บทที่ 686-2 บุตรของนาง (2)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 686 บุตรของนาง (2)

ณ สำนักบัณฑิตเทียนฉง หลังจากที่เหล่าบัณฑิตห้องหมิงซินถังทุกคนได้ผ่านช่วงเวลาที่ยากเกินบรรยาย พอถึงชั่วโมงเลิกเรียนเท่านั้น ฝูงบัณฑิตก็รีบวิ่งกรูกันออกจากห้องในทันที

กู้เสี่ยวซุ่นเข้ามาในห้องเรียนเพื่อมาหากู้เจียวก็พบว่าในห้องไม่เหลือใครอยู่เลยสักคน

เขายกมือเกาศีรษะพร้อมกับเอ่ยถาม “เอ๋ เหตุใดวันนี้ทุกคนออกไปกินข้าวกันเร็วนัก”

กู้เจียวยื่นกระเป๋าให้กู้เสี่ยวซุ่น “ข้าออกไปก่อนนะ ไม่กลับมากินข้าวแล้ว”

“ออกไปอีกแล้วหรือ แล้วถ้ากู้เหยี่ยนถามจะให้ตอบเขาว่าอย่างไรล่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นไม่กลัวฟ้ากลัวดิน จะกลัวก็แค่กู้เหยี่ยนมาเซ้าซี้นี่ล่ะ

“ตอบไปว่าข้าไปที่หอเทียนเซียง จะกลับมาตอนกลางคืน”

เมื่อได้ยินคำว่าหอเทียนเซียง กู้เสี่ยวซุ่นก็โล่งใจไปหนึ่งเปราะ เพราะหอเทียนเซียงคือที่พักแรมชั่วคราวของกู้เฉิงเฟิงซึ่งเป็นที่ปลอดภัย

“ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นรีบไปรีบมาล่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย

กู้เจียวพยักหน้า “ได้สิ”

หลังจากกู้เจียวออกมาจากสำนักบัณฑิตก็เช่ารถม้าที่อยู่แถวนั้นแล้วเดินทางไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้กับหอเทียนเซียง ระยะทางที่เหลือใช้วิธีเดินเท้าเอา

ตลอดทางกู้เจียวต้องระวังตัวเป็นพิเศษ พอมั่นใจแล้วว่าไม่มีใครสะกดรอยตามมา จึงเดินเข้าไปทางประตูหลังหอเทียนเซียง

ในตอนนั้นเอง สวี่เฟิ่งเซียนกำลังนินทาถึงกู้เฉิงเฟิงพอดี “เหอะ! วันๆ ดูทำตัวเข้าสิ! มีแขกเข้าพบก็ดันเรื่องมากไม่อยากเจอ! นู่นก็ไม่เอา นี่ก็ไม่เอา! คิดว่าตัวเองเป็นเทพยดาฟ้าดินหรืออย่างไร!”

ส่วนหยินซิ่งที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็บรรจงช่วยพับแขนเสื้อให้นาง

สักพักนางก็สะบัดแขนออก แล้วก่นด่าต่อ “อะไรกัน ข้าพูดผิดตรงไหน คิดว่าข้าเปิดร้านทำทานหรืออย่างไร ถ้าวันนี้เจ้าเด็กนั่นยังทำตัวไม่ไว้หน้าแขกอีก ข้าจะจับเขาออก…”

ขณะที่สวี่เฟิงเซียนยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ก็มีเงาของใครบางคนบดบังกลางหัวของนาง

พอเงยหน้าขึ้นเท่านั้น “ไอ้หยา!”

นางตกใจมากจนล้มลงจากเก้าอี้และก้นจ้ำเบ้ากับพื้น

เลยต้องลำบากหยินซิ่งช่วยพยุงร่างของนางขึ้นมา

“ทำไมเจ้าถึงไม่เตือนข้าสักคำว่าเขามาถึงแล้ว” สวี่เฟิ่งเซียนหันไปแยกเขี้ยวใส่หยินซิ่ง

“ข้าน้อยเตือนแล้วเจ้าค่ะ แต่ท่านไม่ได้ยินเอง” หยินซิ่งตอบอย่างเกรงกลัว

สวี่เฟิ่งเซียนแอบหันหน้าสบถเบาๆ ก่อนจะหันกลับมาคลี่ยิ้มใส่ให้คนตรงหน้า “อ้าว ท่านชาย มาตั้งแต่เมื่อไหร่ รีบนั่งเร็วเข้า! นั่งก่อน! หยินซิ่ง ไปรินชาให้ท่านชายเร็วเข้า!”

