บทที่ 872 ข้าอยู่เหนือกว่าอริยะเสรีแล้ว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 872 ข้าอยู่เหนือกว่าอริยะเสรีแล้ว

เมื่อได้ฟังคำพูดของเจียงเจวี๋ยซื่อ หลิวเป้ยจมจ่อมอยู่ในห้วงความคิด

หานเจวี๋ยรับปากเขาไว้แล้ว บอกว่าในอนาคตจักรวาลนี้จะอยู่ในความดูแลของเขา ดังนั้นยามที่อยู่ว่างไร้เรื่องราวเขาจะใคร่ครวญถึงปัญหานี้อยู่เสมอ

ต้องกล่าวเลยว่า ความเห็นของเจียงเจวี๋ยซื่อยอดเยี่ยมมาก

หลังจากโบยบินขึ้นมาแล้วห้ามลงไปยังโลกเบื้องล่างอีก เช่นนี้ก็สามารถป้องกันไม่ให้ผู้แข็งแกร่งยึดครองทรัพยากรบำเพ็ญจนส่งผลกระทบต่อชนรุ่นหลัง

หลิวเป้ยเอ่ยขึ้นว่า “ข้าคิดว่าใช้ได้เลย ใช้การฝ่าเคราะห์ควบคุม เมื่อบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้ว จะต้องฝ่าเคราะห์”

เจียงเจวี๋ยซื่อเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ไม่เลวเลย”

เหตุผลที่เขาผูกมิตรกับหลิวเป้ย มิใช่เพียงเพราะหลิวเป้ยเป็นเจ้าของจักรวาลแห่งนี้ นิสัยของหลิวเป้ยก็ทำให้เขาสบายใจมากเช่นกัน ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นคนในเส้นทางเดียวกันเลย

ยิ่งคุยกันทั้งสองก็ยิ่งตื่นเต้น

ในเวลาเดียวกันนี้

นอกห้วงจักรวาลดารา หมอกดำทะมึนลอยตลบโถมเข้ามา คล้ายกับความมืดมิดที่เข้ากลืนกินห้วงมิติ ข่มขวัญคนอย่างยิ่ง

ณ อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยยังไม่ได้เข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญ เขาสังเกตเห็นหมอกดำทะมึนนอกห้วงจักรวาลแล้ว

เขามองแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าในหมอกดำมีวิญญาณร้ายอยู่นับไม่ถ้วน กำลังกรีดร้องอย่างไร้เสียงอยู่

สิ่งอัปมงคลหรือ

หลังจากบรรลุยอดมหามรรค สิ่งอัปมงคลที่มองไม่เห็นก็ไม่สามารถเล็ดรอดสายตาของหานเจวี๋ยไปได้อีก

หืม

ทันใดนั้นหานเจวี๋ยสังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งอยู่ในสิ่งอัปมงคล เขาแตกต่างไปจากสิ่งอัปมงคลอื่นๆ มีพลังเวทผสานอยู่ มีสัญญาณชีวิตซ่อนอยู่ในส่วนลึกของวิญญาณ

ดูเหมือนคนผู้นี้จะเป็นผู้นำของเหล่าสิ่งอัปมงคล ตบะเพิ่งบรรลุระดับเสรีเบิกฟ้าระยะต้น ไม่นับว่าร้ายกาจ

หานเจวี๋ยไม่ได้ลงมือ ถือโอกาสใช้สิ่งอัปมงคลขัดเกลาเจียงเจวี๋ยซื่อได้พอดี

หากเอาแต่พากเพียรบำเพ็ญไปตลอดจะปิดกั้นตัวเอง ออกไปต่อสู้เสียบ้างก็เป็นเรื่องดี

ไม่นานนัก เจียงเจวี๋ยซื่อและหลิวเป้ยสัมผัสถึงการรุกรานได้ พวกเขาออกมาด้านนอกห้วงจักรวาลดารา

เจียงเจวี๋ยซื่อขมวดคิ้ว มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้พบกับสิ่งอัปมงคล กลิ่นอายอัปมงคลเข้มข้นผสานอยู่ในหมอกดำนั้น ทำให้เขาอึดอัดอย่างยิ่ง

