บทที่ 742 ฉางโซ่วกลับสู่ภูเขา เสือดำเยี่ยมเยียนสหาย (2)
ขณะอยู่ในที่พำนักของแม่ทัพตงมู่ หลี่ฉางโซ่วก็ได้รับข่าวบางอย่างที่ไม่คาดคิด
ก่อนหน้านี้ เมื่อเขารวบรวมพลังแห่งเจตจำนงของสิ่งมีชีวิตทั้งหมด คลื่นของพลังแห่งเจตจำนงก็รวมตัวกันในตรีสหัสโลกธาตุ และพุ่งไปยังแดนยมโลก แล้วถ่ายเทเข้าไปในแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี ซึ่งช่วยเพิ่มความช่วยเหลือเข้าไปไม่น้อย
แหล่งที่มาของพลังแห่งเจตจำนงนี้…
มันเป็นเครื่องสักการะบูชาจำนวนมากที่ฝ่ายสำนักบำเพ็ญประจิมควบคุมในตรีสหัสโลกธาตุ!
สำนักบำเพ็ญประจิมช่วยเราหรือ?
หลี่ฉางโซ่วใคร่ครวญถ้วนถี่และเข้าใจเจตนาของสำนักบำเพ็ญประจิม มันมีเพียงสามประการเท่านั้น
ประการแรก การให้ความช่วยเหลือแก่แดนยมโลกย่อมจะช่วยให้พวกเขาทำสิ่งต่างๆ ในแดนยมโลกได้ง่ายขึ้นในภายหน้า
ประการที่สอง การช่วยแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีในเวลาเดียวกันกับสำนักบำเพ็ญเต๋า เขาก็ย่อมจะถือได้ว่า เป็นการทำงานให้กับเต๋าได้
ด้วยการทำเช่นนี้ แม้จะไม่ได้รับบุญ แต่ก็ย่อมสามารถเอาบุญนั้นมาแลกกับโชคบางอย่างได้บ้าง
ประการที่สาม เป็นการถือครองเต๋าแห่งคุณธรรม เขาต้องผดุงความยุติธรรม
ในสภาพแวดล้อมการดำรงชีวิตที่โหดร้ายแห่งโลกบรรพกาล ดูเหมือนว่า เต๋าแห่งคุณธรรมจะเป็นเรื่องน่าขัน
นั่นเป็นเรื่องก่อนที่บรรพาจารย์เต๋าจะเสร็จสิ้นการรวมเต๋าของเขา และเหล่าจอมปราชญ์ทั้งหกได้ถือกำเนิดขึ้น
ในยุคโบราณนั้น มันเป็นเพียงเรื่องที่ว่า ผู้ใดแข็งแกร่งกว่ากัน และผู้ใดมีเหตุผลมากกว่ากันเท่านั้น สิ่งที่เรียกว่า เต๋าแห่งคุณธรรมนั้น ก็เป็นเพียงใบมะเดื่อให้กับความโหดร้ายรุนแรงของผู้แข็งแกร่งเท่านั้น
ทว่าหลังจากที่บรรพาจารย์เต๋าได้ผสานรวมเต๋า และจอมปราชญ์ทั้งหกปรากฏตัวขึ้นพร้อมกันแล้ว โลกบรรพกาลก็ได้ถูกสร้างขึ้นมา ในยามนั้น ภูมิหลังและตัวตนของผู้คนล้วน ก็เริ่มมีความสำคัญยิ่งกว่าความแข็งแกร่ง
จอมปราชญ์ทั้งหกได้สร้างระเบียบแบบแผนพื้นฐานแห่งโลกบรรพกาลขึ้น
การดำรงอยู่ของเต๋าสวรรค์ ทำให้คำว่า ‘เต๋าแห่งคุณธรรม’ มีความสำคัญมากขึ้น
ในครั้งนี้ ที่สำนักบำเพ็ญประจิมได้ช่วยเหลือเขา ก็เป็นเพราะพวกเขาต้องการถือครองเต๋าแห่งคุณธรรมและได้แก้ไขนามที่เหมาะสมให้กับตัวพวกเขาเอง
ทั้งนี้ เพราะพวกเขาต้องการแสดงความรับผิดชอบของสำนักใหญ่ในโลกบรรพกาล และต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญเต๋าต่อไปในระดับเดียวกันได้
บางทีพวกเขาอาจหมายความว่า “สำนักบำเพ็ญประจิมของพวกเขานั้น หาใช่จอมวายร้ายแห่งโลกบรรพกาลไม่ พวกเขากำลังต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญเต๋า และสำนักของพวกเขาก็มีจุดยืนของพวกเขาเอง”
จอมปราชญ์เป็นผู้ออกคำสั่ง หรือว่าตี้จั้ง หรือเป็นศิษย์คนอื่นๆ ของจอมปราชญ์ได้เริ่มกล่าวถึงเรื่องนี้ก่อน?
