บทที่ 843 คนเราต้องรู้จักบุญคุณ

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 843 คนเราต้องรู้จักบุญคุณ

บทที่ 843 คนเราต้องรู้จักบุญคุณ

ดังคำกล่าวที่ว่า นกน้อยทำรังแต่พอตัว

หยวนกั๋วชิ่งเป็นคนพึ่งพาได้ ระยะเวลาที่ผ่านมาก็พยายามเปลี่ยนแปลงสภาพที่บ้านมาโดยตลอด แต่ฐานะทางบ้านเราก็ยังยากจนอยู่ดี ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้ชายหนุ่มขาดความมั่นใจหลังจากได้รับการเมินเฉย และถูกดูถูก

ทีแรกคิดว่าหลังเรียนจบและมีงานทำ คงจะสามารถเปลี่ยนแปลงฐานะสภาพครอบครัวเพื่อให้แม่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ใครจะรู้ล่ะว่าหลังจากได้รับใบประกาศก็ได้ข่าวว่าแม่ล้มป่วย

เขาต้องเลือกว่าจะกลับบ้านไปดูแลแม่หรือเลือกจะทำงาน แต่สุดท้ายหยวนกั๋วชิ่งก็เลือกที่จะกลับบ้าน ถึงงานจะสำคัญ แต่มารดาก็สำคัญกับเขามาก ถ้าเสียท่านไป ต่อให้มีงานทำมันก็ไร้ความหมายอยู่ดี

หลังจากตัดสินใจเพื่อให้แม่มีชีวิตอยู่ต่อ เขาก็ได้เสียงานที่มั่นคงไป แต่การตัดสินใจนั้นเขาไม่เคยเสียใจเลย

ถ้าไม่ได้ท่านบากบั่นทำงานหนักมาหลายปี ก็คงไม่มีเขาอย่างทุกวันนี้

คนเราต้องรู้จักทดแทนบุญคุณ

เพื่อแม่แล้ว เขาไม่กลัวหรอกว่าตัวเองจะตายหรือตกงาน แต่เรื่องนี้มันส่งผลกระทบต่อจิตใจแม่นัก

หยวนกั๋วชิ่งได้ยินแกทอดถอนใจบ่อยครั้ง ทั้งยังพูดอีกว่าหากไม่ใช่เพราะโชคชะตาอันเลวร้ายของเธอ คงไม่ถ่วงแข้งขาลูกชายไว้แบบนี้หรอก

พ่อของเขาเสียไปตั้งแต่เขายังเด็ก ตัวหยวนกั๋วชิ่งได้แม่คอยดูแล เมื่อก่อนมีแต่คนบอกว่าแม่หยวนมีดวงพิฆาตสามี เพราะงั้นตัวแกจึงคอยแต่จะคิดว่า เป็นเพราะความโชคร้ายของเธอที่มันคอยรั้งลูกเอาไว้

หยวนกั๋วชิ่งพยายามปลอบแม่ว่ามันไม่ได้เกี่ยวกัน แต่คนเป็นแม่ยังคงยืนกรานเช่นนั้น เขาก็เลยพยายามหางานด้วยเหตุผลนี้ เพราะกลัวว่าถ้าหางานไม่ได้แม่จะตรอมใจจนป่วยเสียก่อน

ตอนนั้นเองที่มีข่าวคราวว่าทางฐานวิจัยกำลังหาคนอยู่ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไปหานายกเหลียงเพื่ออนาคตของตัวเอง และเสนอตัวเองไป

โชคดีที่ทุกอย่างผ่านไปอย่างราบรื่น หลังจากท่านนายกรู้ว่าเขาจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรกรรม ท่านไม่ได้รับแค่ไก่ของเขา แต่ยังพาไปหาอาจารย์เสิ่นถึงที่เลยด้วย

ตอนนี้ลูกชายมีงานทำแล้ว แม่หยวนมีชีวิตชีวาขึ้นมากว่าเดิมมาก

ในขณะที่รอพวกเขาเดินทางมา แม่หยวนไม่ลืมให้คำแนะนำกับลูกชาย

“กั๋วชิ่ง จากนี้ไปต้องขยันทำงานนะ”

โอกาสดี ๆ แบบนี้ถ้าไม่ตั้งใจให้ดี คงได้นึกเสียใจไปตลอดกาลแน่นอน

“ไม่ต้องห่วงนะแม่ ผมจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ!”

