บทที่ 881 สิบยอดฟ้าบุพกาล เลิศล้ำหมื่นยุค

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 881 สิบยอดฟ้าบุพกาล เลิศล้ำหมื่นยุค

วิญญาณร้ายอนธการ…

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง ตกอยู่ในห้วงความคิด

เขาไม่กลัวเลย ถึงอย่างไรก็เทพมหาทัณฑ์ก็บอกไปหมดแล้ว วิญญาณร้ายอนธการเหล่านี้คุกคามเทพมหาทัณฑ์ไม่ได้ เช่นนั้นก็ยิ่งมิใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เพียงแต่เมื่อเป็นตัวตนที่อาจมีความเสี่ยง ก็ไม่อาจเพิกเฉยได้

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “ไม่มีวิธีจัดการให้วิญญาณร้ายอนธการอยู่ในก้นบึ้งฟ้าบุพกาลไปตลอดหรือ”

เทพมหาทัณฑ์ส่ายหน้าเอ่ยไปว่า “ข้าก็หาอยู่เช่นกัน ตอนนี้ยังไม่มี”

น้ำเสียงเขาเปลี่ยนไป เอ่ยว่า “ข้าเตรียมจะจัดชุมนุมฟ้าบุพกาลสักครั้ง อยากขอความร่วมมือจากเจ้า ด้วยชื่อเสียงของเจ้า อำนาจของข้า ดึงดูดให้บุตรแห่งสวรรค์ฟ้าบุพกาลเข้าร่วมได้ ข้าจะยกเอาโอกาสวาสนาต่างๆ มา ให้เป็นรางวัลแก่บุตรแห่งสวรรค์ที่แสดงผลงานโดดเด่นในงานชุมนุม

“ในงานชุมนุมนี้ ข้าจะแบ่งออกเป็นสามด่าน

“ด่านแรก อยู่ที่ก้นบึ้งฟ้าบุพกาล จัดลำดับโดยการสังหารทำลายวิญญาณร้าย

“ด่านที่สอง คัดเลือกสิบยอดฟ้าบุพกาล โดยใช้การประลองกันแบบตัวต่อตัว เมื่อติดอันดับสิบยอดฟ้าบุพกาล จะได้เป็นดวงจิตมหามรรค เพลิดเพลินกับมหามรรค

“ด่านที่สาม เฟ้นหาผู้เลิศล้ำหมื่นยุคฟ้าบุพกาล จะได้เข้าร่วมกลุ่มเทวทัณฑ์ ได้รับอาณาเขตหนึ่งแห่ง”

หลังจากหานเจวี๋ยได้ฟัง ก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องดี อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ผลักดันให้บุตรแห่งสวรรค์พัฒนาตัวได้

เพื่อให้ได้รับรางวัลมากมายเหล่านี้ ผู้ทรงพลังเหล่านั้นต้องพยายามอบรมชุบเลี้ยงบุตรแห่งสวรรค์ทุกวิถีทางแน่นอน

หานเจวี๋ยถาม “เกณฑ์การรับสมัครเล่า บรรทัดฐานเป็นอย่างไร”

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อายุขัยดั้งเดิมต้องต่ำกว่าร้อยล้านปี สามารถเข้าร่วมได้ทั้งสิ้น จัดงานชุมนุมขึ้นทุกๆ สิบล้านปี เป็นอย่างไร”

หานเจวี๋ยหรี่ตาลง “ดวงจิตมหามรรคหนึ่งร้อยตำแหน่งในร้อยล้านปีเช่นนั้นหรือ”

เขารู้สึกว่าเร็วไปหน่อย!