หลี่ฉางโซ่วครุ่นคิดอยู่สักพัก เมื่อแน่นอนว่า ไม่มีคำตอบสำหรับคำถามนี้ เขาก็ยิ้มและหยุดคิด
ใช่แล้ว ข้าควรจะคิดว่า ในภายหน้า เขาจะช่วยแดนยมโลกและได้รับบุญมากขึ้นได้อย่างไร
ครั้งนี้ เมื่อเขาช่วยราชินีโฮ่วถู่ เต๋าสวรรค์ก็ได้มอบบุญมหาศาลให้แก่เหล่าเซียนทั้งเก้าแห่งสำนักบำเพ็ญเต๋า
ทั้งนี้ หลี่ฉางโซ่วเป็นคนที่มีส่วนร่วมมากที่สุดและสำคัญที่สุดในหมู่พวกเขา ดังนั้น แน่นอนว่า เขาย่อมเป็นผู้ที่ได้รับบุญมากที่สุด
ทว่ามันก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ได้เตือนเขาเอาไว้ก่อนหน้านี้…
บุญจากเรื่องนี้จะถูกแจกจ่ายให้กับเหล่าปรมาจารย์แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าที่มาช่วยเหลืออยู่ที่นั่น ซึ่งแน่นอนว่า หลี่ฉางโซ่วจะได้รับบุญน้อยลงเป็นธรรมดา
เขาไม่อาจทำอะไรได้ในเรื่องนี้ ในเมื่อมันเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับต้าเต๋อโฮ่วถู่ ซึ่งโดยธรรมชาติแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ต้องการให้ทุกอย่างมีเสถียรภาพมั่นคง
เวลานี้ ร่างทองแห่งบุญก็เกือบเสร็จสมบูรณ์ถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว!
ทว่าเก้าในสิบส่วนนั้นก็ยังคงเป็น “วัสดุต่างๆ”
บุญบริสุทธิ์ นอกจากหักล้างกรรมร้ายแล้ว บุญเพียงลำพังอย่างเดียวก็ไร้ประโยชน์ ไม่มีผลอะไรมากนัก มีเพียงร่างทองแห่งบุญที่สมบูรณ์เท่านั้นที่จะมีผลแห่งการปกป้องของเต๋าสวรรค์ได้
แน่นอนว่ากระบวนความคิดของหลี่ฉางโซ่วนั้นไม่เคยเปลี่ยนแปลง เขาต้องการร่างทองแห่งบุญ หาใช่เพื่อปกป้องชีวิตของเขาไม่
ภายใต้สถานการณ์อันตรายทั่วไปที่ไม่เกี่ยวข้องกับจอมปราชญ์ ด้วยการปกป้องของร่างทองแห่งบุญนั้น ความปลอดภัยของเขาก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างน้อยสามในสิบส่วน
ทว่าเมื่อมาสู่สถานการณ์อันตรายที่เกี่ยวข้องกับบรรดาจอมปราชญ์ เขาก็สามารถใช้ร่างทองแห่งบุญเพื่อทำให้จอมปราชญ์… ลังเลได้สักพักหนึ่ง
และนั่นจะเป็นโอกาสรอด!
หลี่ฉางโซ่วได้เตรียมพร้อมวิธีการบ่มเพาะร่างทองแห่งบุญมานานแล้ว เขายังคิดที่จะเปลี่ยนแปลงมันอีกด้วย แต่ก็ยังไม่อาจหาแนวคิดที่เหมาะสมได้
ในขณะนั้น ส่วนที่ร่างทองแห่งบุญของเขาขาดไปก็มีเพียงช่วงน่องและเท้าข้างหนึ่งเท่านั้น
เช่นนั้นแล้ว ข้าจะจะลด ‘ขา’ ให้มีขนาดเล็กลงได้หรือไม่?
