บทที่ 689 ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว!

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 689 ถึงจุดจบของเจ้าแล้ว!

หนานกงลี่รีบเรียกทหารองครักษ์ให้มาเข้าพบทันทีที่เขาเดินทางกลับมาถึงจวน

ทว่าทหารองครักษ์กลับให้คำตอบด้วยสีหน้าที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก “เรียนท่านนายพล งานนี้ต้องใช้เวลาสืบพอสมควรเลยขอรับ แล้วนี่ก็เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน…ต่อให้เราต้องไปที่ทางการเพื่อเปิดบัญชีรายชื่อคนเข้าเมืองทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายวันนะขอรับ”

สิ่งที่เขาพูดมานั้นไม่เกินจริง การจะสืบเรื่องของใครสักคนต้องใช้เวลา

แม้รายชื่อของราษฎรทั้งคนนอกคนในจะถูกแบ่งออกอย่างเป็นระบบ แต่ปัญหาก็คือคนนอกเมืองที่เดินทางเข้าแคว้นเยี่ยนนั้นมีจำนวนมหาศาล และใช่ว่าทางการจะยินยอมให้พวกเขาสืบค้นข้อมูลได้ง่ายๆ

ถ้าเป็นคนที่ติดตามการแข่งขันตีคลีคงจะคุ้นชื่อเซียวลิ่วหลังกันบ้าง หากแต่หนานกงลี่ไม่ใช่คนที่สนใจการแข่งตีคลีเท่าใดนัก

ไม่ใช่ว่าหนานกงลี่ไม่แยแสกับความลำบากของลูกน้อง แต่เขาก็มีปัญหาของตัวเองเช่นกัน

ไท่จื่อมิได้ให้ตระกูลหันรับรู้ถึงเรื่องที่เขาวางแผนลอบสังหารเซียวลิ่วหลัง เขาได้รับความไว้วางใจให้มีหน้าที่รับผิดชอบสำคัญ แต่สุดท้ายเขากลับล้มเหลวในหน้าที่

หากฮ่องเต้รู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาต้องตกที่นั่งลำบากอย่างแน่นอน!

หนานกงลี่ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยขึ้น “ข้าไม่สนหรอกนะว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร แต่เจ้าต้องตามหาเซียวลิ่วหลังให้เจอภายในสามวัน!”

ทหารองครักษ์ได้แต่เก็บความลำบากใจไว้ข้างใน อย่าว่าแต่สามวันเลย เผลอๆ สามสิบวันยังไม่พอด้วยซ้ำ

ให้ตามหาคนคนเดียวในเมืองเซิ่งตูที่เต็มไปด้วยราษฎรตั้งมากมาย นี่มันยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรอีกนะ

“ถ้ามีคนของเราในสำนักทะเบียนก็ดีน่ะสิขอรับ” ทหารองครักษ์ตัดพ้อ

ราชเลขากรมทะเบียนมาจากตระกูลหวัง ซึ่งเป็นตระกูลที่ไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับตระกูลหนานกงมากนัก ตระกูลหวังเป็นตระกูลเก่าแก่ที่เจริญรุ่งเรืองมีอายุร่วมศตวรรษอย่างแท้จริงและความแข็งแกร่งของตระกูลยังสูงกว่าตระกูลหันอีกด้วย

ถ้าพระสนมหวังเสียนเฟยไม่ได้ให้กำเนิดบุตรชาย ก็คงไม่ชัดเจนว่าใครจะขึ้นครองบัลลังก์

จะใช้วิธีแอบเข้าไปก็คงไม่ได้เช่นกัน ทั้งสองตระกูลต่างก็มีมือดีทั้งคู่ เกิดสู้กันขึ้นมาจนเรื่องบานปลายมีแต่จะเสียกับเสีย

หนานกงลี่ย่นคิ้วลงอีกครั้ง “มัวแต่พูดเพ้อเจ้ออยู่ได้ รีบไปหาคนมาช่วยสิ!”

“ขอรับ!”

ทหารองครักษ์จึงเดินออกไป

หนานกงลี่หลับตาลง

เขาต้องตามหาเจ้าเด็กเซียวลิ่วหลังนั่นให้เจอ แล้วฆ่าทิ้งเสีย!

เขาทำให้ไท่จื่อผิดหวังในตัวเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ไม่ควรมีครั้งที่สองเกิดขึ้น!