“เจ้าค่ะ!” หยินซิ่งน้อมรับแล้วรีบวิ่งออกไป

จากนั้นสวี่เฟิ่งเซียนก็เรียกให้สาวใช้หยุด “ช้าก่อน ข้าไปทำเอง เจ้ามายืนเฝ้าแทน!”

คับที่อยู่ได้แต่คับใจอยู่ยาก สวี่เฟิ่งเซียนยอมหนีไปทำอย่างอื่นดีกว่าต้องมาทนอึดอัดกับพ่อหนุ่มหัวร้อนคนนี้

อย่างไรก็ตาม กู้เจียวไม่มีกะใจมาคิดเล็กคิดน้อย จึงบอกพวกเขาไป “ข้ามาหาเขา” เอ่ยจบก็เดินขึ้นไปที่ชั้นสอง

พอกู้เจียวเดินขึ้นไป สวี่เฟิงเซียนก็ถึงกับเข่าอ่อนแล้วทรุดตัวลงบนเก้าอี้พร้อมกับปาดเหงื่อเย็น “ตกใจหมดเลย…พ่อคุณเอ๊ย…เมื่อครู่นี้ไม่เห็นมีใครมาเลย…แล้วนี่จู่ๆ มาได้อย่างไร…”

กู้เจียวเดินมาถึงชั้นสอง

กู้เฉิงเฟิงเริ่มคุ้นชินกับที่นี่แล้ว นอกจากจะมีห้องพักขนาดใหญ่เป็นของตัวเองแล้ว ยังมีบ่าวคอยรับใช้ไม่ห่าง

ต่อให้สวี่เฟิ่งเซียนปากจะบ่นถึงเขาอย่างไร แต่นางก็ไม่กล้าไล่ตัวทำเงินอย่างเขาออกไปอยู่ดี

กู้เฉิงเฟิงกำลังท่องบท ซึ่งเป็นบทละครที่เขียนในหนังสือนิทานของจี้จิ่วอาวุโส และเรื่องราวนี้ก็อยู่ในหนังสือนิทานด้วยเช่นกัน

ต้องยอมรับว่าบทละครที่เขียนโดยจี้จิ่วอาวุโสนั้นยอดเยี่ยมมาก มีทั้งเนื้อหาหักมุม ความประหลาดใจ ความน่าตื่นเต้น สิ่งสำคัญคือตอนจบของละคร มักจะมีปมให้ชวนติดตามตอนต่อไปอยู่ตลอด

และนี่คือปัจจัยที่ทำให้หอเทียนเซียงมีรายได้เข้ามาเรื่อยๆ

เมื่อมีแขกมามากขึ้น ก็สะดวกกู้เฉิงเฟิงในการสืบข้อมูลมากขึ้น

ทว่าคืนนี้เขาไม่ได้วางแผนจะสืบข้อมูลแต่อย่างใด แค่อยากรู้ว่าคืนนี้ยัยเด็กนั่นจะมาหาเขาหรือไม่ก็เท่านั้น

หารู้ไม่ว่า ทันทีที่เขาวางบทละครลง กู้เจียวก็ย่างเท้าเข้ามาในห้องทันที

“เจ้า…” กู้เฉิงเฟิงใช้เวลาพักหนึ่งกว่าจะได้สติ จากนั้นเขาปราดตามองกู้เจียวหัวจรดเท้า แล้วรีบเดินไปปิดประตูห้อง “นี่เจ้ากลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เหตุใดถึงไปนานขนาดนั้น”

กู้เจียวตอบ “ข้ากลับไปตั้งแต่เมื่อคืน เจอเรื่องเล็กน้อยก็เลยเสียเวลา”