หลิวเป้ยเองก็เช่นกัน

ในอดีตเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับสิ่งอัปมงคล ล้วนเลือกหลบหนีตลอด ดังนั้นยามนี้จึงมีสีหน้าลำบากใจยิ่ง

“ทำอย่างไรดี”

เจียงเจวี๋ยซื่อถาม เขาอยากหนี แต่ก่อนหน้านี้ทั้งสองเพิ่งหารือกันว่าจะก่อตั้งจัดการจักรวาลเช่นไร ทำให้เขาค่อนข้างละอายใจจริงๆ

หลิวเป้ยกล่าวว่า “สู้เถอะ ไม่ว่าจะไปที่ใด ล้วนเป็นไปได้ว่าจะต้องพบสิ่งอัปมงคล เว้นแต่จะเป็นอาณาเขตของผู้ทรงพลัง”

เขาสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ไม่ได้กังวลนัก ถึงอย่างไรก็มีหานเจวี๋ยอยู่

เพียงแต่หานเจวี๋ยไม่ได้ลงมือ อาจจะอยู่ในระหว่างปิดด่าน เขาทำได้เพียงขัดขวางด้วยตัวเองไปสักระยะก่อน

เจียงเจวี๋ยซื่อมองหลิวเป้ยด้วยความแปลกใจ

เขารู้จักอุปนิสัยของหลิวเป้ยแล้ว พูดให้น่าเกลียดหน่อยก็คือรักตัวกลัวตาย

หลิวเป้ยฝืนยิ้ม “ถึงอย่างไรก็ต้องมีเป้าหมายถึงจะเกิดความมานะทุ่มเท มิเช่นนั้นจะฝึกบำเพ็ญไปเพื่ออะไร”

เจียงเจวี๋ยซื่อได้ยินวาจานี้แล้วสะเทือนไปถึงจิตใจ

ใช่แล้ว

ฝึกบำเพ็ญไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า

เจียงเจวี๋ยซื่ออยากคืนชีพให้อาจารย์ แต่นั่นเป็นเพียงเป้าหมายที่เพิ่มเข้ามาในภายหลัง ก่อนหน้านี้ เขาเพียงอยากแข็งแกร่งขึ้น

หลังจากพิสูจน์มรรคแล้วถึงพบว่า อริยะมิใช่จุดสูงสุด

หลังจากมาถึงฟ้าบุพกาล เขาถึงได้ทราบว่าอะไรที่เรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน

การบำเพ็ญไร้ขีดจำกัด ไม่มีวันไปถึงจุดสูงสุด

แล้วตัวเขาฝึกบำเพ็ญไปเพื่อสิ่งใดเล่า?

เพื่อให้แข็งแกร่งที่สุดหรือ

เจียงเจวี๋ยซื่อไม่มีความมั่นใจเลย

แต่เขาได้ยินมาว่าเทพมารฟ้าบุพกาลถูกขุนพลศักดิ์สิทธิ์ล้างบาง!

ทันใดนั้นเขานึกถึงอริยะสวรรค์เกรียงไกรขึ้นมา

อริยะสวรรค์เกรียงไกรก็เป็นผู้ที่เพียรบำเพ็ญอยู่เสมอเช่นกัน แต่ในฟ้าบุพกาล ผู้บำเพ็ญมากมายต่างฉงนว่าเหตุใดอริยะสวรรค์เกรียงไกรถึงต้องปกป้องมรรคาสวรรค์ด้วย

มรรคาสวรรค์เป็นดินแดนที่ผานกู่บุกเบิกขึ้น ซ้ำยังถูกบรรพชนเต๋าผสานมรรค ต่อให้มรรคาสวรรค์แข็งแกร่งแค่ไหน ดวงชะตาก็ไม่มีทางตกไปอยู่กับอริยะสวรรค์เกรียงไกร