ก่อนที่หนานกงลี่จะกลับไปที่ห้องเพื่อพักผ่อน เขาก็นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เยี่ยมเจ้าลูกชายคนเล็กมาสองวันแล้ว

คิดได้ดังนั้น เขาก็หันหลังกลับแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องของหนานกงหลิน

หนานกงหลินไม่รู้ว่าพ่อของเขากำลังมาที่ห้อง เขานอนเอกเขนกตะแคงข้างอยู่บนเตียง กระดิกเท้า ฟังบ่าวคนสนิทเล่าเรื่องการแข่งขัน “เจ้าแน่ใจหรือ พวกเทียนฉงแพ้แล้วอย่างนั้นรึ”

บ่าวคนสนิทหัวเราะพร้อมกับพยักหน้า “เป็นจริงขอรับท่านชาย! ข้าน้อยเห็นกับตาตัวเอง พวกเขาแพ้ราบคาบเลยขอรับ!”

“เหอะ เจ้าพวกนี้ ไม่รู้เสียแล้วว่ากำลังเล่นกับใคร นั่นเป็นสำนักบัณฑิตของจวนกั๋วซือเซียวนะ!” หนานกงหลินเอ่ยพร้อมกับตบเข่าฉาดด้วยความสะใจ

“ท่านชายพูดถูกขอรับ!”

จากนั้นหนานกงหลินก็คว้าลูกองุ่นเข้าปาก ก่อนจะถามต่อ “เจ้าเซียวลิ่วหลังนั่นคงโมโหน่าดูสินะ”

บ่าวคนสนิทตอบกลับ “เขาไม่ได้ร่วมแข่งขอรับ”

หนานกงหลินขมวดคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร”

บ่าวคนสนิทอธิบายเสริม “การแข่งรอบนั้น เซียวลิ่วหลังไม่ปรากฏตัวตั้งแต่ต้นจนจบ ขนาดท่านชายมู่ชวนที่เพิ่งฟื้นจากอาการบาดเจ็บมาหมาดๆ ยังลงแข่งเลยขอรับ ข้าน้อยเลยลองถามคนอื่นๆ ดูเหมือน… เซียวลิ่วหลังป่วยหนักจนไม่สามารถมาลงแข่งได้ขอรับ”

“สมน้ำหน้า! ถึงคราวของมันแล้วสินะ!” หนานกงหลินโพล่งหัวเราะชอบใจ

“นั่นสิขอรับ…เอ๋ ตะ… ใต้เท้า!” ขณะที่บ่าวกำลังเอ่ยเสริม จู่ๆ เขาก็เห็นหนานกงลี่ ยืนอยู่ที่ประตู ใบหน้าของเขาซีดลงด้วยความหวาดกลัว

“ท่านพ่อ!” หนานกงหลินรีบสำรวมท่านั่ง ก่อนจะโบกมือให้สาวใช้ออกไป

สาวใช้เก็บจานผลไม้แล้วโน้มตัวลง “ใต้เท้าเจ้าคะ”

“พวกเจ้าออกไปให้หมด” หนานกงลี่พยายามเก็บอาการไม่พอใจที่มีต่อลูกชายแล้วบอกให้คนที่เหลือออกไปก่อน

“เจ้าค่ะ ขอรับ” บ่าวและสาวใช้ต่างรีบเดินออกไปโดยไม่ลืมหันมาปิดประตูให้พวกเขา

“ท่านพ่อ ดึกขนาดนี้แล้ว มาหาข้าด้วยเหตุใดรึ” หนานกงหลินถาม

หนานกงลี่เหลือบมองเขาอย่างเย็นชา “นี่น่ะหรือสภาพคนป่วย ก็เลยขอลาหยุดเรียนใช่ไหม”

“ข้า…” หนานกงหลินเอ่ยอย่างรู้สึกผิด “แค่อยากยืดเส้นยืดสายน่ะ”

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดไม่ใช่ตอนที่เด็กถูกจับได้ว่าทำผิด แต่เป็นเมื่อถูกจับได้แล้วกลับไม่ยอมรับผิด

หนานกงลี่ง้างมือเตรียมสั่งสอนเจ้าลูกชายไม่รักดี หนานกงหลินตกใจมากจนเอามือปิดหัว

แต่พอเห็นรอยแผลเป็นบนข้อมือของเขา ผู้เป็นพ่อจึงระงับความโกรธแล้ววางมือลง “พรุ่งนี้กลับไปเรียนหนังสือ!”

