บทที่ 740 วิชาลับแปดเก้า (3)

ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว

บทที่ 740 วิชาลับแปดเก้า (3)

หากในภายภาคหน้า เขาสามารถฝึกฝนได้ดีจริงๆ และสามารถฝึกวิชาลับแปดเก้าให้เชี่ยวชาญได้ มันก็ย่อมจะไม่สายเกินไปที่เขาจะกลับมาขอโลหิตแท้ของผานกู่จากองค์ราชินีได้

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หลี่ฉางโซ่วก็ยิ้มและกล่าวว่า “องค์ราชินี หากท่านไม่มีบัญชาอื่นใดอีก เช่นนั้น ตอนนี้ ข้าขออำลาไปก่อนขอรับ”

ราชินีโฮ่วถู่กะพริบตาและกล่าวเบาๆ ว่า “ก่อนหน้านี้ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น ทั้งหมดนี้ล้วนถือเป็นของขวัญที่ข้าอยากจะมอบให้เจ้าแทนคำขอบคุณ”

“รอให้ข้าทำบางอย่างให้เผ่าเวทเถิดขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าว “ข้าย่อมไม่ตื่นเช้าโดยไร้ผลประโยชน์คอบแทน[1] ด้วยวิธีเช่นนี้ ข้าก็ย่อมจะมีแรงจูงใจมากขึ้นขอรับ”

“สหายเต๋า เจ้าต้องล้อเล่นแน่แล้ว …

ช้าก่อน มีคนต้องการพบเจ้า”

โฮ่วถู่ถือวงแหวนหญ้าเอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นวงแหวนหญ้าก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในแสงเซียนช้าๆ แล้วโฮ่วถู่ก็ค่อยๆ สวมมันลงบนศีรษะ

ทันใดนั้น ก็มีลำแสงหลากสีสว่างวาบขึ้นในวงแหวนหญ้า และบดบังลำแสงอื่นๆ เอาไว้ เหลือเพียงแสงสีขาวเงินเท่านั้นที่สาดส่องมา

ในขณะนั้น รอยยิ้มบนริมฝีปากของราชินีโฮ่วถู่ค่อยๆ เลือนหายไปทีละน้อย แม้ใบหน้าและรูปร่างของนางจะไม่เปลี่ยนไป แต่นางก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่า นางกลายเป็นคนละคน

และบัดนั้นหญ้าสีเขียวบนเนินเขาใต้เท้าของนางก็เริ่มพลิ้วไหว บุปผาสีขาวค่อยๆ เหี่ยวเฉาลงในขณะที่สายลมโชยพัดผ่านมาให้ความรู้สึกเยือกเย็นอย่างไร้ที่สิ้นสุด

“เฮ้อ…”

ราชินีโฮ่วถู่ถอนหายใจแผ่วเบา และกล่าวว่า “เมื่อครู่นี้ เจ้าน่าจะปลอบใจข้า สุดท้ายแล้ว เจ้าก็เพียงปลอบใจข้าเท่านั้น

เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็สูญเสียการควบคุมอารมณ์ของข้า มันเป็นภาระที่สิ่งมีชีวิตทั้งมวลล้วนวางไว้ให้ราชินีเช่นข้า มันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…

ข้ายังรู้สึกดีใจยิ่งนักที่เมื่อครู่นี้เจ้ากล่าวออกมาเช่นนั้น แม้จะยังมีความเศร้าอยู่มากก็ตาม…”

“สหายเต๋า” หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “เมื่อท่านสามารถควบคุมพลังแห่งอารมณ์และความเศร้าทั้งเจ็ดได้อย่างอิสระ และหาวิธีที่จะออกไปเดินเล่นรอบๆ ได้ ข้าจะพาท่านท่องไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพี และแนะนำให้ท่านได้รู้จักสหายมากขึ้น แล้วท่านคิดเห็นเป็นเช่นไรขอรับ?”

“จะ-จริงๆ หรือ?”