“เรื่องเล็กน้อยอย่างนั้นรึ” กู้เฉิงเฟิงคว้าข้อมือกู้เจียวแล้วดึงแขนเสื้อขึ้นแล้วชำเลืองมองดูรอยฟกช้ำบนแขนพร้อมกับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคืองขุ่น “นี่น่ะหรือเล็กน้อยของเจ้า”

แม้จะผ่านไปหลายวันก็จริงแต่ยังคงมีรอยช้ำทิ้งไว้ แทบไม่ต้องคิดเลยว่าตอนได้แผลใหม่ๆ นั้นสาหัสขนาดไหน

กู้เจียวชักมือกลับ และเอ่ยกับเขา “เจ้าควรหาวิธีติดต่อเซียวเหิงและบอกเขาว่าข้ากลับมาอย่างปลอดภัย”

กู้เฉิงเฟิงได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจ “เจ้าถ่อมาที่นี่ก็เพื่อให้ข้าเป็นนกฮูกส่งข่าวให้เนี่ยนะ”

“ก็ไม่เสียทีเดียว” กู้เจียวตอบ

ดวงตากู้เฉิงเฟิงเริ่มเบิกกว้าง พลางนึกในใจ ช่วยรีบบอกทีว่าเจ้ามารายงานข้าด้วยเช่นกัน!

“ข้าจะมาถามเจ้าด้วยว่าเรื่องที่สืบไปถึงไหนแล้ว” กู้เจียวเอ่ย

สีหน้ากู้เฉิงเฟิงบูดบึ้งทันที

ด้วยความที่โรงละครเป็นแหล่งบันเทิงที่ได้รับความนิยมในเซิ่งตูและทำรายได้ได้ง่ายกว่าการเปิดหอนางโลม ด้วยเหตุนี้สวี่เฟิ่งเซียนจึงเปลี่ยนรูปแบบกิจการ

กลุ่มลูกค้าที่ไปหอนางโลมล้วนแต่เป็นผู้ชาย ทว่าลูกค้าที่มาฟังละครนั้นกว้างขวางกว่า และถ้าหากติดตลาดแล้ว ก็จะได้รับการสนับสนุนจากเหล่าใต้เท้าจากวังด้วย

เมืองชั้นในได้รับการควบคุมอย่างเข้มงวดและง่ายต่อการพบปะคนรู้จัก เมื่อเวลาผ่านไป เมืองชั้นนอกก็กลายเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับแขก

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา กู้เฉิงเฟิงสามารถสืบข้อมูลต่างๆ มาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

“ช่วงนี้บรรยากาศในเมืองเริ่มคึกคักขึ้น ทั้งการกลับมาขององค์หญิง รวมถึงบุตรหลานจากตระกูลขุนนางที่เดินทางไปปฏิบัติธรรมนอกเมืองก็กลับมาเช่นกัน ที่ข้ารู้จักก็มีแค่ท่านนักพรตชิงเฟิงแห่งตระกูลเฟิ่ง และท่านชายฉีเซวียนแห่งตระกูลหัน”

“ฉีเซวียนรึ ใช่ฉีเซวียนจากสำนักถังหรือไม่” กู้เจียวเอ่ยถามเพราะรู้สึกคุ้นชื่อนี้

“เจ้ารู้ได้อย่างไร” กู้เฉิงเฟิงตกใจเล็กน้อย

“เคยประลองฝีมือกันน่ะ” กู้เจียวตอบ

“เจ้า เคยต่อสู้กับเขาเหรอ นี่เจ้าได้รับบาดเจ็บเพราะเขาหรือเปล่า เจ้าไม่ได้พิการตรงไหนใช่ไหม ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่เจ้าจะต่อกรได้ง่ายๆ เลยนะ! ว่ากันว่าเขามีทักษะศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง ขนาดราชครูยังต้องพินอบพิเทาให้เขาด้วยซ้ำ! แล้วก็เพราะฉีเซวียนคนนี้นี่ล่ะที่ทำให้หันซื่อจื่อได้ขึ้นเป็นท่านชายอันดับหนึ่งของแคว้นเยี่ยน!”