“อ้อ” หนานกงหลินตอบอย่างไม่เต็มใจ

“อะไรของเจ้า!” หนานกงลี่ตะคอก

“ไป ไป ไปขอรับ ข้าจะกลับไปเรียนหนังสือ!” หนานกงหลินรีบตอบ

“เมื่อครู่นี้ข้าได้ยินเจ้าพูดถึงคนที่ชื่อเซียวลิ่วหลังอะไรนั่น เขาเป็นใครรึ” หนานกงลี่เอ่ยถาม

“อ๋อ เจ้านั่น เป็นบัณฑิตมาจากแคว้นอื่นน่ะขอรับ” หนานกงหลินไม่เคยบอกความจริงเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขาให้คนในตระกูลฟัง ประการแรก พ่อของเขาไม่อนุญาตให้เขาโกงการแข่งขัน และอย่างที่สอง เพราะตัวเองเป็นฝ่ายโกงแล้วยังโกงไม่สำเร็จจนล้มหน้าแหกอีก

ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่ามันเป็นเพียงอุบัติเหตุและไม่ได้สนใจที่จะถามถึงผู้เล่นคนอื่น

“มาจากแคว้นไหน” ดวงตาของหนานกงลี่ฉายแววใคร่รู้

“รู้สึกจะเป็น…แคว้นเจาหรือแคว้นจ้าวนี่ล่ะ ข้าจำไม่ได้แล้ว”

หนานกงลี่เริ่มกำหมัดแน่น “เขาเป็นบัณฑิตเข้าใหม่รึ”

หนานกงหลินพยักหน้า “ใช่แล้วขอรับ”

“เขามาจากสำนักบัณฑิตอะไร” หนานกงลี่ถาม

หนานกงหลินตอบ“สำนักบัณฑิตเทียนฉงอย่างไรเล่าท่านพ่อ ที่เข้ารอบสุดท้ายแต่ดันแพ้ให้สำนักบัณฑิตเจียหนาน”

สำนักบัณฑิตเทียนฉง เซียวลิ่วหลัง มาจากแคว้นระดับล่าง

เหอะ เส้นผมบังภูเขาแท้ๆ !

เซียวลิ่วหลัง จุดจบของเจ้ามาถึงแล้ว!

กู้เจียวเดินทางกลับมาถึงที่เรือนเรียบร้อย

ข้างนอกฟ้ามืดแล้ว อาจารย์แม่หนานกำลังนั่งปักผ้าอยู่ในห้องโถง นอกจากฝีมือครัวของนางจะไม่ได้เรื่องแล้ว ฝีมือเย็บปักถักร้อยของนางเองก็ไม่เอาไหนเช่นกัน ทว่าในเมื่อผันตัวมาเป็นแม่เรือนแล้ว นางต้องรีบเรียนรู้วิถีงานเรือนให้ได้เร็วที่สุด

“กลับมาแล้วหรือเจียวเจียว” อาจารย์แม่หนานวางผ้าปักในมือลง “กินอะไรมาแล้วหรือยัง”

“ข้ากินมาแล้ว ท่านรีบพักผ่อนเถิด” กู้เจียวตอบ

“เดี๋ยวปักนี่เสร็จข้าก็จะเข้านอนแล้ว เจ้ามาดูฝีมือของข้าทีว่าเป็นอย่างไรบ้าง” แล้วอาจารย์แม่หนานก็ยื่นงานปักผ้าที่ลงทุนทำทั้งคืนให้กู้เจียวได้ยล

ว่ากันตามตรง กู้เจียวไม่เคยเห็นใครมีฝีมือการเย็บที่ย่ำแย่กว่าท่านย่ามานานแล้ว

“…ถือว่า มีพัฒนาการ…” กู้เจียวเอ่ยหน้านิ่ง

อาจารย์แม่หนานได้ยินดังนั้นก็ยิ้มดีใจ “ใช่ไหมล่ะ ข้าก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน”

พอได้ยินคำชมก็ยิ่งได้แรงฮึด ก่อนจะก้มหน้าก้มตาปักต่ออย่างตั้งใจ

กู้เจียวคิดในใจ เอาเถอะ อาจารย์แม่หนานทำแล้วมีความสุขก็ดี

จากนั้นนางก็เดินกลับไปที่ห้องนอน

กู้เสี่ยวซุ่นหลับแล้ว ขณะที่กู้เหยี่ยนอยู่ในท่ากึ่งหลับกึ่งตื่น อันที่จริงเขายังหลับไม่ลง

กู้เจียวเดินเข้าไปแตะหน้าผากเขา “ข้าบอกอย่างไรเล่าว่าเดี๋ยวก็กลับมา”

“อื้อ” กู้เหยี่ยนตอบด้วยเสียงขึ้นจมูก

“นอนเถิด” กู้เจียวเอ่ยด้วยเสียงนุ่มเบา

เช้าวันถัดมา หนานกงลี่ตื่นตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น หากไม่ติดว่าประตูเมืองชั้นในปิดอยู่เขาคงบุกไปที่สำนักบัณฑิตเทียนฉงตอนกลางดึกแล้ว