นางก้าวออกไปข้างหน้าครึ่งก้าว ดวงตาของนางสว่างวาบขึ้นด้วยแสงที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

ทว่านางก็ดูท้อแท้ สิ้นหวังไปในทันที แล้วกล่าวออกมาอย่างเศร้าสร้อยว่า “หรือว่าเจ้ายังคงปลอบใจข้าอยู่?”

“ข้าคือ เทพวารีแห่งศาลสวรรค์ เป็นเทพผู้ชอบธรรมขั้นสาม”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “โดยปกติแล้ว หากไม่จำเป็น ข้าก็จะไม่โป้ปดผู้ใด”

“นั่น คำไหนคำนั้นนะ?”

“ข้าขอฝากสิ่งนี้ไว้ให้ท่านเป็นที่ระลึก นี่คือช่วงเวลาสำคัญสำหรับท่าน”

หลี่ฉางโซ่วหยิบไข่มุกออกมาจากกระเป๋าหน้าอก และแย้มยิ้ม จากนั้นเขาก็โน้มตัวลง แล้ววางมันลงไปบนพื้น

หลี่ฉางโซ่วกล่าวกับนางว่า ให้นางโปรดถนอมตัวด้วย แล้วหยิบแส้หางม้าออกมา แล้วสะบัดมันเบาๆ ราวกับว่าเขากำลังปัดฝุ่นตรงนั้นออกไป

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับแล้วก้าวเดินไปที่ม่านน้ำ และออกจากแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถีไปโดยไร้สิ่งกีดขวางใดๆ

ทว่าเพียงขณะที่เขากระโดดออกไป ก็มีแสงสีทองสาดส่องลงมาจากฟากฟ้า และเข้าปกคลุมร่างของเขาทันที

บุญมหาศาล ลงมาจากสวรรค์!

และก่อนที่หลี่ฉางโซ่วจะทันได้นับบุญ ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ จ้าวกงหมิง นักพรตเต๋าตั๋วเป่า และไท่อี่เจินเหรินก็ได้มารวมตัวพร้อมกันแล้ว

จ้าวกงหมิงทำดมกลิ่นฟุดฟิด แล้วดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความครุ่นคิด

ในขณะนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่คลี่ยิ้มและกล่าวว่า “ศิษย์น้อง เมื่อองค์ราชินีให้เจ้าอยู่เพียงลำพังคนเดียว แล้วนางสั่งสอนอันใดเจ้าบ้างหรือ?”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เป็นเพราะเรื่องต่างๆ เกี่ยวพันกับกระบี่ทำลายล้างมนุษย์ เผ่าเวทแห่งดินแดนเทวะอุดร ศาลสวรรค์ และแดนยมโลก ราชินีโฮ่วถู่จึงขอบคุณข้าขอรับ”

บัดนั้นดวงตาของพวกเขาหลายคนล้วนฉายแววผิดหวัง

นักพรตเต๋าตั๋วเป่าโบกมือ และกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ได้เวลาแยกย้ายแล้ว ไปกล่าวอำลาจ้าวแห่งแดนยมโลก แล้วค่อยไปหาที่ดื่มกันเถิด”

จ้าวกงหมิงถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ข้าได้อะไรมากมายจากการเดินทางในครั้งนี้จริงๆ”

“ใช่แล้ว” ไท่อี่เจินเหรินกล่าวขณะเล่นกับม้วนภาพวาดในมือแล้วคลี่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ไข่มุกเทพทะเลสามารถพ่นน้ำได้ ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาข้ามากจริงๆ”

เปรี๊ยะๆ!

จ้าวกงหมิงหรี่ตาพลางแย้มยิ้ม

จากนั้นเขาก็ดีดนิ้วเบาๆ แล้วไข่มุกเทพทะเลจำนวนยี่สิบสี่เม็ดก็ปรากฏขึ้นรอบๆ กายไท่อี่เจินเหริน

ทันใดนั้นร่างของไท่อี่เจินเหรินก็ถูกตรึงอยู่กับที่กะทันหัน

“เป็นเช่นนั้นหรือ ศิษย์น้องไท่อี่?”

ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!

