บทที่ 686-3 บุตรของนาง (3)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 686 บุตรของนาง (3)

ณ ทางเดินฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของพระราชวังต้าเยี่ยน นางข้าหลวงคนหนึ่งกำลังเดินถือตะกร้าผลไม้ด้วยสีหน้าอิดโรยและเหน็ดเหนื่อยมุ่งหน้าไปยังตำหนักเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ทรุดโทรมและเก่าแก่

ครั้งหนึ่งที่นี่เคยเป็นสถานที่ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากที่สุดในวัง แต่ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว

นางข้าหลวงเดินมาที่ประตูพร้อมกับเอ่ยเรียกคนข้างใน “องค์…”

นางข้าหลวงนึกขึ้นได้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงรีบแก้ไขคำเรียก “องค์หญิงสาม…”

ก็ยังไม่ถูกต้องอยู่ดี

ในวังแห่งนี้ หากทำอะไรหรือพูดจาไม่ระวังอาจต้องโทษถึงแก่ชีวิต

นางข้าหลวงตัวเล็กยืนครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนตัดสินใจเอ่ยออกไป “หม่อมฉันนำอาหารเย็นมาวางให้แล้วเจ้าค่ะ นายหญิง!”

ไร้เสียงตอบของนายหญิง

นางข้าหลวงตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน พอก้าวข้ามธรณีประตูแล้วก็มาถึงส่วนของลานหน้าตำหนักซึ่งมีวัชพืชสูงเท่าครึ่งร่างคนขึ้นรกเต็มไปหมด อีกทั้งมีสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยที่อาจเป็นแมวป่าหรือหนูวิ่งไปอย่างรวดเร็วบนหญ้า

บรรยากาศชวนขนหัวลุกยิ่งนัก

นางข้าหลวงผู้นี้เป็นบ่าวคนใหม่ที่เข้ามาในวัง แต่ด้วยความที่นางไม่เชื่อฟังผู้ดูแล นางจึงถูกย้ายให้มาทำงานรับใช้องค์หญิง

คนข้างนอกลือกันว่าฮ่องเต้เป็นผู้เรียกองค์หญิงกลับมาที่วัง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องเท็จเสียทีเดียว เพียงแต่เหตุผลในการเรียกกลับนั้นไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทรงคำนึงถึงนาง

แต่เป็นเพราะไม่กี่วันก่อนหน้า องค์หญิงถูกคนโจมตี

อีกได้ยินมาว่าพวกนักฆ่าจงใจตัดสะพานแขวนให้ขาดเพื่อป้องกันไม่ให้องค์หญิงหลบหนี

องค์หญิงพลัดตกลงไปในทะเลสาบและมีชีวิตรอดมาได้ ทว่าต้องแลกกับการสูญเสียความทรงจำ

ไม่เพียงเท่านี้ พวกที่บุกรุกยังทำลายสุสานอย่างโหดเหี้ยม

หากเรื่องที่เกิดมีเพียงแค่องค์หญิงถูกบุกรุก คงไม่สะเทือนถึงฮ่องเต้ขนาดนี้ นี่เล่นทำลายสุสานซึ่งเป็นเกียรติยศของราชวงศ์ ไม่แปลกที่ฮ่องเต้จะทรงพิโรธ และจำต้องเรียกตัวองค์หญิงกลับวังเพื่อสืบหาเบาะแสเรื่องนี้กันต่อไป

ขันทีและนางข้าหลวงที่ดูแลองค์หญิงถูกเรียกไปสอบสวนหมด ถึงได้ให้นางข้าหลวงคนใหม่เช่นนางมาทำงานแทน

ที่แห่งนี้เคยเป็นตำหนักขององค์หญิงสามก่อนที่จะถูกแต่งตั้งให้เป็นองค์หญิง หลังจากที่องค์หญิงโดนตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับตระกูลเซวียนหยวนเพื่อก่อกบฏ คนรอบตัวขององค์หญิงล้วนถูกฆ่าล้างบางทั้งหมด

ตั้งแต่ย้ายเข้ามาทำงานที่นี่ นางข้าหลวงไม่กล้าแม้แต่จะตื่นกลางดึก เพราะกลัวว่าจะเจอกับสิ่งลี้ลับเข้า

“นายหญิงเพคะ…นายหญิง หายไปไหนหรือเพคะ นายหญิง…”

ไม่ว่านางข้าหลวงจะเดินตามหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ

“คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรหรอกกระมัง ถึงแม้องค์หญิงจะอยู่ในสภาพนั้น แต่ถ้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ข้าก็ต้องรับผิดชอบไปด้วย…”

หารู้ไม่ว่าองค์หญิงที่นางข้าหลวงสาวกำลังตามหาอยู่ขณะนี้ กำลังนั่งเอกเขนกปล่อยใจอยู่ที่ศาลาเย็นแห่งหนึ่งของตำหนัก

ศาลาเย็นที่ว่าสร้างอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ล้อมรอบด้วยราวกั้นทั้งทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้ และมีบันไดมากกว่าสิบขั้นให้เดินขึ้นจากทางด้านทิศเหนือ