อาจารย์เสิ่นกำลังจะกลับแล้ว งานที่ฐานวิจัยจะตกมาเป็นหน้าที่หยวนกั๋วชิ่ง อีกฝ่ายได้ขอให้เขาทำส่วนที่เหลือให้เสร็จด้วย ความจริงเขาก็ไม่มั่นใจในตัวเองหรอก แต่อาจารย์เชื่อว่าเขาทำได้

อาจารย์เองก็ดูแลดีมาก

ถึงจะไม่ได้เข้าร่วมโครงการวิจัยเต็มตัว แต่อาจารย์ไม่ได้ปิดบังเรื่องเอกสารก่อนหน้านี้ต่อกันเลย แถมยังอนุญาตให้เขาได้เปิดอ่านด้วย นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขาประทับใจมาก

หมายถึงข้อมูลหรือ?

ไม่ใช่หรอก ความไว้เนื้อเชื่อใจต่างหาก!

หยวนกั๋วชิ่งเป็นคนไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าการได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นเป็นสิ่งวิเศษมากแค่ไหน

ขณะสองแม่ลูกสนทนาก็เห็นคนถีบจักรยานมาจากหน้าหมู่บ้าน

“แม่ครับ พวกอาจารย์เสิ่นมาแล้วล่ะ!”

หยวนกั๋วชิ่งเห็นได้เลยว่าคนที่ถีบจักรยานมาไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอาจารย์เสิ่นนั่นเอง

วันนี้พวกเขาเดินทางด้วยรถจักรยาน เป็นรถจักรยานของคนบ้านอัน ส่วนซานกงก็ถีบมาคันนึงโดยมีเสี่ยวเถียนซ้อนท้าย คันนี้เป็นของบ้านเลขาอัน

พอได้ยินว่าพวกเขากำลังจะไปบ้านหยวนกั๋วชิ่ง อันหรงเสวียจึงกุลีกุจอหาจักรยานมาให้ ถ้าไม่ได้จักรยานสองคันนี้ เราสามคนคงจะเดินกันมาไกลเลยละ

“อาจารย์เสิ่นมาแล้วหรือครับ?” หยวนกั๋วชิ่งยืนด้วยความเคารพที่ประตูบ้านก่อนจะเอ่ยทักทาย

เสิ่นจื่อเจินยิ้มอย่างเบิกบาน “กั๋วชิ่ง บ้านคุณหายากจริงๆ นะ โชคดีที่เรามาแต่เช้า สอบถามกันมาตลอดทาง เลยเพิ่งจะมาถึงนี่แหละ”

เราถามประมาณเจ็ดแปดคนเห็นจะได้ ก่อนจะได้พบบ้านเขาในที่สุด

“ดีนะครับ เมื่อวานไม่ได้มาที่นี่ ไม่งั้นตอนนี้อาจจะยังวนไปวนมาอยู่ก็ได้” ซานกงแย้มยิ้ม

ก็รู้อยู่ว่าถนนหนทางที่นี่หายากมาก แต่ไม่คิดว่าจะขนาดนี้

หยวนกั๋วชิ่งได้ยินก็หน้าแดงแจ๋

“ผมน่าจะไปรับอาจารย์ตั้งแต่แรก” เขารู้สึกผิดนัก ทำไมไม่คิดให้ได้ก่อนหน้านี้นะ

“มารับอะไรกันล่ะ พวกเรามาถึงแล้วเนี่ย อาจจะมีหลงทางบ้างแต่ได้เจอทิวทัศน์ใหม่ ๆ ก็ไม่ได้แย่อะไรหรอกนะ”

