บทที่ 690 สังหารหนานกงลี่! (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

บทที่ 690 สังหารหนานกงลี่! (1)

ทหารองครักษ์ของหนานกงลี่กำลังโน้มน้าวให้นายของเขาใจเย็นลง “ท่านนายพลขอรับ! นั่นวังหลวงนะขอรับ! มิอาจผลีผลามบุกเข้าไปได้! หรือว่าจะจัดการวันหลังดีขอรับ หรือไม่ก็รอให้เขาออกมาดีไหมขอรับ!”

หนานกงลี่โต้กลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “รอให้มันออกมารึ เจ้าไม่รู้หรือว่าวันนี้มันไปหาผู้ใด”

“ระ รู้สิขอรับ ฝ่าบาทอย่างไรเล่า” ทหารองครักษ์เอ่ย

“หากเจ้าเซียวลิ่วหลังเอาเรื่องที่พวกเราไล่ฆ่ามันไปฟ้องกับฝ่าบาท รับรองว่าทั้งเจ้าและข้าอยู่รอดไม่ถึงเช้าวันพรุ่งนี้แน่!” หนานกงลี่เอ่ยอย่างโมโห

“แต่ฝ่าบาทอาจไม่เชื่อเขาก็ได้นะขอรับ” ทหารองครักษ์โต้กลับ

“แล้วถ้าพระองค์เกิดเชื่อขึ้นมาจริงๆ ล่ะ จิตใจคนเรายากแท้หยั่งถึง ยิ่งกับฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนของพวกเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง เจ้าไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าพระองค์ทรงคิดการใดอยู่ วันนี้อาจทรงนึกครึ้มไม่รังเกียจที่ให้บัณฑิตตัวเล็กๆ จากแคว้นระดับล่างเข้าหาพระองค์ก็เป็นได้ เรื่องพวกนี้อาจฟังดูแปลกสำหรับเจ้า แต่ข้าเคยพบเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน” หนานกงลี่เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

ทหารองครักษ์ฟังเสียจนไม่รู้จะแย้งอย่างไรต่อ

หนานกงลี่อธิบายต่อ “ต่อให้วันนี้พระองค์นึกอยากเอ็นดูเด็กน้อยขึ้นมา แต่วันข้างหน้าอาจทรงออกคำสั่งฆ่าทิ้งก็เป็นได้”

คราวนี้หมดคำจะพูดจริงๆ

แม้ทหารองครักษ์ของหนานกงลี่เองจะเคยได้ยินข่าวลือด้านลบเกี่ยวกับฝ่าบาทผู้นี้มานับไม่ถ้วน แต่ข่าวลือก็คือข่าวลือ ไม่จำเป็นต้องเชื่อทั้งหมด แต่พอได้ยินเจ้านายของตัวเองมายืนยันแบบนี้แล้ว

ไม่แปลกใจที่เหล่าราษฎรจะตั้งสมญานามให้พระองค์ว่าฮ่องเต้จอมบ้าบิ่น

หนานกงลี่เอ่ยต่อ “เจ้าเข้าใจแล้วสินะว่าเหตุใดข้าถึงต้องลองเสี่ยง ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งในหมื่นที่พระองค์จะเชื่อคำพูดของเจ้าเด็กนั่น ทว่าตัวข้าเองก็มิอาจเอาชีวิตของข้าเข้าเสี่ยงด้วยเช่นกัน”

“เข้าใจแล้วขอรับ ท่านนายพล งานนี้อันตรายยิ่ง ให้ข้าน้อยลุยเองดีกว่าขอรับ!” ทหารองครักษ์กำหมัด

“อันตรายอย่างนั้นเรอะ” หนานกงลี่คลี่ยิ้มอย่างบ้าคลั่ง “เจ้าเด็กนั่นอุตส่าห์ลงทุนเข้าวัง คิดหรือว่าอยู่ในนั้นแล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น ข้าจะทำให้มันเห็นเองว่าปลิดชีพมันในวังนั้นง่ายกว่าตอนอยู่ข้างนอกเสียอีก”

รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้าไปยังเขตเมืองชั้นใน

ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ กู้เจียวเดินทางไปไกลมากสุดก็แค่สำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน ไม่เคยเข้าไปลึกกว่านั้น

กู้เจียวออกอาการอยากรู้อยากเห็นอย่างชัดเจน นางเปิดม่านออกและกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบๆ

นอกจากมู่ชวนแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเดินทางไปที่วัง ซึ่งก็เป็นความรู้สึกที่แปลกใหม่สำหรับพวกเขาเช่นกัน

มู่ชวนทำหน้าที่แนะนำสถานที่ต่างๆ อย่างภาคภูมิ เขาชี้นิ้วไปที่ร้านค้ารอบๆ และแนะนำแต่ละร้านได้อย่างละเอียด

“ตอนนี้มาถึงถนนฉางหยางแล้ว” มู่ชวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นขณะที่รถม้ากำลังหักเลี้ยวเข้าสู่ถนนอีกเส้น “ประเดี๋ยวเจออีกทางแยกก็จะถึงประตูเมืองต้าเยี่ยนแล้ว”

ถึงแม้มู่ชวนจะเคยเข้าวังมาแล้ว แต่การเดินทางไปกับครอบครัวนั้นต่างกับเดินทางกับสหายอย่างสิ้นเชิง

อาจารย์อู่ที่นั่งอยู่ในรถม้าอีกคันก็มีอาการตื่นเต้นไม่น้อยถึงแม้ภายนอกเขาดูเคร่งขรึม เพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกของเขาเหมือนกัน!

“ประตูเมืองต้าเยี่ยนที่ว่าคืออะไรรึ” กู้เจียวถาม

“เจ้ามาจากแคว้นเจาก็เลยไม่รู้สินะ ที่แคว้นเยี่ยนแห่งนี้น่ะมีประตูเมืองอยู่ด้วยกันห้าประตู ได้แก่ประตูเกาเหมิน ประตูเฟิ่งเทียนเหมิน ประตูตวนเหมิน ประตูอู่เหมินและประตูไท่เหอเหมิน สถานที่ที่พวกเรากำลังจะไปคือตำหนักหลวงจินหลวน เดิมเคยชื่อว่าตำหนักไท่เหอ ซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังประตูอู่เหมิน”

สมกับเป็นแคว้นระดับบน ขนาดประตูเมืองยังมีจำนวนเยอะกว่าแคว้นเจา

รถม้าที่เดินทางในอาณาเขตรอบวังไม่สามารถเคลื่อนด้วยความเร็วได้ จากตรงนี้ไปจนถึงประตูเกาเหมินจึงใช้เวลาราวหนึ่งชั่วยาม

การเดินทางครั้งนี้มีการทำนัดล่วงหน้า ขันทีนายหนึ่งอายุราวสามสิบมายืนรอพวกเขาที่หน้าประตู

พอรถม้าหยุดลง ขันทีก็เดินเข้าไปต้อนรับด้วยรอยยิ้ม “มาจากสำนักบัณฑิตเทียนฉงใช่ไหมขอรับ”

อาจารย์อู่ลงจากรถม้า แล้วประสานมือให้ขันทีพร้อมกับเอ่ยทักทายอย่างสุภาพ “ข้ามีนามว่าอู่เฉิง อาจารย์จากสำนักบัณฑิตเทียนฉงขอรับ”

ขันทีเอ่ย “อ๋อ ท่านคืออาจารย์อู่นี่เอง ยินดีที่ได้พบขอรับ ข้าน้อยขันทีหลี่ หรือจะเรียกหลี่ซานเต๋อก็ได้ขอรับ”

อาจารย์อู่ยังคงมารยาทที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ ต่อให้อีกฝ่ายจะใจกว้างและแสดงความเป็นมิตรแค่ไหน เขายังคงประสานมือทั้งสอง และตอบกลับอย่างสุภาพอีกครั้ง “ขอรับท่านหลี่กงกง”