ด้วยความที่ศาลาตั้งอยู่สูง ทำให้มองเห็นทิวทัศน์กว้างไกล อีกทั้งมีลมโชยอยู่ตลอด

ในศาลาเย็นแห่งนี้ มีบุรุษและสตรีนั่งอยู่ สตรีผู้นั้นสวมชุดผ้าดิบธรรมดาเฉกเช่นสามัญชน ผมยาวสีดำขลับถูกมัดเป็นแนวทแยงด้านหลังศีรษะและปักด้วยปิ่นไม้

แม้ดูภายนอกอาจไม่เห็นความแตกต่างใดๆ กับคนเดินถนนทั่วไป แต่สตรีผู้นี้ คืออดีตองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นเยี่ยน

“กระหม่อมได้ข่าวเรื่องที่เสด็จพี่เดินทางกลับมาที่วังแล้ว ทว่ากระหม่อมมีงานหลวงต้องสะสางจึงมิได้มาเยี่ยมเยียนเสด็จพี่ให้เร็วกว่านี้ โปรดเสด็จพี่ยกโทษให้กระหม่อมด้วย”

อีกฝ่ายเป็นบุรุษวัยกลางคน แม้เขาจะเรียกนางว่าเสด็จพี่ ทว่ารูปพรรณของเขากลับดูไม่อ่อนเยาว์เท่านาง

“ได้ข่าวว่าเจ้าได้เป็นไท่จื่อแล้วสิ” นางเอ่ย

ไท่จื่อหัวเราะ “เป็นเช่นนั้น หลังจากเสด็จพี่ถูกเนรเทศ เสด็จพ่อก็ทรงแต่งตั้งข้าให้ขึ้นเป็นไท่จื่อ”

“อ๋อ” องค์หญิงขานรับ ก่อนจะทอดดูทิวทัศน์ของวังรวมถึงสวนผลไม้เขียวชอุ่มที่ชวนดึงสายตา “มีสวนผลไม้ที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้มันเคยเป็นสระบัวนี่”

ไท่จื่อตอบกลับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “เสด็จพ่อสั่งให้คนมาถมบ่อน่ะ”

“อ๋อ” นางขานรับอีกครั้ง ก่อนจะเบือนหน้าลง “ข้าโปรดดอกบัวในสระนั้นเอามากๆ เลยล่ะ”

“ดูสิเสด็จพี่ ท่านยังจำเรื่องในอดีตได้อยู่เลย”

องค์หญิงส่ายศีรษะ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่อ่อนนุ่ม “ความทรงจำของข้าหยุดอยู่แค่ช่วงก่อนอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น”

“เป็นเช่นนั้นรึ” ไท่จื่อหยิบถ้วยน้ำชาบนโต๊ะแล้วยกจิบ “แล้วเสด็จพี่ทรงจำอะไรได้บ้าง”

องค์หญิงเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไประยะไกล “ข้าจำเสด็จแม่และเสด็จลุงได้ รวมทั้งพี่น้องทั้งหลาย”

ไท่จื่อหันไปมองเสด็จพี่ด้วยแววตานิ่งขรึม พร้อมกับเอ่ย “เสด็จแม่ทรงจากพวกเราไปแล้ว”

องค์หญิงพยักหน้าเบาๆ ราวกับทำใจได้แล้ว “อืม นางข้าหลวงคนใหม่เล่าให้ข้าฟังแล้ว ตระกูลเซวียนหยวนก็เช่นกัน ข้ากลายเป็นคนกำพร้าเสียแล้วสิ เสด็จพ่อไม่เอ็นดูข้าแล้ว ฉะนั้นข้าต้องอยู่อย่างระวังให้มากขึ้น ข้าจะจากไปเมื่อไหร่ก็ได้”

ไท่จื่อคอยจับตาดูสีหน้าขององค์หญิงอย่างไม่ละสายตา พลางเอ่ย “เสด็จพี่อย่าพูดเช่นนั้นสิ ท่านยังมีเสด็จพ่อและข้านะ”

“พระสนมหันดูแลข้าดีมาก เจ้าเองก็เช่นกัน” องค์หญิงเอ่ยเบาๆ

ไท่จื่อยิ้มให้นาง “ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว”

องค์หญิงไม่ได้ตรัสอะไรต่อและตั้งใจชมทัศนียภาพรอบๆ พระราชวัง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกมองได้ไม่เต็มอิ่มเสียที อาจเป็นเพราะนางจากที่นี่ไปนาน

สายลมยามเย็นพัดผ่านใบหน้าที่งดงามและอ่อนเยาว์ของนาง ไม่ว่าใครที่ได้มายลโฉมต่างก็เกิดความอิจฉาที่กาลเวลาทำอะไรใบหน้าองค์หญิงผู้นี้มิได้เลย

ไท่จื่อสั่งให้ขันทีและนางในที่ยืนเฝ้าให้ออกไป “พวกเจ้าออกไปก่อน”

“ขอรับ! เพคะ!”

