บทที่ 842 แม่ลูกบ้านหยวน
บทที่ 842 แม่ลูกบ้านหยวน
“ถ้าอยากพาเสี่ยวหย่วนไปด้วยก็เปลี่ยนทัศนคตินั่นซะ พวกเธอต่างหากที่เป็นหนี้บุญคุณเสี่ยวหย่วน”
ฉือเก๋อยืนฟังจากข้างนอกอยู่สักพักก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ในที่สุดก็ต้องเข้ามา เขารู้ว่าตัวเองอายุมากขึ้นทุกวัน และสักวันก็จะต้องลาขาดโลกนี้ไปในไม่ช้า ยังนึกห่วงอยู่ว่าถ้าวันนึงตัวเองไม่อยู่แล้ว หลานชายจะต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว
ความจริงเขายังหวังว่าหลานชายจะได้กลับมาอยู่กับครอบครัว และกลับมาสนิทชิดเชื้อกันอีกครั้ง เมื่อถึงเวลาลูกชายกับสะใภ้กลับมาจริง ๆ ท่าทีที่พวกเขามีต่อเสี่ยวหย่วน มันทำให้ตนผิดหวังจริง แต่ก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าทำไมสองคนนั้นถึงอยากให้หลานชายของเขาไปต่างประเทศนัก
จริง ๆ เขาก็คิดว่าดีถ้าหลานชายได้ไปต่างประเทศ บางทีถ้าได้อยู่กับพ่อแม่สักสองปี ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคงดีขึ้น แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะทะเลาะกันเสียงแล้ว และเขาจะต้องจะจัดการปัญหานี้
“คุณปู่!” ฉืออี้หย่วนร้องลั่น
เขารู้ว่าปู่กำลังคิดอะไร แต่ถ้าเขาไปปู่ก็ไม่เหลือใครแล้วนะ เขาต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยูที่นี่คนเดียว
“เสี่ยวหย่วน ปู่รู้ว่าหลานปล่อยวางกับตาแก่คนนี้ไม่ได้ ไม่เป็นไรหรอก ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น สองปีที่ผ่านมาสุขภาพปู่ยังแข็งแรงเหมือนเดิม ไว้เรียนจบกลับมาตอบแทนบุญคุณยังไม่สายนะ”
ฉือเก๋อมองฉืออี้หย่วน และใบหน้าสองสามีภรรยาก็มีริ้วแห่งความอับอายพาดทับอยู่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะลืมชายชราไปเสียสนิท ถ้าพวกเขาพาเสี่ยวหย่วนไป พ่อจะต้องอยู่คนเดียว แต่เราไม่สามารถพาเขาไปด้วยได้ หนึ่งคือพ่อไม่อยากไป สองคือไปแล้วก็ไม่มีที่ให้เขาอยู่
ส่วนเรื่องเสี่ยวหย่วน เกรงว่ากลับไปจะต้องจัดห้องเก็บของให้ว่างเพื่อให้เขาใช้ แต่ดูเหมือนว่าชายชราไม่แม้แต่จะชายตามองเราเลย
สำหรับเขาแล้วสิ่งที่สำคัญสุดคือ หลานชายอย่างฉืออี้หย่วนที่เติบโตและร่วมลำบากมาด้วยกัน
“เสี่ยวหย่วน ปู่เองก็ไม่อยากให้ไปเหมือนกัน แต่เทคโนโลยีล้ำหน้าที่นั่นมันคุ้มค่าให้ได้เรียนรู้นะ หากหลานสามารถศึกษาต่อ และเปิดวิสัยทัศน์ได้ มันจะดีต่ออนาคตหลานเอง”
ฉือเก๋อชักชวนอย่างจริงใจ
“แล้วปู่จะอยู่ยังไงถ้าผมไป?”
มีเหตุผลหลายอย่างที่ทำให้ฉืออี้หย่วนไม่อยากไป และฉือเก๋อก็คือเหตุผลที่สำคัญมาก เพราะเป็นห่วงว่าแกจะต้องอยู่ในประเทศนี้ตัวคนเดียว ถึงจะมีเสี่ยวเถียนและคนบ้านซูดูแลแกอย่างดี แต่มันจะไปเหมือนอยู่กับหลานชายแท้ ๆ ได้ยังไงล่ะ?
อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้เขาผิดหวังคือ พ่อแม่ไม่คิดเลยสักนิดว่าหลังจากที่เขาตามไปอยู่ด้วย ปู่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ยังไง!
“พ่อ ไม่งั้นก็ไปกับพวกเราสิ!”