กู้เจียวส่ายศีรษะ “ข้าไม่เป็นไร แล้วข้าก็ไม่ได้บาดเจ็บเพราะเขาด้วย แค่ต่อสู้กันสองตาแล้วก็แยกย้าย”

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเขาคนนั้นคือฉีเซวียน” กู้เฉิงเฟิงทำหน้างุนงง

“อาจารย์แม่หนานบอกมาน่ะ นางรู้จักเขา”

“อาจารย์แม่หนานเป็นใครมาจากไหนกันแน่” แม้กู้เฉิงเฟิงจะรู้จักกับอาจารย์แม่หนานมานานและพอรู้ว่าเป็นคนมีเบื้องหลัง กระนั้นก็ยังอดสงสัยไม่ได้อยู่ดี

“อาจารย์แม่หนานเคยเป็นศิษย์น้องของฉีเซวียนมาก่อน” กู้เจียวตอบไปตามจริง

กู้เฉิงเฟิงได้ยินดังนั้นก็อ้าปากค้าง

ศิษย์น้องของฉีเซวียนรึ ถ้าอย่างนั้น นางก็มาจากสำนักถังเหมินเหมือนกันน่ะสิ

นี่แม่สาวน้อย เจ้าเอาคนแบบไหนมาดูแลกู้เหยี่ยนกันแน่

และด้วยความที่กู้เจียวไม่รู้จักตระกูลเฟิ่ง จึงไม่ได้สนใจชื่อของนักพรตชิงเฟิงนัก นางสนใจเรื่องของฉีเซวียนเสียมาก“ที่แท้เขาก็เป็นคนของตระกูลหันหรอกหรือนี่”

ก็ดี

เจอกันครั้งหน้าจะได้ไม่ต้องออมมือ

“คราวก่อนที่เจ้าบอกว่าจะไปสืบเรื่องหนึ่งให้แน่ใจ สรุปแล้วได้ความหรือยัง” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยถามหลังจากนึกขึ้นได้

“ยัง”

นางไม่เจอองค์หญิง

“เกี่ยวกับเซียวเหิงใช่ไหม”

กู้เจียว “อืม”

เหอะ กะแล้วเชียวว่านางต้องยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อเจ้าหนุ่มนั่น

กู้เฉิงเฟิงกล่าวเสียงขึงขัง “ข้าไม่สนหรอกว่าครั้งนี้เจ้าจะกลับมาอย่างปลอดภัยหรือไม่ ครั้งต่อไปอย่าทำเรื่องไร้สาระอีก องค์หญิงไม่มีทางสู้ไท่จื่อได้หรอก รู้ไหมว่าทำไมองค์หญิงถึงกลับมาที่เมืองเซิ่งตูกะทันหันแบบนี้”

กู้เจียวส่ายศีรษะ

กู้เฉิงเฟิงเอ่ย “อันที่จริง มีข่าวลือมากมายในหมู่ชาวเมือง บางคนบอกว่าฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนต้องการประหารชีวิตองค์หญิง บ้างก็บอกว่าจะอภัยโทษให้ มีแม้กระทั่งข่าวว่าฮ่องเต้ทรงเรียกให้องค์หญิงกลับมาที่วัง ข่าวพวกนี้ล้วนเป็นข่าวเท็จทั้งสิ้น อันที่จริงเป็นตัวองค์หญิงเองที่ต้องการกลับมาต่างหาก!”

“แค่บอกว่าอยากกลับก็กลับมาได้ง่ายๆ แบบนี้รึ” หากกู้เจียวจำไม่ผิด ดูเหมือนองค์หญิงจะถูกจองจำให้เฝ้าสุสานราชวงศ์

“แน่นอนว่าทำแบบนั้นไม่ได้อยู่แล้ว ข้าทุ่มแรงกายตั้งมากกว่าจะสืบข่าวนี้มาได้!” จากนั้นสีหน้าของกู้เฉิงเฟิงก็เริ่มขรึมลง “องค์หญิง…ความจำเสื่อมแล้ว!”