หลี่ซานเต๋อเผยยิ้มพิมพ์ใจยิ่งกว่าเดิม “เช่นนั้นขอเชิญบัณฑิตและผู้ติดตามลงจากรถด้วยขอรับ ข้าน้อยจะเป็นผู้นำทางให้เองขอรับ”

กู้เจียวและคนอื่นๆ จึงเดินลงจากรถ

หลี่กงกงจำมู่ชวนได้ จึงเอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตรและประสานมือให้ “ไม่ได้พบกันนานเลยนะขอรับท่านชายมู่”

“ข้า…” มู่ชวนไม่เคยเห็นเขามาก่อน

หลี่กงกงหัวเราะ “ก่อนหน้านี้ข้าน้อยเคยทำงานที่ตำหนักเป่าเหอขอรับ ต่อมาได้ทำงานด่านหน้า ข้าน้อยเคยเห็นท่านชายมู่จากตอนงานเลี้ยงคราวก่อนน่ะขอรับ”

“ที่แท้ก็อย่างนี้น่ะเอง” มู่ชวนตอบเขาอย่างสุภาพ

แม้เขาจะเป็นขันทีประจำตำหนัก แต่ก็เป็นผู้ที่ได้อยู่ใกล้ชิดและเห็นทุกๆ ความเคลื่อนไหวในตำหนัก อาจไม่ถึงกับต้องตีสนิทอย่างออกนอกหน้า แต่อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติกัน

มู่ชวนที่ดูเผินๆ ดูเป็นเด็กขี้เล่นเที่ยวเตร่ไปวันๆ ทว่าเขากลับวางตัวได้ดีสมกับเป็นท่านชายของตระกูลอันดับต้นๆ ในแคว้นเลยทีเดียว

หลี่ซานเต๋อฉีกยิ้มจนแทบไม่เห็นลูกตาแล้ว

ขณะเดียวกัน กู้เจียวและคนอื่นๆ ก็มิได้แสดงท่าทีให้ความสนิทสนมกับหลี่กงกงแต่อย่างใด แล้วก็ไม่ใช่ทุกคนที่หลี่กงกงจะเริ่มบทสนทนาด้วย หลี่กงกงต้องไว้หน้าให้อาจารย์อู่เพราะเขาเป็นอาจารย์ ขณะที่มู่ชวนเป็นทายาทของตระกูลมู่

ส่วนคนอื่นๆ นั้น…

หลี่ซานเต๋อกวาดสายตามองพวกเขาทุกคน ก่อนจะสะดุดตากับรอยปานแดงบนใบหน้าของกู้เจียว

เป็นรูปลักษณ์ที่มิได้มีให้เห็นทั่วไป

ไหนจะรัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวเขา

หากว่ากันตามหลักแล้ว คนที่เกิดมาพร้อมกับรูปลักษณ์ที่ด้อยมักมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ทว่าพ่อหนุ่มผู้นี้กลับดูสง่าผ่าเผย มั่นใจ และดูไม่เกรงกลัวอะไรทั้งนั้น

ไม่จริงน่า

อะไรทำให้เขามั่นหน้าขนาดนั้น

“หลี่กงกง” มู่ชวนเอ่ยทักพร้อมกับขยับตัวบังสายตาของอีกฝ่าย เขาไม่อยากให้ใครหน้าไหนจ้องใบหน้าของเซียวลิ่วหลังมากเกินจนมองแง่ลบ

พอหลี่ซานเต๋อไหวตัวได้จึงรีบยิ้มกลบเกลื่อนพลางเอ่ย “ใกล้ถึงแล้วขอรับ ว่าแต่เหตุใดวันนี้ท่านชายซูถึงไม่มาขอรับ”

“พี่สี่ติดธุระกะทันหัน เลยทูลให้พระสนมเสียนเฟยทราบเพื่อขอขมากับฝ่าบาทแล้ว” มู่ชวนตอบ

หวังเสียนเฟย บุตรสาวจากตระกูลหวัง ซึ่งมีน้องสาวแท้ๆ ของใต้เท้ามู่เป็นพี่สะใภ้

หลี่ซานเต๋อถอนหายใจเบาๆ หลังจากได้ยินคำตอบ “พวกท่านนี่ก็ใจถึงกันดีแท้ กล้าแลกรางวัลกับสำนักบัณฑิตเจียหนาน แต่ไม่กลัวฝ่าบาทแขวนโทษสินะขอรับ”

กู้เจียวพยักหน้าถี่ๆ ใช่แล้ว!