สุดท้ายฉือเนี่ยนตงก็ชวนพ่อไปด้วยอีกคน
“พวกแกไปเถอะ ฉันอยู่ที่นี่ก็ดีอยู่แล้ว ยังมีเพื่อนให้คุยเล่นอยู่ด้วย” ฉือเก๋อโบกมือ “ตัวฉันสูงสุดคืนสู่สามัญแล้วน่ะ สังขารไม่ไหว ไม่อยากไปที่ไกล ๆ แบบนั้นหรอกนะ”
“แต่ว่า…” ฉือเนี่ยนตงอยากพูดอะไรบางอย่าง
ถึงน้องสาวน้องชายจะไม่ได้อยู่เมืองเดียวกับเรา แต่ก็ยังอยู่ในเยอรมนีอยู่ดี ถ้าพ่อไปกับเราด้วย ครอบครัวเราจะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
อวี๋ซีเยว่รีบเอ่ย “ในเมื่อพ่อเขาไม่อยากไปก็เคารพการตัดสินใจเขาเถอะ”
เพราะในความคิดของเธอ สาเหุตที่ฉืออี้หย่วนไม่ถูกกับพ่อกับแม่เพราะมีพ่อสามีเป็นคนเลี้ยง แล้วถ้าอีกฝ่ายไปกับเราด้วย บางทีความสัมพันธ์ระหว่างเรากับฉืออี้หย่วนคงแย่แบบนี้ต่อไป
ฉือเก๋อเหลือบมองสะใภ้โดยไม่พูดอะไร
ในเมื่อปู่ยืนกราน คนเป็นหลานก็ทำได้เพียงเชื่อฟังแล้วตอบตกลง
เสี่ยวเถียนที่อยู่ห่างไกลไปหลายพันลี้ไม่รู้เลยว่าตอนที่ตนกลับมา พี่ชายคนนี้ก็จะไม่อยู่เสียแล้ว
เธอยังง่วนกับการแก้ปัญหาให้เสี่ยวซู่อยู่
**********
ณ บ้านหยวนกั๋วชิ่ง
เพื่อเป็นการขอบคุณเสิ่นจื่อเจินที่คอยให้คำแนะนำในช่วงที่ผ่านมา หยวนกั๋วชิ่งจึงกลับบ้านมาก่อนหนึ่งวันเพื่อเตรียมต้อนรับแขก
เขาเป็นคนซื่อสัตย์ ถึงฐานะทางบ้านจะไม่ค่อยดีแต่ก็ยังพยายามอย่างเต็มที่ ในบ้านมีซี่โครงและสามชั้นที่ตากน้ำค้างอยู่ เขาจึงเชือดไก่มาเพิ่มอีกตัว
แม่หยวนรู้ว่าลูกชายได้พบกับผู้ดีท่านหนึ่ง ก็ไม่นึกหวงของดี ๆ พวกนี้เลย
เธอตื่นแต่เช้ามาช่วยลูกชายจัดเตรียม
เราทำอาหารทั้งหมด 6 จาน มีซี่โครงหมูตุ๋นหน่อไม้ดอง สามชั้นผัด ไก่ตุ๋นน้ำใส เนื้อปั้นลวกน้ำ มะเขือม่วงผัด และพริกหยวกผัดไข่
เนื่องด้วยฐานะที่บ้านยากจนมาก เนื้อที่ใช้ปั้นเป็นก้อนจึงเป็นกุ้งที่หยวนกั๋วหาได้จากลำธาร
แต่เพราะมันมีขนาดเล็กมาก เขาอายเกินกว่าจะทำเป็นตัว ๆ จึงปลอกเปลือกเลาะเนื้อ แล้วสับเป็นชิ้น ๆ เพื่อทำมาปั้นเป็นก้อน ๆ แบบลูกชิ้น สองแม่ลูกใช้ความคิดอย่างหนักกับอาหารพวกนี้ไม่น้อย
ยามมองโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหารดี ๆ ทั้งสองก็ยกยิ้มพึงพอใจ
“กั๋วชิ่ง อาจารย์ที่ลูกพูดถึงจะไม่รังเกียจที่บ้านเราจนใช่ไหมลูก?”
แม่หยวนยังคงกังวลบ้านเรามันไม่มีอะไรเลย ได้ยินว่าอาจารย์คนนี้มาจากเมืองหลวง เกิดคนเมืองดูถูกบ้านเราขึ้นมาจะทำยังไง?
แกเป็นคนเข้มแข็ง แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจนจึงอดเป็นกังวลไม่ได้
“ไม่หรอกแม่ อาจารย์เสิ่นไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก เสี่ยวเถียนกับซานกงก็เหมือนกัน พวกเขาเป็นคนดีมาก ไม่มีทางรังเกียจครอบครัวเราหรอกนะ” ลูกชายยกยิ้ม
ถึงจะบอกแบบนั้นแต่ในใจก็ยังกังวลไม่ต่างกัน
ถ้าแล้วมันเกิดขึ้นล่ะ?
ครอบครัวเราขัดสนจริง ๆ นะ เทียบกับคนในหมู่บ้านแล้ว เรายากจนที่สุดแล้วล่ะ
“พวกเราแค่ทำให้ดีที่สุดก็พอครับ เพราะมันเป็นการแสดงความขอบคุณไม่ต้องคิดเยอะนะ”