บทที่ 844 ภัยธรรมชาติ (1)

บทที่ 844 ภัยธรรมชาติ (1)

หลังจากหยวนกั๋วชิ่งรับของขวัญไป ก็นั่งลงแล้วสนทนากับคนอื่น ๆ โดยมีแม่หยวนรับหน้าที่ทำอาหารอยู่ในครัว

“ซานกง เมื่อครู่นายบอกว่าเมื่อวานมาแถวนี้หรือ?”

เขานึกถึงคำพูดอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความอยากรู้

“ไม่ใช่แค่ฉันหรอก แต่มีอาจารย์ด้วยอีกคน เราไปหมู่บ้านหนานเหอไม่ไกลจากกันมาน่ะ”

หยวนกั๋วชิ่งประหลาดใจนัก หมู่บ้านหนานเหอไม่ได้ไกลจากหมู่บ้านเขาจริง ๆ แต่นึกไม่ออกเลยว่าสองคนนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับที่นั่นด้วย

“ทำไมถึงไปที่นั่นล่ะ”

“เราบังเอิญเจอเด็กจากหมู่บ้านนั้นมาน่ะ เด็กคนนั้นชื่อเสี่ยวซู่ พ่อแม่เสียไปแล้วทั้งคู่ เราก็เลยไปสอบถามข้อมูลจากคนที่นั่น”

ซานกงเอ่ยเรื่องเด็กชายให้ฟังสั้น ๆ

พอพูดถึงเขา หยวนกั๋วชิ่งรู้ทันทีว่าใคร

“ฉันรู้จักเขานะ เขาอาศัยอยู่ที่หมู่บ้านหนานเหอ พ่อแม่ด่วนจากไปทั้งคู่ ชีวิตน่าสงสารมากเลย แต่ฉันได้ยินคนพูดถึงเขาเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง เห็นว่าเสี่ยวซู่ป่วยไม่ได้ออกมาวิ่งเล่นนานแล้ว งั้นทำไมจู่ ๆ ถึงเดินไปที่ไกล ๆ แบบนั้นได้ล่ะ?”

หยวนกั๋วชิ่งคิดว่าตัวเองน่าสงสารมากพอแล้วนะ แต่พอได้ยินเรื่องของเด็กน้อยก็รู้สึกว่าชีวิตตนเองไม่ได้แย่ขนาดนั้น

เสิ่นจื่อเจินคาดไม่ถึงว่าลูกเจ้าของบ้านจะรู้จักเด็กคนนั้น จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังทันที

หยวนกั๋วชิ่งตกใจมาก ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าชีวิตเด็กคนนี้น่าสังเวชมาก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะน่ารันทดขนาดนี้

เขาต้องโดนทารุณมาแบบไหนถึงหลบหนีออกจากบ้าน แถมยังเดินออกไปไกลไม่คิดกลับบ้านเลยสักครั้ง ต่อให้หิวโหยและต้องหนาวเหน็บก็ตาม ในใจเสี่ยวซู่คงยินดีกับการอยู่ข้างนอกมากกว่าอยู่กับลุงแท้ ๆ สินะ

“เสี่ยวซู่น่าสงสารมาก ถ้าพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก ความจริงก็คิดเหมือนกันนะว่าการมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ได้ก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน”

“ใช่ค่ะ มีพ่อแม่อยู่ เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยั้นค่ำ แต่ถ้าไม่มีพ่อแม่แล้ว…” เสี่ยวเถียนเอ่ยต่อไม่ไหว

“ตอนเย็นก็เลยนัดคนไว้เพื่อมาช่วยเด็กคนนี้น่ะ”

“อาจารย์เสิ่นจะไปบ้านนายกเหลียงใช่ไหมครับ?”

ถือได้ว่าหยวนกั๋วชิ่งเป็นคนฉลาด หลังจากได้ยินเรื่องราวก็เข้าใจในความหมายนั่นทันที เพราะรู้สึกว่าคนที่อาจารย์เสิ่นสามารถนัดหมายได้คงมีแค่ท่านนนายกแล้วละ

ความจริงแกเป็นคนดีมากเลยนะ แม้จะเป็นผู้นำของตำบลแต่ก็ยังเข้าถึงง่าย จัดการปัญหาต่าง ๆ ให้กับชาวบ้านในหมู่บ้านโดนรอบไม่น้อยเลย

ขนาดเขาจะเข้ามหาวิทยาลัย ยังได้ช่วยความช่วยเหลือจากแก

“แต่ท่านนายกแกไม่สามารถจัดการเรื่องของหมู่บ้านหนานเหอได้นะครับ พวกเราอยู่ตำบลทงเหลียง แต่พอข้ามสะพานไปก็ไม่ใช่เขตทงเหลียงแล้ว”

หยวนกั๋วชิ่งคิดว่าอาจารย์ยังไม่รู้สถานการณ์จึงอธิบายให้ฟัง แม้ท่านนายกจะมียศเป็นนายกอบต. แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปยุ่งกับเรื่องในพื้นที่อื่นได้หรอกนะ

“ก็จัดการไม่ได้จริง ๆ นั่นละ ฉันเลยต้องให้คนอื่นช่วยน่ะ” เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “ไม่ว่าจะทำได้หรือไม่ แต่เราเผชิญหน้ากับมันแล้วก็ต้องหาทางให้ถึงที่สุด”

ตอนนั้นเองที่แม่หยวนนำอาหารออกมาเสิร์ฟ

“ฐานะบ้านเรายากจนจึงไม่มีอาหารดี ๆ มาต้อนรับเลยค่ะ พวกเราเลยทำอาหารบ้าน ๆ อย่ารังเกียจกันเลยนะ” แม่หยวนเอ่ยด้วยความสุภาพ

