บทที่ 845 ภัยธรรมชาติ (2)
บทที่ 845 ภัยธรรมชาติ (2)
เสิ่นจื่อเจินค่อนข้างตกใจที่จู่ ๆ หยวนกั๋วชิ่งก็พูดถึงเรื่องนี้ ทำเอาเขาเหลือบมองสภาพแวดล้อมรอบ ๆ โดยไม่รู้ตัว ที่นี่ดูไม่เหมือนสถานที่ที่จะเกิดภัยธรรมชาติเลยนะ ถ้ามีดอกท้อบนกิ่งก้านอีกสักหน่อย คงเหมือนสวรรค์บนดินเลย
“พี่กั๋วชิ่งคะ ที่นี่มันมีภัยธรรมชาติจริง ๆ หรือคะ?” เสี่ยวเถียนไม่อยากจะเชื่อสักนิด
“มีจริงสิ อย่ามองแค่ว่ามันสงบสุขนะ เวลาเกิดภัยขึ้นมาก็ไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ มาก่อน”
“ตอนนี้อากาศดีก็จริง แต่ใครจะรู้เล่าว่าอีกสักพักอาจมีฝนตกหนักก็ได้”
ชายหนุ่มพูดด้วยความขมขื่น ถ้าไม่ใช่เพราะภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราว ชีวิตคนที่นี่อาจจะดีขึ้นมากกว่านี้ ดีทั้งตัวเขาและเพื่อนบ้านทุก ๆ คน
แต่ที่นี่ดูไม่เหมือนว่าจะเกิดน้ำท่วมอะไรแบบนั้นเลยนี่นา!
ซูเสี่ยวเถียนมองไปรอบ ๆ ไร้วี่แววของพายุฝน น่าเสียดายที่เธอมีความรู้กว้างขวาง แต่ไม่เคยเข้าใจด้านอุตุนิยมวิทยาเลย เด็กสาวตอนนี้เริ่มคิดแล้วว่าบางทีเธอควรจะศึกษาเรื่องนี้โดยเฉพาะ เพราะเรื่องของเกษตรกรรมและอุตุนิยมวิทยาเป็นของคู่กันเสมอ
พี่สามเองก็ต้องเรียนด้วยเหมือนกัน
“นายพูดเกินไปหรือเปล่ากั๋วชิ่ง? ถึงมันจะมีภัยพิบัติก็ใช่ว่าจะไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้าหรอกนะ” ซานกงเองยังไม่อยากเชื่อ
หยวนกั๋วชิ่ง “ตั้งแต่เด็กจนโต ฉันเห็นจนชินแล้วละ มันไม่มีวี่แววจริง ๆ นะ อาจารย์เสิ่น พ่อเสี่ยวซู่ก็อยู่ตอนเกิดภัยพอดีครับ เพื่อช่วยเหลือคนมีความสามารถไว้น่ะ”
ถ้ารู้ก่อนคงจะหลีกเลี่ยงได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้ชาวบ้านอพยพได้ก็ยังดี
เราทุกคนรู้ว่าพ่อเสี่ยวซู่เสียชีวิตตั้งแต่เด็กชายยังเล็ก แต่ไม่รู้ว่าเขาเสียชีวิตจากสาเหตุใด
ตกเย็น กลุ่มเสิ่นจื่อเจินเดินทางไปบ้านเลขาธิการตู้ ท่านนายกเหลียงได้แจ้งอีกฝ่ายให้ได้ทราบแล้ว
เลขาตู้เองก็รู้เช่นกันว่าชายผู้นี้มาจากเมืองหลวง และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรชั้นนำที่ขึ้นตรงต่อผู้นำ จึงแสดงท่าทางนอบน้อมมาก ตอนได้พบกันก็เอ่ยชมอีกฝ่ายไปหลายประโยค แต่จุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาในวันนี้คือเรื่องของเสี่ยวซู่เท่านั้น จึงไม่ได้พูดอะไรมากแล้วเข้าเรื่องทันที
“อาจารย์เสิ่นครับ ท่านนายกเหลียงได้บอกจุดประสงค์ที่คุณมาแล้ว บอกตามตรงนะครับผมก็คิดจะจัดการเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แต่ผมไม่มีอำนาจ” เลขาตู้เอ่ยอย่างทุกข์ใจ
เสี่ยวเถียนเงยหน้ามอง ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น เขาเป็นถึงผู้นำระดับชุมชน พูดจาแบบนี้ออกมาได้ยังไง?
เด็กสาวขมวดคิ้ว
เสิ่นจื่อเจินไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธโต้ง ๆ ปฎิเสธเรื่องนี้ว่ายากดีกว่าบอกไม่มีอำนาจเสียอีก เขารู้สึกว่าวันนี้มาเสียเที่ยวจริง ๆ แต่ก็อยากสู้ต่อไปจนถึงที่สุด แย่ที่สุดคือส่งเด็กชายไปสถานสงเคราะห์ดีกว่าให้ออกมาเร่ร่อนข้างนอกอีก
“เลขาตู้ เสี่ยวซู่ไม่มีพ่อแม่นะ เราส่งเขาไปสถานสงเคราะห์ไม่ได้หรือครับ?”
ตอนนี้อากาศยังพออบอุ่น เขาอายุเพียงห้าหกขวบจึงเร่ร่อนไหว แต่ถ้าอากาศหนาวขึ้นมาเขาจะอยู่ยังไง?
