บทที่ 687 คนเป็นแม่ต้องเข้มแข็ง

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 687 คนเป็นแม่ต้องเข้มแข็ง

ตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น หากไม่ตาย ก็ต้องมีพิการกันบ้าง

ขณะเดียวกัน ทหารลับที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก็พลันปรากฏตัวเข้าคว้าร่างของไท่จื่อได้ทันเวลาพอดี พร้อมทั้งเปิดฉากการโจมตีตามสัญชาตญาณ

พวกเขาฟาดองค์หญิงลงไปหนึ่งฉาด

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” ไท่จื่อสั่งห้าม

ทว่าช้าไปเสียแล้ว องค์หญิงที่ถูกฝ่ามือขององครักษ์ลับโจมตีก็เกิดเซล้มชนกับโต๊ะหินก่อนจะร่วงลงไปบนพื้น พร้อมกับรอยเลือดที่ไหลออกจากมุมปาก

“นายหญิงเพคะ!”

เสียงตะโกนร้องดังขึ้นไม่ไกลนัก

เป็นเสียงของนางข้าหลวงตัวน้อยที่กำลังออกตามหานายของตัวเองอย่างว้าวุ่นใจ

อีกทั้งนางยังขอให้ขันทีและทหารยามบางส่วนร่วมด้วยช่วยกัน รวมกันเป็นห้าคน

พวกเขาไม่ทันได้เห็นตอนที่ไท่จื่อตกบันไดลงมา แต่กลับมาเห็นภาพตอนที่ทหารองครักษ์ลับของไท่จื่อกำลังทำร้ายร่างกายนายหญิงของตัวเองจนเลือดตกยางออก

ทุกต่างตกใจกับสิ่งที่เห็น และอดคิดไม่ได้ว่าไท่จื่อทรงทำเช่นนั้นไปเพื่ออะไร เหตุใดถึงสั่งให้ทหารทำร้ายพระองค์ บริเวณรอบๆ ไม่มีบ่าวคุ้มกันเลยสักคน ทรงตั้งใจให้เรื่องนี้เป็นความลับสินะ

ถ้าพวกเขาไม่บังเอิญเข้ามาเห็นพอดี เกรงว่าป่านนี้องค์หญิงคงสาหัสกว่านี้

จนพวกเขาอดนึกถึงเหตุการณ์ที่องค์หญิงถูกซุ่มโจมตีไม่ได้ หรือว่าจะเป็นฝีมือของ…

“เจ้า…” ไท่จื่อจ้ององค์หญิงด้วยสายตาอำมหิต “ซ่างกวานเยี่ยน เจ้ามันร้ายกาจ!”

“เรื่องราวก็ประมาณนี้” กู้เฉิงเฟิงอธิบายให้กู้เจียวฟัง “องค์หญิงสูญเสียความทรงจำ ลืมแม้กระทั่งชื่อของลูกตัวเอง เดี๋ยวก็เรียกจางชิ่ง เดี๋ยวก็หลี่ชิ่ง ใครถามอะไรก็พูดไปเรื่อย แล้วก็ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้ยั่วโมโหไท่จื่อจนต้องสั่งให้องครักษ์จัดการ ส่วนเรื่องที่นางถูกลอบโจมตีนอกเมืองก็ยังหาเบาะแสไม่ได้ พูดอีกนัยน์นึงก็คือ คนของไท่จื่อเก็บงานหมดเสียจนไม่ทิ้งร่องรอยให้ใครตามจับได้ แต่พอเกิดเรื่องนี้ขึ้น ไท่จื่อเลยกลายเป็นผู้ต้องสงสัยรายใหญ่ไปโดยปริยาย!”

“ไท่จื่อเป็นคนไร้ความอดทนขนาดนั้นเชียวรึ” เป็นไปได้หรือที่เขาจะกล้าก่อเรื่องในวังที่มีฮ่องเต้ประทับอยู่ทั้งคน กลัวไม่มีใครสงสัยเขาหรืออย่างไร

กู้เจียวมองว่าเรื่องนี้มีลับลมคมใน

“ใครน่ะ!” กู้เจียวหันไปทางประตู

“ข้าเอง!”