ฉับพลันนั้นไข่มุกทั้งยี่สิบสี่เม็ดก็พ่นลูกศรน้ำออกมาพร้อมๆ กัน ราวกับว่ายี่สิบสี่หมัดได้พุ่งระดมเข้ากระแทกใส่ไท่อี่เจินเหริน และทำให้ไท่อี่เจินเหรินตัวสั่นสะท้านไปทั้งร่าง

เมื่อเห็นเช่นนั้น กวงเฉิงจื่อก็ส่ายศีรษะในขณะที่อวี้ติ่งเจินเหรินเผยรอยยิ้มบาง

ในยามนั้น หลี่ฉางโซ่วก็อดจะตกอยู่ในภวังค์แห่งความคิดลึกซึ้งไม่ได้เมื่อเห็นเช่นนั้น ครั้นเมื่อเขาพบว่าเทพธิดาอวิ๋นเซียวยืนอยู่ข้างๆ คนเดียว เขาก็ก้าวเดินออกไปข้างหน้าตามความคิดของเขาเอง

หลังจากนี้ เขายังต้องพูดคุยอย่างลึกซึ้งกับไท่อี่เจินเหริน

ภาษาหยินหยางซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขา จะกลายเป็นชนวนกระตุ้นสงครามระหว่างสามสำนักบำเพ็ญเต๋าไม่ได้

ห่างออกไปไม่ไกลนัก ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่กำลังพูดคุยกับกวงเฉิงจื่อ และนักพรตเต๋าตั๋วเป่าถึงเรื่องวิธีจัดการกับวิชาลับที่ราชินีโฮ่วถู่มอบให้มา

เขารู้ว่าทั้งสามสำนักบำเพ็ญเต๋านั้น…

เพราะวิชาที่บรรดาศิษย์ของจอมปราชญ์ฝึกฝนนั้น ล้วนเป็นจอมปราชญ์เขียนขึ้นมาเอง

ในขณะที่ระดับฐานพลังของราชินีโฮ่วถู่นั้นยังด้อยกว่าเหล่าจอมปราชญ์เล็กน้อย …

ทว่าเขาก็ไม่อาจไม่ไว้หน้าราชินีโฮ่วถู่ได้

ดังนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จึงแนะนำว่า เขาจะถือว่าพลังเวทนี้ เป็นวิชาลับในการปกป้องสำนักบำเพ็ญเต๋าและจะไม่สั่งสอนมันให้กับบรรดาศิษย์ง่ายๆ

แน่นอนว่า กวงเฉิงจื่อและนักพรตเต๋าตั๋วเป่าย่อมไร้การคัดค้านใดๆ

……

ในแผ่นจานสังสารวัฏหกวิถี บัดนี้ ลำแสงสีเงินบนวงแหวนหญ้าเหนือศีรษะของราชินีโฮ่วถู่ได้ค่อยๆ จางหายไปทีละน้อยๆ และเหลือเพียงเสียงถอนหายใจยาวทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

“เฮ้อ แล้วจะหวังตั้งตารออันใดอยู่อีกเล่า? เราไม่อาจออกไปได้อย่างแน่นอน

ตอนนี้ข้าทำได้เพียงผสานรวมอยู่กับร่างจำแลงอื่นๆ อีกหกร่างที่เหลือเท่านั้น

บางที ข้ายังอาจถูกรังแกด้วยซ้ำ ราชินีไม่พอใจข้าอย่างแน่นอน

และในไม่ช้า อีกหกคนที่เหลือก็อาจจะคิดว่า ข้าโศกเศร้าเกินไป…

เป็นพี่น้องที่มีรากเหง้าและต้นกำเนิดเดียวกันอันใดกันเล่า?

ทุกสิ่งล้วนจอมปลอมดั่งบุปผามายาในกระจก และจันทราในวารี[2]

ข้าเศร้าใจยิ่งนัก…”

………………………………………………………………..

[1] เปรียบถึงการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อผลกำไร คือ หากตื่นเช้าแล้วไม่มีผลประโยชน์อะไร แล้วผู้ใดจะอยากตื่นเช้า

[2] เปรียบถึงสิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้ เป็นเพียงสิ่งลวงตา