จริง ๆ อาหารที่บ้านหยวนเตรียมไว้ค่อนข้างดีอยู่แล้ว แต่เธอไม่มั่นใจจึงรู้สึกว่ายังไม่พอ

เสิ่นจื่อเจินยิ้ม “ถ่อมตัวเกินไปแล้วครับ งานเลี้ยงอาหารสี่จาน น้ำแกงหนึ่งถ้วยถือว่าไม่ใช่มาตราฐานต่ำเลยนะ”

สองแม่ลูกบ้านหยวนลูกได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจขึ้น

และโชคดีที่หยวนกั๋วชิ่งเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาได้ทันเวลา จึงไม่ทำให้บรรยากาศตกอยู่ในความอึดอัด

หลังกินข้าวเสร็จ คนแม่คอยเก็บจานชาม ส่วนลูกชายมีหน้าที่ล้างจาน

แม่หยวนสนทนากับคนอื่น ๆ

ดูเหมือนเธอจะมีแต่เรื่องลูกชายเท่านั้น แกพูดเรื่องความฉลาดหลักแหลมของลูกชายเมื่อก่อน เอ่ยถึงตอนที่เขาทิ้งงานเพื่อตัวเธอในครั้งนี้ และเรื่องต่าง ๆ อีกมากมาย

จริง ๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรมาก แต่แกเล่าทุกอย่างจริงจัง จนเสิ่นจื่อเจินเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย

เมื่อก่อนเด็กคนนี้มีชีวิตลำบาก แต่โชคดีที่เขามีแม่ผู้เข้มแข็ง พานเอาเขานึกถึงเสี่ยวซู่ผู้ไร้พ่อขาดแม่ ก่อนจะเอ่ยถามแม่หยวนว่ารู้จักเขาไหม

อย่างที่คาดคิดเอาไว้ เธอรู้จักเด็กคนนั้น

แม่หยวนเป็นผู้หญิง เรื่องพวกนี้เธอรู้หมดแหละ แม้จะไม่ได้อยู่หมู่บ้านเดียวกัน แต่เพราะมันเป็นพื้นที่เล็ก ๆ จึงได้ยินเรื่องราวของครอบครัวนี้มาไม่น้อย

หลังจากถอนหายใจก็เอ่ยต่อ “พ่อเสี่ยวซู่เขาเป็นคนดี แต่น่าเสียดายเสียไปตั้งนานแล้วน่ะ! ถ้าเขายังอยู่ ครอบครัวอาจจะไม่กลายเป็นแบบนี้”

คนอื่น ๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะคิดว่าแม่หยวนคงอยากเล่าให้พวกเราฟังเฉย ๆ

“ขอบคุณมากครับพี่สะใภ้!” เสิ่นจื่อเจินเอ่ยอย่างสุภาพ “คุณเข้มแข็งมาก เสี่ยวหยวนก็เก่งมากเช่นกัน!”

“ขอบคุณอะไรกันเล่า เรื่องเพื่อนบ้านก็มีทั้งดีไม่ดี อย่าใส่ใจที่ฉันพูดมากเลย บอกตรง ๆ ถ้าไม่มีกั๋วชิ่งฉันก็คงอยู่ไม่ถึงทุกวันนี้หรอก” แม่หยวนรีบยิ้ม

และมันเป็นรอยยิ้มที่เจือไปด้วยความเศร้าสร้อย

เสี่ยวเถียนสัมผัสได้อย่างชัดเจน

ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ!

หลังลูกชายล้างจานเสร็จ ก็ออกมา ทุกคนพูดคุยกันอย่างอบอุ่น แม่หยวนจึงเป็นฝ่ายไปรินชามาให้

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็บ่ายสามแล้ว อากาศไม่ร้อนอีกต่อไป หยวนกั๋วชิ่งจึงเอ่ยขึ้น

“อาจารย์ครับ ตอนนี้อากาศไม่ค่อยร้อนแล้ว ออกไปข้างนอกกันไหมครับ?”

“ได้สิ!” เสิ่นจื่อเจินเองก็มีความตั้งใจว่าจะไปเดินเที่ยวเล่นอยู่แล้ว

แม่หยวนบอกมีงานต้องทำจึงบอกลูกชายให้ดูแลแขกดี ๆ จากนั้นทั้งสี่ก็เดินออกมาจากบ้าน

ทิวทัศน์โดยรอบหมู่บ้านที่บ้านหยวนอยู่งดงามมาก ล้อมรอบด้วยภูเขาและแม่น้ำ มีต้นไม้เขียวชอุ่ม ช่างเป็นสถานที่ที่มีทิวทัศน์สวยงามจริง ๆ

ด้านหลังบ้านเองก็มีแม่น้ำสายเล็กอยู่

สายน้ำไหลเอื่อยเฉื่อย เช่นเดียวกับความเงียบสงบของหมู่บ้าน

พวกเสี่ยวเถียนมาจากทางเหนือ หายากมากที่จะได้เห็นวิวทิวทัศน์เช่นนี้ และพวกเราก็ชอบมันมาก ตอนอยู่ตะวันตกเฉียงเหนือก็เคยเห็นแต่ผืนทรายสีเหลือง ไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อนเลย

“กั๋วชิ่ง ทิวทัศน์ที่นี่สวยมากเลย!” เสิ่นจื่อเจินยกยิ้ม

“ถึงจะสวยแต่ภัยธรรมชาติเยอะมากเลยครับ ชีวิตผู้คนที่นี่ลำบากอยู่เหมือนกัน” เขาว่าพลางถอนหายใจ