เทพมหาทัณฑ์เอ่ยว่า “ดวงจิตมหามรรคมีน้อยมากจริงๆ เมื่อนำมาเทียบกับฟ้าบุพกาลทั้งผืนแล้ว ยังขาดแคลนอยู่มากนัก ข้าจัดแบ่งลำดับชั้นให้เหล่าดวงจิตมหามรรค มอบอำนาจให้ตามลำดับชั้น สร้างระเบียบวินัยให้ฟ้าบุพกาล”

หานเจวี๋ยเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อเทพมหาทัณฑ์แล้ว

ต้องกล่าวเลยว่าคนผู้นี้มีใจทะเยอทะยานโดยแท้ และกล้าลงมือทำด้วย

“ข้าจำเป็นต้องเข้าร่วมด้วยร่างจริงหรือไม่” หานเจวี๋ยถามด้วยความลังเล

เทพมหาทัณฑ์กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ย่อมไม่ต้อง ไม่ว่าจะร่างแยกหรือว่าเจตจำนง ขอเพียงเจ้าส่งมาก็พอแล้ว อริยะสวรรค์ เจ้าคือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล การคงอยู่ของเจ้าสามารถดึงดูดบุตรแห่งสวรรค์ได้ แน่นอน หากเจ้ายินดีมาเข้าร่วมด้วยก็ยิ่งดี เจ้ามีคุณสมบัติเข้าเกณฑ์ยิ่ง”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าตอบไปว่า “ช่างเถอะ ข้าไม่เข้าร่วมด้วย แต่ไปร่วมชมได้”

ขอเพียงไม่ต้องไปด้วยร่างจริงก็พอ

เทพมหาทัณฑ์หัวเราะฮ่าๆ ดังลั่น “ข้าก็พูดไปเท่านั้น หากได้ยินว่าเจ้าเข้าร่วม แล้วผู้ใดจะกล้ามาชิงตำแหน่งผู้เลิศล้ำหมื่นยุคแห่งฟ้าบุพกาลเล่า”

หานเจวี๋ยหรี่ตาลงพลางเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าเหนือกว่าพวกเราขึ้นไป จะมีตัวตนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าอีกหรือไม่”

เทพมหาทัณฑ์เงียบไป

หานเจวี๋ยเห็นเช่นนี้ ก็ทราบว่าเขาสังเกตเห็นแล้ว

“ที่แท้ไม่ใช่เพียงข้าที่รู้สึกเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าบรรพชนเทพปฐมกาลแข็งแกร่งที่สุด แต่หลังจากบรรพชนเทพปฐมกาลดับสูญ ข้ารู้สึกใจไม่สงบอยู่เสมอ จากนั้นก็นึกถึงกฎเกณฑ์สูงสุดที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น ตัวข้าเมื่ออยู่ต่อหน้ากฎเกณฑ์สูงสุดจะนับเป็นอันใดเล่า” เทพมหาทัณฑ์ทอดถอนใจ

เขาขยับเข้ามา บอกเล่าเรื่องที่ตนพบพาน

คำถามประโยคเดียวของหานเจวี๋ยขยับความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

พูดคุยกันอยู่ครึ่งชั่วยามเต็ม ถึงได้สิ้นสุดแดนความฝัน

หานเจวี๋ยก็ได้รับแจ้งเตือนความประทับใจของเทพมหาทัณฑ์แล้ว แต่ค่าความประทับใจไม่สูงนัก เพียงสามดาว

เจตจำนงหวนสู่กายเนื้อ หานชิงเอ๋อร์ยังคงถกเกียงกับเขาอยู่ อยากจะออกไปหาประสบการณ์ที่แดนเซียนให้ได้

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “รอจนเจ้าบรรลุครึ่งอริยะแล้ว พ่อจะให้เจ้าไป แต่ตอนนี้ พ่อจะถ่ายทอดพลังวิเศษบางส่วนให้เจ้าก่อน”

ในแดนเซียน ครึ่งอริยะคือคือเพดานสูงสุด มีตบะระดับนี้ หานชิงเอ๋อร์ไม่มีทางเผชิญอันตราย