เอาทองคืนมาเดี๋ยวนี้!

มู่ชวนหัวเราะ “ท่านกั่วซือเป็นเจ้าของสำนักบัณฑิตเจียหนาน อีกทั้งพวกเขาได้เข้ามาตีคลีที่วังนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว พระองค์คงหน่ายที่จะเจอพวกเขาแล้วล่ะ”

มู่ชวนเคยปรึกษากับพระสนมเสียนเฟยแล้ว แล้วนางก็อนุญาตให้เขาตอบเช่นนี้

หลังจากที่พวกเขาได้ย่างเท้าผ่านทางที่ปูด้วยแผ่นหิน ทุกประตูจะมีด่านทหารยามคอยคุ้มกัน พอพ้นประตูตวนเหมินไปก็จะเป็นตำหนักของบรมวงศานุวงศ์

ระหว่างทาง มู่ชวนก็คอยแนะนำสถานที่แต่ละแห่งให้กู้เจียวได้ฟัง “ทิศบูรพาเป็นจวนของสำนักคุมประพฤติผู้กำเนิดในราชวงศ์ จวนลิ่วปู้ และจวนหงหลู่ซื่อ เมื่อก่อนโหรวังก็เคยพำนักอยู่ที่นี่ แต่หลังจากสร้างตำหนักราชครู โหรวังจึงย้ายออกไป ส่วนทิศประจิมเป็นที่ตั้งของศาลต้าหลี่ที่มีจวนของนายพลตั้งอยู่สี่ทิศรอบ”

จากนั้นพวกเขาก็เดินมาถึงประตูอู่เหมิน

ทหารยามที่ประตูนี้เข้มงวดกว่าที่อื่น หากไม่ได้หลี่ซานเต๋อช่วยไว้ป่านนี้พวกเขาคงถูกค้นตัวจนพรุนแล้ว

“พวกเขาต้องการตรวจหาอาวุธน่ะ” มู่ชวนอธิบายเสริม

หลังจากเดินขาลากมานาน ในที่สุดก็มาถึงประตูอู่เหมินเสียที

ตำหนักจินหลวนอันสง่างามปรากฏขึ้นราวกับราชสีห์แห่งผืนป่าที่กำลังส่งเสียงคำราม

ตอนแรกมู่ชวนยังนึกว่าพวกเขาจะได้เข้าไปในตำหนักจินหลวน แต่กลายเป็นว่าหลี่ซานเต๋อพาพวกเขาเดินไปยังตำหนักจงเหอซึ่งตั้งอยู่ด้านหลัง

หลี่ซานเต๋ออธิบายด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ฝ่าบาทกำลังทรงราชกิจในท้องพระโรงขอรับ เลยพาพวกท่านมารอที่ตำหนักข้างๆ ก่อน”

พอพวกเขามาถึงตำหนักจงเหอ หลี่ซานเต๋อก็จัดแจงให้คนนำลิ้นจี่สดและของว่างต่างๆ มาให้พวกเขาทาน

จากนั้นหลี่ซานเต๋อก็ออกไปยืนเฝ้าที่หน้าประตู เพราะเขารู้ว่าหากยืนอยู่ตรงนั้นด้วยกัน พวกเขาคงรู้สึกอึดอัดน่าดู