วินาที เจียงเจวี๋ยซื่อเหมือนจะเข้าใจขึ้นมาแล้ว

ก็เหมือนกับหลิวเป้ย

เสียงของหลิวเป้ยแว่วเข้ามา “สหายเต๋าเจียงจะร่วมสู้ไปกับข้าหรือไม่ หากสู้ไม่ไหวค่อยหนีก็ได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พยักหน้าเล็กน้อย

เขาหมุนต้นคอ ขยับสองมือยืดเส้นยืดสาย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็สู้เถอะ ไม่ได้ต่อสู้มาหลายแสนปีแล้ว”

ทั้งสองยิ้มให้กัน จากนั้นก็พุ่งเข้าหาหมอกดำที่อยู่ในส่วนลึกของห้วงอวกาศเวิ้งว้างพร้อมกัน

ไม่นานนัก การต่อสู้ก็เปิดฉากขึ้น!

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

ใต้ต้นไม้ ชิงหลวนเอ๋อร์พลันลุกพรวดขึ้นมา เงยหน้ามองไปออกไปยังอวกาศ

สิ่งมีชีวิตแปลงกายทั้งร้อยคนไม่รับรู้ถึงอันตรายด้านนอกห้วงจักรวาลดาราเลย พวกเขายังเล่นสนุกกันไปตามประสา艾琳小說

เนื่องจากมิใช่เผ่ามนุษย์ วัฏจักรการเจริญเติบโตของพวกเขาจึงเชื่องช้ายิ่งนัก สิบปีผ่านไป ก็ยังอยู่ในวัยเยาว์

ชิงหลวนเอ๋อร์บรรลุระดับเทพแล้วมีความสามารถพอมองเห็นห้วงอวกาศด้านนอกจักรวาลดาราแล้ว นางมองเห็นหลิวเป้ยและเจียงเจวี๋ยซื่อสำแดงพลังวิเศษอยู่ท่ามกลางหมอกดำ

นางเบิกตากว้าง รีบกลับเข้าไปในอารามเต๋า

“ท่านพี่ ด้านนอก…”

ชิงหลวนเอ๋อร์เห็นว่าหานเจวี๋ยยังไม่เข้าสู่สภาวะบำเพ็ญ จึงเรียกด้วยน้ำเสียงร้อนรน

แต่นางก็นึกขึ้นได้ว่าหานเจวี๋ยตบะสูงกว่าตน ย่อมรับรู้ได้แล้ว ดังนั้นคำพูดส่วนหลังจึงไม่ถูกกล่าวออกมา

หานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ เอ่ยไปว่า “สองคนนั้นกำลังปกป้องจักรวาลนี้อยู่”

ชิงหลวนเอ๋อร์ผงะไป

ปกป้องหรือ

“หมอกดำนั้นคือสิ่งอัปมงคล สิ่งอัปมงคลเป็นวิญญาณร้ายชั่วช้าที่อยู่ในฟ้าบุพกาล มุ่งโจมตีสิ่งมีชีวิตโดยเฉพาะ มองไม่เห็นตัวพวกมัน และจับกลิ่นอายของพวกมันไม่ได้”

หานเจวี๋ยอธิบาย ชิงหลวนเอ๋อร์ได้ฟังก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง

ชิงหลวนเอ๋อร์ถามด้วยความอยากรู้ “สองคนนั้นเป็นใคร ท่านบอกว่าที่นี่มีเพียงท่านมิใช่หรือ”

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนหนึ่งเป็นร่างแยกที่ข้าสร้างขึ้นในอดีต อีกคนหนึ่งเป็นศิษย์ที่ข้าต้องการบ่มเพาะชุบเลี้ยง ใช่แล้ว ศิษย์คนนี้ของข้าคิดว่าข้าตายจากไปแล้ว”

