บทที่ 741 ฉางโซ่วกลับสู่ภูเขา เสือดำเยี่ยมเยียนสหาย (1)
ท่ามกลางราตรีมืดมิดและลมแรงในยอดเขาหยกน้อย ขณะนี้มีกลิ่นธูปและเงาต่างๆ ล่องลอยอยู่ในป่า
หลิงเอ๋อร์ที่เพิ่งได้รับข้อความจากศิษย์พี่ของนาง นางพลันสวมเสื้อคลุมเต๋า และรีบออกไปจากกระท่อมมุงจากพร้อมกับถือยันต์หยกเพื่อเปิดค่ายกล แล้วรีบพุ่งไปที่หอโอสถ
ทว่าเพียงขณะที่นางมาถึงหอโอสถ หลิงเอ๋อร์ก็ได้ยินเสียงที่กลั้นเอาไว้…
สำลัก?
นางพลันตื่นตระหนก และกระโดดออกมาจากความมืดของป่าในยามค่ำคืน จากนั้นนางก็ร่อนลงไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูหอโอสถซึ่งสว่างไสว และเห็น…
ศิษย์พี่ของนางกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้โยกพร้อมด้วยน้ำตาที่กำลังหลั่งไหลลงอาบใบหน้า!
เปรี้ยง!
ดูเหมือนว่า สายฟ้าฟาดลงมาที่ข้างหลังของหลิงเอ๋อร์ นางรีบหลบไปข้างหลังพร้อมกับจ้องมองด้วยท่าทีตระหนกตกใจ
สวรรค์ ไฉนจู่ๆ ฟ้าถึงถล่มลงมา!?!
“ศิษย์พี่ ท่านเป็นอันใดไปเจ้าคะ?”
ทันใดนั้น หลิงเอ๋อร์ก็สะอื้นไห้ แล้วคุกเข่าลงหน้าเก้าอี้โยก นางจับมือใหญ่ของหลี่ฉางโซ่วเอาไว้ด้วยมือเล็กๆ ของนาง แล้วร้องตะโกน
“หากมีเรื่องอันใด ท่านก็บอกข้ามาสิ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราก็จะแบกรับมันไว้ด้วยกัน!
เป็น เป็นท่านอาจารย์หรือไม่เจ้าคะ?
ท่านอาจารย์สิ้นหวังแล้วหรือเจ้าคะ?
ศิษย์พี่ ท่านทำอันใดผิดพลาดในการฝึกฝนของท่านหรือไม่เจ้าคะ?
หากผลเต๋าอายุยืนของท่านถูกทำลาย ข้าก็จะกลับชาติไปเกิดกับท่านเจ้าค่ะ ศิษย์พี่!”
“หลิงเอ๋อร์…ไม่เป็นไร…”
หลี่ฉางโซ่วตอบกลับด้วยเสียงสั่นสะท้าน ลูกกระเดือกของเขาสั่นขึ้นลง และเขาก็เผยความรู้สึกสุดแสนโศกเศร้าออกมา
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์หรุบตาต่ำลง และหยาดน้ำตาก็รินไหลลงมาบนใบหน้าของนางราวกับไข่มุกที่แตกสลาย นางวางหลังมือของศิษย์พี่ไว้บนแก้มของนาง และร้องคร่ำครวญเบาๆ
“ศิษย์พี่ อย่าทำให้ข้าตกใจกลัวสิ หากท่านไปตอนนี้ แล้วข้าจะทำอย่างไรเจ้าคะ?
ตอนนี้ข้ายังไม่อาจนับได้ว่าเป็นม่ายของท่านด้วยซ้ำ ข้าทำได้เพียงแค่เฝ้าหลุมศพของท่าน…
อ๊าย! ศิษย์พี่ ท่านดีดหน้าผากข้าด้วยเหตุใดกัน!?!”
“เจ้าร้องตะโกนอันใดกันนี่!?!”