“ก็เพราะอาจารย์เสิ่นมาจากเมืองหลวงไงครับ เลยพูดแบบนี้ได้เพราะไม่รู้สถานการณ์ทางฝั่งเรา” ถึงใบหน้าจะประดับรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นก็ดูขมขื่นไม่น้อย
“ใครที่ไหนจะยินดีส่งลูกตัวเองไปสถานสงเคราะห์กันล่ะ”
“แต่กรณีเสี่ยวซู่มันไม่เหมือนคนอื่นนะ”
หากมีคนรับเลี้ยงและดูแลเขาอย่างดีเสิ่นจื่อจงคงไม่พูดแบบนี้หรอก แต่กับกรณีเสี่ยวซู่มันไม่ใช่ไง
โดยปกติถ้าครอบครัวไหนยินดีรับเลี้ยง เราจะไม่ส่งไปสถานสงเคราะห์ เพราะการมีครอบครัวที่เป็นรากฐานที่ดีคือสิ่งสำคัญสำหรับการเติบโตของเด็ก แต่เมื่อพิจารณาจากตัวเสี่ยวซู่ การส่งเขาไปที่นั้นมันดีกว่าต้องอยู่บ้านลุงกับป้าแน่นอน
อย่างน้อยก็มีเสื้อผ้าและอาหารการกินที่ดีกว่า
“ในเขตเราไม่มีสถานสงเคราะห์ครับ ถ้าอยากส่งเข้าไปอยู่ต้องเข้าเมืองไปประสานงานเอาน่ะ เขาจะรับเด็กที่ไม่มีญาติและสภาพการเป็นอยู่ลำบาก แต่เสี่ยวซู่มีผู้ปกครองอยู่แล้ว ปกติจะไม่รับครับ” เลขาตู้ยิ้มขื่น
“ผมเข้าใจความเมตตาคุณนะ แต่ทางเราเองก็ลำบากเหมือนกัน แต่ผมจะพยายามหาวิธีให้เขานะครับ”
“ตัวพ่อเสี่ยวซู่เสียไปช่วงน้ำท่วมเพราะช่วยคนอื่นเอาไว้ เขาถือเป็นวีรบุรุษ! ลูกหลานของเขาควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้”
น้ำเสียงเลขาฟังดูสะเทือนใจนัก รู้เลยว่าการตายของพ่อเสี่ยวซู่ยังทิ้งบาดแผลไว้ในใจ
เลขาตู้คงไม่มีหนทางแก้ปัญหาเสี่ยวซู่จริง ๆ สินะ
“ผมต่างหากล่ะที่สร้างปัญหาให้คุณ ได้ยินคนพูดบ่อย ๆ ว่าพ่อเสี่ยวซู่ช่วยชีวิตชาวบ้านเอาไว้ มันเกิดอะไรขึ้นหรือครับ?”
สุดท้ายก็ทนความอยากรู้ไม่ไหวจึงเอ่ยถามออกมา
“ที่นี่มีเขื่อนอยู่แห่งหนึ่งไม่ไกลเท่าไรครับ ปีนั้นเกิดฝนตกหนักฉับพลันจนทำให้เกิดน้ำท่วมทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านโดยรอบติดอยู่บนพื้นที่สูง และวิธีเดียวที่จะช่วยได้คือระบายน้ำออกไป แต่ในช่วงคับขัน ระเบิดไม่ทำงานเพราะโดนความชื้นน่ะ”
“พ่อเสี่ยวซู่เจอต้นตอปัญหาตอนไปตรวจสอบครับ และเพื่อช่วยทุกคน เขาจึงเสี่ยงชีวิตด้วยการตัดชนวนที่ชื้นออกแล้วเป็นคนจุดระเบิดแทน และตัวเขาก็ไม่สามารถ…”
เลขาตู้เอ่ยต่อไปไม่ไหว
เสิ่นจื่อเจินได้ฟังก็ตกใจที่อีกฝ่ายยอมสละชีวิตเพื่อช่วยผู้คนจากหลาย ๆ หมู่บ้าน เห็นแบบนั้นแล้ว คนในหมู่บ้านก็ควรดูแลเด็กผู้น่าสงสารคนนี้ให้ดีไม่ใช่หรือไง? แล้วทำไมเสี่ยวซู่ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ล่ะ?
เขาเอ่ยถามสิ่งที่คิด
“รัฐบาลไม่ได้ช่วยเด็กเลยหรือ?”
“ช่วยครับ หลังจากพ่อเสียไปพวกเขาก็ส่งเงินช่วยเหลือพันหยวนน่ะ และยังส่งเงินค่าครองชีพให้เสี่ยวซู่เดือนละสิบหยวนด้วย”
ทางรัฐให้ตามที่สมควรจะให้แล้วล่ะ แต่เรื่องที่เสี่ยวซู่ไม่มีคนดูแล ทั้งยังอายุน้อยกลับไม่มีใครดูแลจัดการก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
ในฐานะผู้นำท้องถิ่น เลขาตู้ไม่มีทางแก้เรื่องแบบนี้ได้หรอก
ก่อนหน้านี้สองย่าหลานก็มีเงินเดือนละสิบหยวน ชีวิตค่อนข้างดีทีเดียว
แต่จู่ ๆ หญิงชราก็จากไป ทิ้งหลานชายผู้โดดเดี่ยวไว้ให้คนอื่นดูแล ตัวเลขาเองก็ประมาทที่ไม่ได้สังเกตเห็น