นอกจากกู้เจียวแล้ว ทุกคนในห้องต่างพากันออกอาการตื่นเต้นดีใจกันใหญ่

“พะ พะ พะ พวกเรา กำลังจะ ต้องพูดว่าอย่างไรนะ อ๋อ เข้าเฝ้า พวกเรากำลังจะได้เข้าเฝ้าฝ่าบาทแล้วรึ” อาจารย์อู่พูดติดอ่างพร้อมกับมือสั่น

ขณะที่จ้าวเวยและหยวนเซียวไม่ได้มีอาการมือสั่นแบบอาจารย์อู่ แต่กลับสั่นที่ขาแทน

ส่วนมู่ชวนทั้งดีอกดีใจและตื่นเต้นในคราวเดียวกัน ในที่สุดเขาก็จะได้พบฮ่องเต้ตัวจริงเสียงจริงแล้ว!

แม้เขาจะเคยเข้าวังก็จริง แต่เป็นเพียงการมาเยี่ยมพระสนมในวังเท่านั้น ส่วนงานเลี้ยงคราวก่อนเขาได้ยลโฉมพระองค์จากระยะไกล ไม่เคยได้เข้าเฝ้าใกล้ๆ แบบที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มาก่อน

เขารู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เขาสามารถพูดโอ้อวดไปได้ทั้งชีวิตเลยล่ะ!

ขณะที่กู้เจียวกำลังเริ่มใจลอย

หนานกงลี่โง่รึเปล่า ไม่กล้าตามนางมาที่วังรึไง

ถ้ายังไม่รีบมาอีก ประเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องกลับกันแล้ว

กู้เจียวยืนขึ้น

มู่ชวนถาม “ทำอะไรน่ะ”

กู้เจียวร้องอ้อไปหนึ่งทีเอ่ยตอบ “ไปห้องน้ำ”

“ให้ข้าไปเป็นเพื่อนไหม” มู่ชวนถามด้วยความเป็นห่วง

กู้เจียวหรี่ตาใส่เขาหนึ่งที “ไม่ต้อง”

มู่ชวนยังคงยืนกราน “ไอ้หยา ข้าว่าข้าไปกับเจ้าด้วยดีกว่า เจ้ามาที่นี่ครั้งแรก…”

“เจ้าจะไปทำไม จะช่วยข้าพยุงตัวเข้าห้องน้ำรึ” กู้เจียวโต้กลับทันควัน

มู่ชวนแทบสำลัก!

กู้เจียวเดินออกจากห้อง ถามทางไปห้องน้ำกับนางใน จากนั้นก็เดินไปตามที่นางในบอก

ทางไปห้องน้ำต้องเดินเลาะด้านข้างของตำหนัก

ขณะที่กำลังเดินผ่านสวนดอกไม้แห่งหนึ่ง ก็เจอเข้ากับนางในคนหนึ่งที่กำลังก้มหน้าเดินอย่างเร่งรีบ ก่อนจะเข้ามาชนร่างของกู้เจียว

กู้เจียวไม่ได้สะทกสะท้านอะไร ทว่านางในคนนั้นกลับหงายหลังล้มลงกับพื้นอย่างไม่เป็นท่า

นางในทำทองก้อนบางส่วนตกลงมาบนพื้น แล้วรีบกุลีกุจอเก็บทองก้อน พอเงยหน้ามองกู้เจียวแวบหนึ่งนางก็รีบก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด “ขะ ขอ ขอภัยด้วยเจ้าค่ะ!”

“ไม่เป็นไร” กู้เจียวตอบ

นางในรีบโค้งตัวให้กู้เจียวก่อนจะรีบวิ่งออกไป

อะไรกันเนี่ย ปล้นสะดมในวังหรือไง

ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่กู้เจียวต้องใส่ใจ

จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าต่อ

ขณะที่กำลังจะเดินถึงห้องน้ำ ทันใดนั้น มีขันทีแปลกหน้าปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลัง “ข้างหน้า ข้างหน้านั่นใช่ท่านชายเซียวหรือไม่ขอรับ”

กู้เจียวหยุดฝีเท้าลง หันไปหาต้นเสียงช้าๆ “ใช่ เจ้าเป็นใคร”