หลี่ฉางโซ่วดุด่าอย่างโกรธๆ และถอนนิ้วที่ดีดใส่หน้าผากของนางกลับคืนมา
จากนั้นเขาก็ปาดน้ำตาที่หางตาแล้วถอนหายใจพลางส่งเสียงพึมพำ
“ผลที่ตามมานี้ มันไม่มากเกินไปสักหน่อยหรือ?”
หลิงเอ๋อร์เม้มปากพลางเอามือกุมหน้าผาก
นางมองไปที่ศิษย์พี่ของนางอย่างห่อเหี่ยวใจและกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าไม่เห็นท่านร้องไห้มานานหลายปีแล้ว ข้าจึงเป็นห่วง”
“พี่ไม่ได้ร้องไห้” หลี่ฉางโซ่วถอนหายใจและกล่าวว่า “เพียงแค่ระบายอารมณ์ที่คั่งค้างอยู่ในหัวใจเต๋าของข้าเท่านั้น”
หลิงเอ๋อร์รู้สึกสับสนไม่เข้าใจ
หลี่ฉางโซ่วส่ายศีรษะและจ้องมองไปในราตรีที่มืดมน เขาพยายามทำให้ความโศกเศร้าในหัวใจเต๋าของเขาสงบลงให้มากที่สุดอย่างเต็มที่
หลังจากที่เขาเพิ่งกลับมาที่ภูเขาได้หนึ่งชั่วยาม เขาก็หลั่งน้ำตาลูกผู้ชายอยู่ที่นี่มาเป็นเวลาหนึ่งชั่วยามแล้ว
เมื่อครึ่งวันก่อน เมื่อเขาออกจากแดนยมโลก หลี่ฉางโซ่วได้ปฏิเสธคำชวนไปกินอาหารด้วยกันของอาจารย์ลุงจ้าวอย่างสุภาพ โดยอ้างว่า เขาอยากไปที่สำนักเทพทะเล และศาลสวรรค์เพื่อจัดการเรื่องต่างๆ ที่ตามมา
ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จงใจนำเจดีย์เสวียนหวงกลับไป และเขายังถึงกับเอ่ยขอร้องเทพธิดาอวิ๋นเซียวเป็นพิเศษเพื่อขอให้นางไปส่งร่างหลักของหลี่ฉางโซ่วกลับสู่สำนัก…
เขายังคงเป็นศิษย์พี่ที่แสนดีเช่นเคย
เป็นเรื่องยากที่หลี่ฉางโซ่วจะแข็งแกร่ง เขาได้ส่งเทพธิดาอวิ๋นเซียวกลับไปที่เกาะซานเซียนเอง และจิบชาอยู่ที่นั่น หลังจากพูดคุยกันสักพัก เขาก็ออกเดินทางกลับมาเพียงลำพัง
ในระหว่างทางกลับ เวลานี้ หลี่ฉางโซ่วอดจะรู้สึกขาดความปลอดภัยเล็กน้อยไม่ได้เมื่อเขาขาดการปกป้องคุ้มครองจากท่านปู่เจดีย์…
เขาสามารถใช้วิธีหลบหนีกลับไปได้ภายในเวลาครึ่งชั่วยาม และเขาก็ได้ไปราวครึ่งหนึ่งของดินแดนเทวะมัชฌิมาแล้ว!
หลังจากกลับมาที่ยอดเขาหยกน้อย และนอนเอนหลังลงบนเก้าอี้โยกแสนสบายแล้ว หลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
ในขณะนั้น เสี้ยวอักขระเต๋าสีน้ำเงินเข้มก็ลอยอยู่รอบๆ กายเขา และความรู้สึกเศร้าโศกก็ผุดขึ้นมาจากทั่วทั้งร่างของเขา
เขาคิดถึงอายุขัยของโลกแล้วร้องไห้คนเดียว
ทุกสรรพสิ่งล้วนมีเวลาสิ้นสุด แล้วเราจะป้องกันความโดดเดี่ยวอ้างว้างได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วก็ได้รับผลกระทบจากความเศร้าน้อย แต่เขาก็ระงับความเศร้าโศกและสร้างความรู้สึกที่ไม่อาจหยั่งถึง
แค่กๆ ไม่ใช่เพราะอยู่ต่อหน้าเทพธิดาอวิ๋นเซียว !