เหล่าบ่าวรับใช้จึงทยอยเดินออกไป

แสงอัสดงส่องสะท้อนกับดวงตาคู่สวยราวกับดาราจักรที่สูญหายไปในห้วงอวกาศ

ดวงตาเหล่านี้เอง ดวงตาเหล่านี้ที่เหมือนกับของตระกูลเซวียนหยวนทุกประการ แม้จะดูไร้พิษภัย แต่ก็สามารถทำให้ผู้คนรู้สึกกดดันทางจิตวิญญาณได้

“เสด็จพี่” ไท่จื่อเอ่ยเรียกนาง

ทว่าองค์หญิงไม่ขานตอบหรือแม้กระทั่งหันมา ยังคงนั่งมองทิวทัศน์ดังเดิม “วันนี้เจ้าพูดเยอะกว่าปกตินะ ข้าขอชื่นชมทิวทัศน์นี้ก่อนได้ไหม”

ไท่จื่อมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มของเขาจางหายไป พลางเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เสด็จพี่สูญเสียความทรงจำจริงๆ หรือ”

ไท่จื่อฉีกยิ้มทันที “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อ เพียงแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเสด็จพี่มันดูเกินจริง นี่ เสด็จพี่ ไม่มีใครอยู่ที่นี่แล้ว ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรแล้วล่ะ”

“ข้าก็ไม่ได้ปิดบังอะไรนี่” นางเอ่ย

ไท่จื่อหัวเราะเยาะ “จริงหรือ เมื่อครู่นี้พอข้าถามว่าเสด็จพี่จำอะไรได้บ้าง เสด็จพี่ก็เอาแต่พูดถึงเสด็จแม่และลูกหลานของตระกูลของเสด็จแม่ แต่ไม่ได้พูดถึงเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จพี่เลย หรือว่าเสด็จพี่จะลืมลูกชายของตัวเองไปแล้ว”

องค์หญิงส่ายศีรษะ “ข้าบอกแล้วว่าจำเรื่องราวตั้งแต่ที่ข้าอายุสิบเจ็ดเป็นต้นไปไม่ได้แล้ว”

ไท่จื่อลุกขึ้น แล้วโน้มตัวเข้าไปใกล้ๆ เสด็จพี่ของเขา “ท่านคงลืมไปแล้วสินะ เช่นนั้นข้าจะช่วยเสด็จพี่เตือนความจำเอง ตอนที่เสด็จพี่อายุได้สิบเจ็ดปี จู่ๆ ท่านก็หายตัวไปจากแคว้นเยียน หลังจากนั้นท่านก็ให้กำเนิดบุตรชายที่มีนามว่า…”

“ข้านึกออกแล้วล่ะ เขาชื่อหวงฝู่ชิ่ง” องค์หญิงตรัสพร้อมกับคลี่ยิ้ม

“ไม่ใช่” จากนั้นไท่จื่อก็โน้มตัวเข้าไปกระซิบชื่อชื่อหนึ่งที่ข้างหูของนาง

องค์หญิงตัวแข็งทื่อในทันที

“ดูเหมือนเสด็จพี่จะจำอะไรไม่ได้จริงๆ สินะ” ไท่จื่อหัวเราะ แล้วลุกขึ้นยืน “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ข้าต้องขอตัวก่อน”

เอ่ยจบเขาก็เตรียมเดินออกจากศาลาเย็น ขณะที่เท้าข้างหนึ่งกำลังจะก้าวลงบันไดขั้นแรก จู่ๆ เขานึกอะไรขึ้นได้แล้วหันกลับมายิ้มให้ “ข้าลืมมอบของขวัญเนื่องในโอกาสที่เราไม่ได้เจอกันนานเสียสนิทเลย”

เขาเดินกลับมาที่โต๊ะหิน ก่อนจะหยิบห่อเนื้ออบแห้งออกมาแล้ววางไว้บนโต๊ะ

“ข้าซื้อเนื้ออบแห้งจากร้านที่เสด็จพี่เดินทางผ่านวันนี้” ไท่จื่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้มที่สนเท่ห์ “ของขวัญชิ้นนี้ หวังว่าเสด็จพี่จะพึงพอใจ”

“ช้าก่อน”

ขณะที่ไท่จื่อกำลังจะเดินออกจากศาลาเย็น จู่ๆ นางก็เรียกเขา

“เสด็จพี่นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้แล้วใช่ไหม อย่างเช่น เรื่องใดที่ท่านควรและไม่ควรรายงานให้เสด็จพ่อทรงทราบ”

องค์หญิงคลี่ยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ “ไม่ใช่ ข้าแค่นึกขึ้นได้ว่า ข้าก็มีของขวัญให้เจ้าเช่นกัน”

ตรัสจบ นางก็ค่อยๆ เดินเข้ามาหาไท่จื่อพร้อมกับฉีกยิ้มให้

ก่อนจะยื่นมือผลักร่างของไท่จื่อลงจากบันไดอันสูงชัน!