอาอย่างมรรคาสวรรค์ได้ แต่ไม่ควรดำเนินเส้นทางเดียวกับมรรคาสวรรค์” เจียงเจวี๋ยซื่อกล่าวอย่างใช้ความคิด

หลิวเป้ยถามด้วยความอยากรู้ “เจ้าคิดว่าควรดำเนินไปในเส้นทางเช่นไร”

เจียงเจวี๋ยซื่อตอบว่า “แบ่งแยกระดับโลกา ใช้แต่ละชั้นกดข่มกันเอง แบ่งแยกระดับย่อยลงไปอีก ระดับที่ใหญ่ที่สุดแยกออกเป็นสี่อาณาจักรย่อย ให้สรรพสิ่งมุ่งเป้าไปที่การฝึกบำเพ็ญ มุ่งหน้าโบยบิน เช่นนี้จะลดความขัดแย้งภายใน เจ้าสามารถปรับแต่งสายธารดาราได้ นำมาเรียงซ้อนทับกัน ทุกโลกจะถูกลงผนึกหวงห้ามไว้ จำเป็นต้องบรรลุถึงระดับหนึ่งก่อน ถึงจะเผชิญเคราะห์สวรรค์ ฝ่าเคราะห์โบยบิน เมื่อโบยบินขึ้นมาสำเร็จ จะกลับไปที่โลกด้านล่างไม่ได้ ป้องกันไม่ให้เสียระบบ”

………………………………………………………………