มันย่อมไม่อาจต้านทานพลังที่มีผลต่อผู้อื่นอย่างสมบูรณ์ที่สุดเช่นนี้ และความเศร้าบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ หากปราศจากหัวใจเต๋า…
ในขณะนั้น หลิงเอ๋อร์เลื่อนเบาะทำสมาธิมานั่งข้างๆ หลี่ฉางโซ่ว จากนั้นนางก็ถามเบาๆ ด้วยน้ำเสียงจริงจังและอ่อนโยนที่สุด
“ศิษย์พี่ มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือเจ้าคะ?”
“ไม่มีเรื่องใดร้ายแรงอันใดหรอก” หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างสงบ
“เป็นเพียงว่า เมื่อยามที่ข้าช่วยราชินีโฮ่วถู่สยบร่างจำแลงแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดนั้น ข้าก็ได้รับผลกระทบจากอักขระเต๋าที่แปรสภาพขึ้นจากอารมณ์ทั้งเจ็ดของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล ข้าเพียงต้องระบายอารมณ์เหล่านี้ออกมาเท่านั้น”
หลิงเอ๋อร์กะพริบตา ดูเหมือนว่านางจะได้ยินศิษย์พี่ของนางพูดอะไรบางอย่างที่ดูเหมือนจะสำคัญมาก…
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า เหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ามา?”
“ข้ารู้” หลิงเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ และเผยสีหน้าท่าทีอับจนหนทาง จากนั้นนางก็หันไปมองทางด้านข้างแล้วกล่าวว่า “หากการให้รางวัลตอบแทนข้าโดยให้ข้าคัดลอกพระสูตร จะทำให้ศิษย์พี่มีความสุขได้ ข้าก็… ยินดีเจ้าค่ะ…”
“คราวนี้ไม่ต้องหรอก เจ้าบรรเลงเพลงสนุกๆ คึกคักให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด ข้าอยากปรับปรุงสภาวะจิตใจของข้า”
“ฮิฮิ เหตุใดท่านถึงไม่บอกก่อนหน้านี้เล่าเจ้าคะ? ข้าจะทำเช่นนั้นเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
หลิงเอ๋อร์ถอยกลับไปในทันที แล้วปล่อยตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ออกมาสองตัวเพื่อเอากลองและขลุ่ยมา นอกจากนี้ นางยังหยิบกู่ฉินออกมาและบรรเลงท่วงทำนองเพลงสดชื่นรื่นเริง
หลี่ฉางโซ่วคลี่ยิ้มและหลับตาลงอีกครั้ง ครั้นเมื่อคลื่นแห่งความเศร้าโศกค่อยๆ สงบลง จิตใจของเขาก็เริ่มกลับมาว้าวุ่นอีกครั้ง
ด้วยความจริงที่ว่า มันย่อมเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถจัดการแก้ไขปัญหาอารมณ์ทั้งเจ็ดของโฮ่วถู่ได้สำเร็จราบรื่น เพราะมันเป็นความร่วมมือของศาลสวรรค์ วังมังกร และเหล่าสำนักเซียนแห่งสามสำนักบำเพ็ญเต๋า
ตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์ของหลี่ฉางโซ่วได้ออกเดินทางอีกครั้ง พวกเขาไปที่วังมังกรเพื่อขอบคุณราชามังกร และแจ้งความคืบหน้าในเรื่องนี้
จากนั้นพวกเขาก็ยังไปพบแม่ทัพตงมู่ในศาลสวรรค์ และหารือถึงเรื่องการส่งคนไปเยี่ยมเยือนเพื่อปลอบโยนและแสดงความห่วงใยที่แดนยมโลก