เป็นสวี่เฟิ่งเซียน

“เข้ามา” กู้เจียวเก็บเข็มพิษลง

สวี่เฟิ่งเซียนค่อยๆ เปิดประตูออก เดินเข้ามาพร้อมกับถาดผลไม้ ก่อนจะหันไปยิ้มเจื่อนให้ท่านชายทั้งสอง “เพิ่งปอกสดๆ เลย”

พอวางเสร็จ ก็ทำท่าจะเดินออกไป “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”

“ช้าก่อน” กู้เจียวเอ่ย

“ท่านชายต้องการอะไรหรือเจ้าคะ” สวี่เฟิ่งเซียนหันกลับมาพร้อมกับรอยยิ้มและหัวคิ้วที่ย่นชิดกัน

“เรื่องเมื่อครู่นี้ เจ้ามีความเห็นอย่างไร”

กู้เฉิงเฟิงหันไปจ้องกู้เจียวอย่างตกตะลึงหลังจากที่นางพูดออกไป

“เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ไม่ได้ยินแม้แต่คำเดียวเจ้าค่ะ!” สวี่เฟิ่งเซียนโบกมือปัด

ทันใดนั้น กู้เจียวจับด้ามมีดขึ้นมา

“ยอมพูดก็ได้เจ้าค่ะ!” สวี่เฟิ่งเซียนเข่าอ่อนหน้าซีดจนต้องเอามือค้ำไว้กับโต๊ะ

แล้วกู้เจียวก็บรรจงหั่นผลไม้ที่อยู่บนถาด ก่อนจะหันไปมอง “อืม ว่ามาสิ”

สวี่เฟิ่งเซียนจ้องเขม็งชิ้นผลไม้ในถาดที่ถูกหั่นจนบาง พลางนึกในใจ

ที่แท้ก็หั่นผลไม้นี่เอง นึกว่าจะหั่นข้าเสียอีก!

ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว คงไม่ต้องปิดบังแล้วล่ะ

สวี่เฟิ่งเซียนหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก พร้อมกับเอ่ย “ข้าเองก็ได้ยินไม่เยอะนักหรอก รู้แค่ว่าพวกเจ้ากำลังพูดถึงองค์ไท่จื่อกับองค์หญิง ถ้าถามข้า ข้าคิดว่าเป็นความตั้งใจของไท่จื่อ”

“ไท่จื่อทรงเขลาขนาดนั้นเลยรึ” กู้เจียวสงสัย

“แน่นอนว่าเขาไม่ใช่คนเขลา ในเมื่อคนในวังรู้เรื่องแล้ว อีกทั้งเห็นๆ กันอยู่ว่าคนของไท่จื่อเป็นฝ่ายทำร้ายองค์หญิง” แม้แต่สวี่เฟิ่งเซียนยังรู้สึกว่าการกระทำนี้ดูไม่ใช่ไท่จื่อเอาเสียเลย แต่ความจริงก็คือความจริง

กู้เฉิงฟิงเอามือลูบคางพร้อมกับครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยความเห็นของตัวเอง “อาจเป็นแผนซ้อนแผนขององค์หญิงก็เป็นได้ สมมติว่าองค์หญิงจงใจลงมือกลั่นแกล้งไท่จื่อก่อน จนคนของไท่จื่อต้องออกมาปกป้อง”

อาจเป็นเพราะเขาท่องบทของจี้จิ่วอาวุโสมากไปจนทำให้มีความคิดซับซ้อนเช่นนี้

สวี่เฟิ่งเซียนโบกมือสะบัดผ้า พร้อมกับเอ่ยขึ้น “พวกท่านไม่รู้อะไร ข้าขอเลือกที่จะเชื่อว่าเป็นฝีมือของไท่จื่อ ดีกว่ามองว่าองค์หญิงเป็นคนผิด เหตุผลก็คือ…”