หานชิงเอ๋อร์หน้ามุ่ย

จากเซียนทองต้าหลัวไปถึงครึ่งอริยะ เช่นนั้นต้องใช้เวลาฝึกบำเพ็ญอย่างน้อยหมื่นปี

หานเจวี๋ยพลันเริ่มเทศนาธรรม ใช้มหามรรคต้นกำเนิดครอบงำหานชิงเอ๋อร์ ทำให้นางตระหนักมรรคดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หานชิงเอ๋อร์ต่อต้านไม่ได้เลย เลื่อนลอยไปทันที ตกอยู่ในสภาวะตระหนักมรรค เริ่มนั่งสมาธิไปตามสัญชาตญาณ

การเทศนาธรรมครั้งนี้ดำเนินไปหนึ่งร้อยปี

ตระหนักมรรคหนึ่งร้อยปี บุคลิกของหานชิงเอ๋อร์ล้วนเปลี่ยนแปลงไป

นางลืมตาขึ้น แววตาค่อนข้างเหม่อลอย แต่ก็แปรเปลี่ยนเป็นใสกระจ่างและแน่วแน่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

นางเอ่ยด้วยความปิติ “ท่านพ่อ พลังวิเศษเหล่านี้ของท่านร้ายกาจเหลือเกินเจ้าค่ะ!”

ในหัวนางเต็มไปด้วยพลังวิเศษมากมาย ไม่ใช่เพียงเท่านี้ ตบะก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยด้วย

หานเจวี๋ยฟังแล้วอารมณ์ดีนัก

เด็กสาวคนนี้ก่อนหน้านี้เอาแต่เรียกเขาว่าท่านๆๆ วันนี้กลับมาเรียกท่านพ่อแล้ว

ทราบถึงความร้ายกาจของผู้เฒ่าแล้วกระมัง!

“มั่นใจหรือไม่ว่าจะบรรลุถึงครึ่งอริยะได้” หานเจวี๋ยถาม

หานชิงเอ๋อร์พยักหน้ารับ จากนั้นก็หันหลังเดินออกไป ราวกับพายุลูกหนึ่ง

ชัดเจนยิ่งนัก เมื่อผ่านการตระหนักมรรคครานี้ไป ดูเหมือนนางจะสนใจการบำเพ็ญขึ้นมาอย่างลึกซึ้งแล้ว

หานเจวี๋ยยิ้มอย่างพึงพอใจ เช่นนี้สิถึงจะสมเป็นบุตรสาวเขา แม้ว่าจะเกิดเป็นสตรี ก็ต้องมีจิตใจที่แสวงหาความแข็งแกร่งเช่นกัน

เขาเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู อยากทราบสถานการณ์ในระยะนี้ของแวดวงสหาย

พอลองคำนวณดู ไม่ได้ตรวจจดหมายมานานมากแล้ว

[เต้าจื้อจุนศิษย์ของท่านเผชิญกับการโจมตีจากสิ่งอัปมงคล] x69093682

[จ้าวเซวียนหยวนศิษย์ของท่าน…]

….

[หวงจุนเทียนสหายของท่านดูดซับดวงชะตาผู้กำหนดเคราะห์นับหมื่น กลายเป็นเจ้าผู้กำหนดชะตาเคราะห์]

[จิ่งเทียนกงสหายของท่านทำความเข้าใจมหามรรคอันธการ พลังมรรคเพิ่มขึ้นฉับพลัน]

[หานทั่วบุตรชายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทวทัณฑ์มหามรรค] x3

[อี๋เทียนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากเทวทัณฑ์มหามรรค] x3

[จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายสหายของท่านใช้สายเลือดบริสุทธิ์ให้กำเนิดลูกหลาน ตระหนักรู้พลังวิเศษอันยิ่งใหญ่]

[อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสหายของท่านเผชิญกับการโจมตีจากผู้ทรงพลังลึกลับ]

….