ชิงหลวนเอ๋อร์อยากรู้ยิ่งกว่าเดิม รีบซักถามต่อ

หานเจวี๋ยก็ไม่ได้ปิดบัง เล่าประวัติความเป็นของหลิวเป้ยและเจียงเจวี๋ยซื่อ

หลิวเป้ยยังว่าดี เพียงเปลี่ยนไปอยู่ในร่างของศัตรู

แต่ประวัติของเจียงเจวี๋ยซื่อกลับน่าตะลึงยิ่ง

หลายแสนภพชาติ

บวกรวมกันแล้วเป็นเวลานานแค่ไหนกัน

ชิงหลวนเอ๋อร์ยากจะจินตนาการได้

“พวกเขาเก่งกาจนัก เป็นเซียนทองต้าหลัวใช่หรือไม่” ชิงหลวนเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย

ตอนอยู่แดนเซียน นางเคยได้ยินเรื่องเซียนทองต้าหลัว นั่นคือจุดสูงสุดของแดนเซียน

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “พวกเขาเป็นอริยะ ศิษย์คนนั้นของข้าถึงขั้นที่ก้าวข้ามอริยะไปแล้ว”

อริยะหรือ

ชิงหลวนเอ๋อร์แปลกใจอีกครั้ง

หานเจวี๋ยอธิบาย “เหนือกว่าจักรพรรดิเซียนคือระดับเทพ เหนือกว่าระดับเทพคือต้าหลัว สูงขึ้นไปกว่านั้นคือครึ่งอริยะ อริยะและอริยะเสรี”

ชิงหลวนเอ๋อร์ถามด้วยความสงสัย “ศิษย์ของท่านบรรลุถึงอริยะเสรีแล้ว ท่านยังกล้าหลอกเขาอีก ไม่กลัวเขาจะโกรธจนเอาคืนท่านหรือ!”

เหตุใดเจียงเจวี๋ยซื่อผ่านชีวิตมาหลายแสนชาติถึงไว้เนื้อเชื่อใจอาจารย์ที่อยู่ร่วมกันเพียงไม่กี่ชาติ จนยอมเชื่อฟังได้

หานเจวี๋ยตอบว่า “เพราะข้าอยู่เหนือกว่าอริยะเสรีแล้ว”

ดวงตาคู่งามของชิงหลวนเอ๋อร์เบิกกว้าง

หานเจวี๋ยมองความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนาง ชื่นมื่นอยู่ในใจ

เขาเงยหน้ามองการต่อสู้นอกจักรวาล เอ่ยยิ้มๆ “ศิษย์คนนี้ของข้ามีความสามารถอยู่บ้าง เห็นทีว่าข้าคงไม่จำเป็นต้องออกโรงแล้ว”

“ท่านพี่ ตอนนี้ท่านแข็งแกร่งขนาดไหนกันแน่” ชิงหลวนเอ๋อร์จับแขนหานเจวี๋ย ถามด้วยความอยากรู้

หานเจวี๋ยแสร้งวางท่าลุ่มลึก “ไม่อาจบอกเจ้าได้ เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อเจ้า เจ้าฝึกบำเพ็ญให้ดีเถอะ สักวันหนึ่งต้องบรรลุถึงระดับของข้าได้แน่”

ชิงหลวนเอ๋อร์ถามขึ้นมาอีก “แล้วทั่วเอ๋อร์เล่า”

“เขาน่ะหรือ เป็นอริยะเสรีแล้วเช่นกัน”

“บุตรชายข้าเก่งกาจถึงเพียงนี้เชียว”

ชิงหลวนเอ๋อร์ตื่นเต้นจนแทบบ้าแล้ว ปิติยินดียิ่งกว่าตอนที่ทราบตบะหานเจวี๋ยเมื่อครู่นี้

หานเจวี๋ยเบะปาก รู้สึกฉุนอยู่บ้าง

จริงๆ เลย ในใจสาวน้อยคนนี้ยังคงเป็นบุตรชายที่สำคัญที่สุด

ชิงหลวนเอ๋อร์กล่าวต่อว่า “ท่านพี่ พวกเรามีลูกกันอีกสักคนเถอะ ทั่วเอ๋อร์อยู่กับเราแค่ยี่สิบปีเท่านั้น เขาอาจจะลืมเลือนหน้าตาของข้าไปแล้วก็ได้”

………………………………………………………………