จากนั้นสวี่เฟิ่งเซียนก็วางมาดขึงขังขึ้นมาทันใด “เพราะองค์หญิงคือความภาคภูมิใจของแคว้นเยี่ยนชาวเราอย่างไรเล่า”

องค์หญิงผู้นี้เคยต้องโทษประหาร ทว่าไม่เคยเอ่ยปากอ้อนวอนขออภัยโทษแม้แต่คำเดียว

ผู้ที่ถูกแส้จำนวนนับไม่ถ้วนฟาดลงเนื้อหนังจนเลือดซิบ ถูกทุบตีจนร่างเกือบแหลกท่ามกลางสายตาของเหล่าราชวงศ์ ขุนนาง และพลเรือนในวังจินหลวน ความบอบช้ำทั้งทางกายและทางใจ หรือแม้กระทั่งศักดิ์ศรีที่ถูกย่ำยีจนป่นปี้ กระนั้น องค์หญิงผู้นี้กลับไม่หลั่งน้ำตา ไม่ครวญคราง และไม่พูดคำสำนึกผิดแม้แต่นิด

หากพระองค์ยอมลดทิฐิของตัวเองลง และวอนขอให้ฮ่องเต้ลดโทษให้ คงไม่ลงเอยแบบนั้น

ปลดตำแหน่งองค์หญิงลงอย่างน้อยก็ยังได้เป็นองค์หญิง ทว่าพระองค์กลับเลือกที่จะอยู่เฉกเช่นสามัญชน ปลีกตัวจากโลกภายนอก และไม่ร้องขอความช่วยเหลือจากผู้ใด

และนั่นก็คือตัวตนของพระองค์

“คนอย่างองค์หญิงฆ่าได้แต่หยามไม่ได้ ที่ข้าพูดเช่นนี้เจ้าอาจจะไม่เข้าใจ เฮ้อ ข้าเองก็เริ่มหมดคำจะพูดแล้ว เอาเป็นว่า ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าคิดจริงๆ ก็อาจแปลว่า…ต้องมีเรื่องอะไรบางอย่างที่พระองค์กำลังปกป้องอยู่ และเป็นเรื่องที่ใหญ่กว่าศักดิ์ศรีและความเป็นความตายของพระองค์ด้วย”

ณ ตำหนักเย็นแห่งวังหลวง

ซ่างกวานเยี่ยนยังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน นางข้าหลวงเห็นดังนั้นจึงเอ่ยเตือนนายหญิงด้วยความเป็นห่วง “นายหญิงเพคะ พวกเรารีบกลับกันเถอะ นายหญิงทรงบาดเจ็บอยู่ อย่างน้อยกลับไปบรรทมก่อนดีไหมเพคะ ประเดี๋ยวจะมีคนมาซักถามถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้นะเพคะ”

ซ่างกวานเยี่ยนไม่เอ่ยคำใด

และนั่นยิ่งทำให้นางข้าหลวงเริ่มร้อนรน “เช่นนั้น กลับไปเสวยอาหารก่อนดีไหมเพคะ”

ซ่างกวานเยี่ยนยังคงไม่พูดเช่นเดิม

นางข้าหลวงเอามือกุมขมับ “ก็ได้เพคะ เดี๋ยวหม่อมฉันไปหยิบเครื่องเสวยมาให้นะเพคะ นายหญิงรออยู่ที่นี่อย่าไปไหนนะเพคะ!”