วินาทีที่ประตูเมืองถูกเปิด รถม้าของหนานกงลี่ก็ได้ทะยานเข้าสู่เมืองชั้นใน

ครั้งนี้เขาไม่วางใจให้ลูกสมุนลงมือ เขาขอออกโรงด้วยตัวเอง! เจ้าเด็กนั่นเห็นใสซื่อแบบนั้น แท้จริงแล้วเจ้าเล่ห์เหลี่ยมจัดเหมือนกับพ่อของมันไม่มีผิด

และแล้วรถม้าของหนานกงลี่เดินทางมาถึงสำนักบัณฑิต

ทหารองครักษ์ของเขารับหน้าที่เป็นสารถีในครั้งนี้ อีกทั้งพรางตัวอย่างแนบเนียนจนไม่มีใครจำใบหน้าเดิมของเขาได้แน่นอน

“ลงไปถามซิ” หนานกงลี่ออกคำสั่ง

“ขอรับ!”

พอลงจากรถม้า ทหารองครักษ์ก็เดินมาที่ประตูสำนักบัณฑิต จากนั้นยื่นเหรียญให้ยามเฝ้าประตูพร้อมกับฉีกยิ้มให้หนึ่งที ”ข้าเป็นบัณฑิตจากสำนักอู่เย่ว์ ท่านชายของข้าชื่นชมบัณฑิตเซียวของสำนักท่านเป็นอย่างมากและอยากจะผูกมิตรด้วย เขามาถึงที่นี่แล้วหรือยัง”

ยามเฝ้าประตูรับเงินไว้ พร้อมตอบกลับ “ท่านมาเสียเที่ยวแล้ว วันนี้บัณฑิตเซียวไม่ได้มาที่นี่ขอรับ”

ทหารองครักษ์ของหนานกงลี่เริ่มหน้าเสีย ก่อนจะรีบตีเนียนถามต่อ “ข้าขอถามได้ไหมว่าเขาไปที่ไหน”

ยามเฝ้าประตูตอบ “วันนี้เขาไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้วขอรับ!”

ทหารองครักษ์ตกใจหน้าถอดสี “วะ ว่าไงนะ เข้าเฝ้าฮ่องเต้รึ”

“เรื่องจริงรึ” บนรถม้า หนานกงลี่ทำหน้ามึนงงหลังจากได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น “เจ้านั่นไปพบฮ่องเต้ได้อย่างไร ไม่มีทางที่พระองค์จะเรียกให้คนจากแคว้นระดับล่างไปเข้าเฝ้าได้ง่ายๆ หรอก”

ทหารองครักษ์เอ่ยต่อ ”ยามคนนั้นบอกว่าเป็นเพราะการแข่งตีคลี สำนักบัณฑิตเทียนฉงแพ้ให้กับสำนักบัณฑิตเจียหนาน ทว่าพวกเขาได้ทำการแลกเปลี่ยนของรางวัลกันขอรับ พวกเขาจึงได้สิทธิ์เข้าเฝ้าในพระราชวัง ส่วนพวกบัณฑิตเจียหนานได้รางวัลเป็นทองคำหมื่นตำลึงไปขอรับ”

หากเป็นที่อื่นอย่างน้อยยังพอตามตัวได้

แต่เจ้าเด็กนั่นไปที่พระราชวัง อีกทั้งยังได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้ด้วย

“อย่าให้มันได้เจอพระพักตร์ฝ่าบาทเป็นอันขาด! รีบกลับเข้าเมืองชั้นในด่วน!”

เวลานี้ มู่ชิงเฉินและผู้เล่นอีกสี่คนกำลังนั่งในรถม้าคันใหญ่โอ่อ่าที่กำลังมุ่งหน้าไปยังในเมือง

มู่ชวนยกมือลูบหัวของตัวเองที่ยังคงมีอาการปวดบวมพร้อมกับเอ่ยถามกู้เจียวด้วยสีหน้างุนงง “นี่ ลิ่วหลัง ไหนเจ้าเคยบอกว่าไม่อยากเข้าวังไง เหตุใดถึงเปลี่ยนใจล่ะ”

“อ๋อ” กู้เจียวก้มลงมองมือของตัวเอง “ข้ามาคิดๆ ดูแล้ว ได้มีโอกาสเข้าวังก็ไม่เลวเหมือนกัน”

หนานกงลี่ แน่จริงก็มาสู้กันในวังสิ!