ร่างทองแห่งบุญ และขาพิการสวรรค์?
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อภาพดังกล่าวผุดขึ้นมาในใจตามจินตนาการแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็อดจะหัวเราะออกมาดังๆ ไม่ได้
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็หยุดบรรเลงเพลงพิณ และกล่าวอย่างเบิกบานใจว่า “ศิษย์พี่ ท่านสบายดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“อา หัวใจเต๋าของข้าสบายดีแล้ว” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางเหยียดยืดแขน และมองไปที่หลิงเอ๋อร์ซึ่งอยู่ตรงหน้าเขา แล้วเขาก็อดจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความครุ่นคิดลึกซึ้งอีกครั้งไม่ได้
หลิงเอ๋อร์หน้าแดงและเอ่ยถามเบาๆ ว่า “มีอันใดผิดไปหรือเจ้าคะ?”
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าฝึกบำเพ็ญมานานเพียงใดแล้ว?”
ข้าฝึกบำเพ็ญมานานเพียงใดแล้ว?
หรือว่า …ศิษย์พี่กำลังจะเกี้ยวข้า?
ในที่สุดบุปผาประจำบ้านก็ผลิดอกออกผลแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของพวกเราสองคนจะพัฒนาก้าวหน้าต่อไปได้มากขึ้นหรือไม่?
ตึ้ง!
ทันใดนั้นหัวใจของหลิงเอ๋อร์ก็เต้นแรงขึ้นมากทันที ใบหน้างดงามของนางขึ้นสีก่ำ และนางก็กล่าวตะกุกตะกัก ไม่อาจกล่าวได้เต็มประโยค
บัดนั้นนางก็ตัดสินใจกระโดดข้ามความเป็นกุลสตรี ละทิ้งความรักนวลสงวนตัวและความไม่สบายใจของหญิงสาว และเอ่ยถ้อยคำที่นางได้เตรียมเอาไว้มานานหลายปีแล้วด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับเสียงยุง
“ข้า ข้า ข้า…ข้าพร้อมแล้ว…พร้อม…”
“โอ้?”
ดวงตาของหลี่ฉางโซ่วเปล่งประกายในทันใด เขายิ้มและกล่าวว่า “เจ้าคงเดาได้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากที่ระดับฐานพลังของเจ้าสูงขึ้น สติปัญญาของเจ้าก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน
เช่นนั้น ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่า ในอีกสิบสองปีต่อจากนี้ พวกเรามาลงเขาและออกเดินทางไปเรื่อยๆ ได้เวลาที่เจ้าจะต้องออกไปเผชิญหน้ากับโลกบรรพกาลแล้ว”
“เอ๋?”
หลิงเอ๋อร์ตะลึงงัน
ทว่าหลี่ฉางโซ่วหัวเราะเบาๆ สองสามครั้ง จากนั้น ร่างของเขาก็กลายเป็นกลุ่มควันสีเขียว แล้วหายเข้าไปในหอโอสถ
……
เมื่อบุญไม่พอ แล้วข้าจะไปเติมเต็มส่วนขาดของบุญได้ที่ใดกัน?
แม้การกำจัดปีศาจจะเป็นทางเลือกที่ค่อนข้างมั่นคง แต่มันก็ย่อมจะสร้างแรงกดดันให้เผ่าปีศาจอย่างกะทันหันมากเกินไป และยังอาจทำให้เหล่าปีศาจโต้กลับอย่างรุนแรงได้โดยง่าย
เขายังคงต้องใช้นักพรตเต๋าลู่หยาเป็นส่วนหลักสำคัญในแผนของเขา เขาต้องใช้ตัวตนของนักพรตเต๋าลู่หยาในฐานะองค์รัชทายาทแห่งศาลปีศาจ เพื่อดึงดูดเหล่าปีศาจแห่งกรรมร้ายให้ปรากฏตัวออกมาได้มากขึ้น