แล้วนางข้าหลวงก็รีบกลับไปที่ตำหนัก

ซ่างกวนเยี่ยนนั่งอยู่เงียบๆ ในศาลาเย็น มองไปทางตำหนักเฟิงฉีและจวนตระกูลซวนหยวน

ลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นจนเส้นผมของนางปลิวไสว

ทันใดนั้น ร่างเล็กของใครบางคนที่สวมเครื่องประดับสีชมพูก็กำลังเดินขึ้นบันไดมา ก่อนจะมาปรากฏตรงศาลาเย็น

“เอ๊ะ เจ้าคือผู้ใดรึ” ร่างเล็กชะเง้อหัวออกไปมองและเอ่ยถามใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หิน

ซ่างกวานเยี่ยนหันไปตามเสียงเล็กๆ ที่อยู่ด้านหลัง

เมื่อเห็นเด็กสาวหน้าตาจิ้มลิ้มในฉลองพระองค์ องค์หญิงก็คลี่ยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับตอบกลับ “ข้าคือซ่างกวานเยี่ยน แล้วเจ้าล่ะ เป็นใครกัน”

“อ้อ” โดยสัญชาตญาณของเด็กแล้วมักรู้ว่าใครมาร้ายมาดี องค์หญิงน้อยรู้สึกถึงความเมตตาจากอีกฝ่าย จึงค่อยๆ ย่องออกมาจากด้านหลังเสา “ข้ามีนามว่าซ่างกวานเสวี่ย แต่พวกเขาเรียกข้าว่าองค์หญิงน้อย”

“องค์หญิงน้อย” ซ่างกวานเยี่ยนจึงเรียกเช่นนั้น

จากนั้นองค์หญิงน้อยก็ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หิน

ทว่าเก้าอี้นั้นอยู่สูงเกินไป ปีนอย่างไรก็ปีนไม่ถึง

ซ่างกวานเยี่ยนจึงช่วยอุ้มขึ้นมา

พอนั่งได้ที่แล้ว องค์หญิงน้อยก็วางมาดตามเคย “ขอบใจมาก! ว่าแต่ เจ้าก็มาจากตระกูลซ่างกวานรึ เป็นเจ้าหญิงรึ หรือเป็นองค์หญิงแบบเดียวกับข้า”

ถ้าอยู่ข้างนอก คงจะไม่ถามคำถามนี้ แต่ชื่อตระกูลซ่างกวาน หากอยู่ในวังหลวงก็คือสมาชิกของราชวงศ์

“ไม่ใช่ทั้งคู่” ซ่างกวานเยี่ยนตอบ

“เอ๋” องค์หญิงน้อยยกมือเกาฉลองพระองค์ด้วยความงุนงง คนที่จะมาจากตระกูลซ่างกวานในวังจะไม่ใช่ทั้งเจ้าหญิงหรือองค์หญิงได้อย่างไร

ทว่าความคิดของเด็กมักไม่ซับซ้อนเท่าผู้ใหญ่

ไม่ใช่ก็คือไม่ใช่

หลังจากที่องค์หญิงน้อยร้องอ๋อ ก็เอ่ยถามต่อ “เยี่ยนซานจวิ้นคือเสด็จพ่อของข้า แล้วเสด็จพ่อของเจ้าคือใครกัน”

ซ่างกวานเยี่ยนมองอีกฝ่ายพร้อมกับดวงตาที่เบิกกว้าง “ที่แท้ท่านก็เป็นบุตรของเสด็จลุงเก้านี่เอง”

องค์หญิงน้อยเป็นเด็กฉลาด จึงตอบสนองอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินประโยคนี้ “เจ้าเรียกเสด็จพ่อของข้าว่าลุงเก้า เช่นนั้น ข้าก็เป็นพระภราดาตัวน้อยของเจ้าน่ะสิ! แต่ทำไมข้าไม่เห็นเจ้ามาก่อนล่ะ แล้วเจ้าเป็นบุตรของใคร เหตุใดเจ้าถึงไม่ตอบข้าล่ะ หรือว่าจะ…

แล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีเสด็จลุงหลายคนสิ้นลมไปก่อนที่นางจะกำเนิดด้วยซ้ำ