เสิ่นจื่อเจินไม่ได้ใส่ใจขนาดนั้น ทุกวันนี้ยังมีชีวิตอยู่ก็นับว่าพึงพอใจแล้ว

หยวนกั๋วชิ่งหมายจะพูดต่อ แต่อีกฝ่ายหยุดเอาไว้

เด็กคนนี้ดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียวคือระมัดระวังเกินไป คงจะดีถ้าเขาลดนิสัยนี้ลงบ้าง แต่เพราะมันมากไปก็เลยคอยแต่จะพะวงหน้าพะวงหลัง

แม่หยวนยืนอยู่ข้าง ๆ ลูกชาย นึกห่วงว่าจะโดนรังเกียจ แต่ไม่คิดเลยว่าอาจารย์เสิ่นจะเข้าถึงได้ง่ายขนาดนี้ ตอนนี้เธอจึงสบายใจขึ้นมาก

“อาจารย์เสิ่นเข้าไปนั่งข้างในก่อนเถอะจ้ะ” ถึงจะมีห่วง ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังพยายามเชิญชวนด้วยท่าทีนิ่งสงบ

“กั๋วชิ่ง คนนี้คือแม่เธอหรือ?”

“ใช่ครับ!”

“สวัสดีครับพี่สะใภ้ กั๋วชิ่งเป็นเด็กที่เก่งมากเลย โดดเด่นมาก ๆ คุณสอนเขาดีจริง ๆ ครับ!” เสิ่นจื่อเจินเอ่ยอย่างสุภาพ

ได้ฟังบุคคลสำคัญเช่นนี้เอ่ยยกย่องลูกชาย แม่หยวนรู้สึกภาคภูมิใจ และมีความมั่นใจในการสนทนาด้วยมากขึ้น

“อาจารย์เสิ่นชมกันเกินไปแล้วค่ะ เด็กคนนี้รบกวนคุณไว้เยอะเลย”

สองผู้ใหญ่ทักทายกันสองสามประโยค ก่อนจะนั่งใต้ต้นหอมหมื่นลี้ที่ส่งกลิ่นหอมหวานในลานบ้าน

ซานกงเอาของขวัญที่นำมาด้วยส่งให้หยวนกั๋วชิ่ง

“กั๋วชิ่ง เราเพิ่งมาบ้านนายเป็นครั้งแรกไม่รู้จะเอาของขวัญอะไรมามอบให้ดี ก็เลยไม่ได้ซื้อแบบเจาะจงมาน่ะ อย่ารังเกียจกันเลยนะ”

เขาถือถุงตาข่ายไว้ในมือ ข้างในมีกระป๋องผงมอลต์ ขนมสองห่อ และน้ำตาลทรายแดงอีกห่อนึง เป็นของที่เราซื้อจากสหกรณ์ร้านค้า และในยุคนี้ถือได้ว่าเป็นของขวัญแสดงน้ำใจ เวลาเราไปเยี่ยมญาติช่วงปีใหม่ หลาย ๆ คนก็เอาซาลาเปารูปดอกไม้ที่ทำเองมาให้

หยวนกั๋วชิ่งรีบปฏิเสธ

เขาแค่ชวนอาจารย์มากินข้าว แต่ทำไมอีกฝ่ายเอาของมาฝากเยอะขนาดนี้เนี่ย?

“นายเก็บไว้เองเถอะ ฉันรับไว้ไม่ได้หรอก”

“รับไว้เถอะน่า จะได้บำรุงร่างกายคุณป้า ถ้าไม่รับไว้พวกฉันคงกินข้าวอย่างสบายใจไม่ได้หรอกนะ”

ซานกงยิ้มก่อนจะยื่นของฝากไว้ในมือหยวนกั๋วชิ่ง