เต้าจื้อจุน จ้าวเซวียนหยวน เจียงอี้และเหล่าตานยังคงเผชิญการทุบตีอยู่

โอกาสวาสนาของหวงจุนเทียนอยู่ในขอบเขตความคาดหมายของหานเจวี๋ย ไม่ช้าก็เร็วเด็กคนนี้จะรุ่งโรจน์ดั่งติดปีก

หานเจวี๋ยถูกสถานการณ์ของจักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายดึงดูดความสนใจ

สร้างลูกหลานจากสายเลือดบริสุทธิ์หรือ

นี่เขากำลังจะทำอะไร

หานเจวี๋ยนับนิ้วทำนาย พลันกระจ่างแจ้ง

จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายให้กำเนิดชนรุ่นหลังสองหมื่นคน ให้เหล่าทายาทดูแลปกครองโลกที่วังสวรรค์ตีชิงมาได้ ให้ความรู้สึกคล้ายแต่งตั้งเจ้าศักดินาอยู่บ้าง

ไม่ทันได้รู้ตัว จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายก็บรรลุตบะระดับอริยะเสรีระยะสมบูรณ์แล้ว

มองจากรูปการณ์ จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายอยู่ไม่ไกลจากการพิสูจน์มรรคแล้ว

หานเจวี๋ยไล่อ่านจดหมายลงไปเรื่อยๆ อ่านอย่างได้อรรถรส

เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เขาถึงเข้าสู่สภาวะฝึกบำเพ็ญอีกครั้ง

เวลาผ่านไปปีแล้วปีเล่า

ช่วงที่หานเจวี๋ยปิดด่าน ตบะของหานชิงเอ๋อร์พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด

หลังจากหานเจวี๋ยเทศนาธรรมด้วยมหามรรคต้นกำเนิด ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของหานชิงเอ๋อร์ก็เพิ่มขึ้นฉับพลัน หลังจากได้สัมผัสกับความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หานชิงเอ๋อร์ก็เริ่มหลงใหลในการบำเพ็ญ

แน่นอน ไม่ใช่เพียงเพราะความอัศจรรย์ของมหามรรคต้นกำเนิดเท่านั้น ในช่วงที่หานเจวี๋ยเทศนาธรรม ก็ได้คลายผนึกคุณสมบัติของหานชิงเอ๋อร์ไปพร้อมกันด้วย ในส่วนลึกของวิญญาณหานชิงเอ๋อร์รับสืบทอดร่างจำลองเทพมารร่างหนึ่งไปเช่นกัน ส่วนจะเป็นอย่างไร ยังต้องให้นางทำความเข้าใจเอาเอง

ห้าหมื่นปีต่อมา ในที่สุดหานชิงเอ๋อร์ก็เข้าสู่ขอบเขตครึ่งอริยะแล้ว

นางไม่ได้ไปหาหานเจวี๋ยในทันที แต่จมจ่อมทำความเข้าใจในระดับครึ่งอริยะ จิตรับรู้ล่องลอย มองเห็นทั่วทั้งจักรวาลดาราแล้ว

นางพบว่าที่นี่ไม่ใช่มรรคาสวรรค์ ด้านนอกห้วงจักรวาลไม่มีเงาของแดนเซียน ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงโลกต่างๆ ที่อยู่ด้านล่างแดนเซียนเลย

ในเวลานี้เอง

นางพลันพบว่าในจักรวาลนี้มีคนนอกอีกสองคน

เป็นหลิวเป้ยและเจียงเจวี๋ยซื่อ

หลังจากเผชิญการโจมตีสิ่งอัปมงคล เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ได้ปกปิดร่างและกลิ่นอายอีก เพราะต้องการขู่ขวัญผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่ต้องการบุกรุกจักรวาลดารา

“ผู้ใด”

เสียงตะคอกเยียบเย็นของเจียงเจวี๋ยซื่อแว่วเข้าสู่หูหานชิงเอ๋อร์ ทำให้นางสะดุ้งจนเกือบอกสั่นขวัญแขวน สั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ

ดวงตางามของหานชิงเอ๋อร์เบิกกว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ

อีกฝ่ายเป็นผู้ใดกัน

อาศัยเพียงเสียงตวาด ก็ทำให้นางรู้สึกหวาดผวาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้แล้ว

………………………………………………………………