เมื่อคิดได้ดังนั้น องค์หญิงน้อยจึงขมวดคิ้วอย่างเคร่งขรึมพร้อมกับปีนขึ้นโต๊ะหินแล้วยื่นมือตบที่บ่าของซ่างกวานเยี่ยนเบาๆ “จะเศร้าไปไย”

“ข้าไม่เป็นไร ข้าไม่ได้เจอเขามาสิบกว่าปีแล้ว”

แม้แต่การกลับมาที่วังครั้งนี้ก็ทรงไม่เรียกนางเข้าพบ ส่วนนางเองก็ไม่ได้เข้าไปถวายบังคมเขาเช่นกัน

องค์หญิงน้อยรับรู้ได้ในทันที และไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีก

“องค์หญิงน้อยเพคะ!”

“องค์หญิงน้อยเพคะ!”

“องค์หญิงน้อยอยู่ไหนเพคะ!”

“ไอ้หยา พวกเขามาตามข้าจนได้! ข้าอยู่เป็นเพื่อนเจ้าต่อไม่ได้แล้วล่ะ” องค์หญิงน้อยค่อยๆ ไถลตัวลงจากเก้าอี้และโบกมือให้ซ่างกวานเยี่ยน “ลาก่อน เสด็จพี่!”

เหล่านางข้าหลวงได้พาองค์หญิงน้อยกลับไปที่ตำหนักของฮ่องเต้

เยี่ยนซานจวิ้นเป็นพระโอรสหลังการมรณกรรมของจักรพรรดิองค์ก่อนและไทเฮา เขาอายุน้อยกว่าฮ่องเต้ราวยี่สิบปี และได้รับการเลี้ยงดูในฐานะโอรสของฮ่องเต้

แม้ฮ่องเต้จะทรงเอ็นดูเยี่ยนซานจวิ้นในฐานะโอรส ทว่าทรงไม่ได้คาดหวังให้เขามาเป็นองค์รัชทายาทเพื่อสืบสกุลหรืออย่างใด ในเมื่อไม่มีความคาดหวัง ก็ย่อมไม่ผิดหวัง และนั่นทำให้เยี่ยนซานจวิ้นเป็นหนึ่งในบรรดาพระอนุชาที่ได้รับความรักและเอ็นดูจากฝ่าบาทมากที่สุด

และองค์หญิงน้อยก็พลอยได้รับไปด้วย

พอมาถึงที่ตำหนัก องค์หญิงน้อยก็มุ่งหน้าตรงไปยังห้องทรงงานของฝ่าบาท

ห้องทรงงานเป็นสถานที่สำคัญที่แม้แต่องค์ชายและองค์หญิงก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามต้องการ แต่ไม่ใช่สำหรับองค์หญิงตัวน้อยคนนี้

นางเข้าออกที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้

ฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนผู้เผด็จการกำลังอ่านฎีกาในมือของเขาด้วยสีหน้าเย็นชา แต่พอเห็นเด็กหญิงร่างเล็กเดินเข้ามา สีหน้าของเขาก็อ่อนนุ่มลงเล็กน้อย แต่ก็ยังดูน่าเกรงขามอยู่ดี

เพียงแต่องค์หญิงน้อยคุ้นชินแล้ว

“ไปเล่นที่ไหนมารึวันนี้” ฮ่องเต้ตรัสถาม

“ทูลฝ่าบาทเสด็จลุง” องค์หญิงน้อยโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึมก่อน จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “วันนี้หม่อมฉันไปเล่นที่ตำหนักย็น และได้พบกับลูกพี่ลูกน้องของหม่อมฉันด้วย”

ฮ่องเต้นั่งฟังพร้อมกับจิบน้ำชา

“นางมีนามว่าซ่างกวานเยียน แต่นางน่าสงสารมากเลยเพคะ เพราะบิดาของนางจากไปสิบกว่าปีแล้ว!”

ฮ่องเต้ถึงกับสำลักน้ำชาออกมา