บทที่ 885 ทะลวงสู่ระยะกลาง ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองหมื่นห้าพันคน

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 885 ทะลวงสู่ระยะกลาง ท้าสู้อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองหมื่นห้าพันคน

“เตรียมต่อสู้!”

หานทั่วเอ่ยเสียงขรึม ยกมือขวาขึ้นมา เงาดำน่าหวาดหวั่นร่างหนึ่งรวมตัวเหนือร่างเขา ดูคล้ายตอนที่หานเจวี๋ยสำแดงร่างจำลองเสรีสุญญตา

สี่เทวทัณฑ์ที่เหลือก็เตรียมพร้อมออกศึกเช่นกัน

สายตาของพวกเขาจ้องเขม็งไปที่หลักศิลาใหญ่ยักษ์เบื้องหน้า ในโพรงนับไม่ถ้วนนั้นมีเงาร่างขยับไหวอยู่ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีเผ่าพันธุ์ขนาดใหญ่ซุกซ่อนตัวอยู่ด้านใน คล้ายกับรังมด

ในเวลานี้เอง มีอักขระโลหิตผุดออกมาบนหลักศิลาทีละตัวๆ พัวพันอยู่ตามปากโพรงต่างๆ เนืองแน่นยั้วเยี้ย ทำให้คนขนหัวลุก

“เทพมารฟ้าบุพกาล…ดีมาก พวกเจ้าเหมาะสมกับข้ายิ่งนัก!”

น้ำเสียงเยียบเย็นวังเวงสายหนึ่งดังขึ้น วาจาแปลกประหลาด แต่ห้าเทวทัณฑ์ตบะสูงส่ง ล้วนฟังความหมายที่เขาต้องการสื่อออก

หานทั่วขมวดคิ้ว เอ่ยว่า “ทำลายสิ่งนี้เสีย!”

ห้าเทวทัณฑ์ลงมือพร้อมกัน พลังเวทสั่นสะเทือนห้วงอวกาศ แสงเทพห้าสีแตกต่างกันไปพุ่งกระทบหลักศิลาใหญ่ยักษ์ เปล่งแสงเจิดจ้าแยงตา สาดส่องไปทั่วทิศ ทำให้ห้วงอวกาศสิ้นสีสันไป

….

ภายในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

หานเจวี๋ยทุ่มสมาธิฝึกบำเพ็ญ โอกอนธการที่อยู่ในส่วนของวิญญาณขยายตัวออกไปอย่างต่อเนื่อง พลังเวทระดับยอดมหามรรคของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังแห่งการสรรค์สร้างก็ลึกล้ำขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

ครั้งนี้ปิดด่านไปได้เจ็ดหมื่นปี ในที่สุดหานเจวี๋ยก็เผชิญโอกาสทะลวงขั้นแล้ว

เขาเริ่มฝ่าทะลวง

ห้าพันปีต่อมา เขาทะลวงขั้นสำเร็จ!

ระดับยอดมหามรรคระยะกลาง!

หานเจวี๋ยยิ้มออกมา ในที่สุดก็ทะลวงขั้นแล้ว

เขาเรียกจอหน้าต่างค่าสถานะออกมาตรวจสอบ

[ชื่อ: หานเจวี๋ย]

[อายุขัย: 5425122/90,039,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999,999]

[เผ่าพันธุ์: เทพมารอนธการ (มหาจักรพรรดิไร้ขอบเขต)]

[ตบะ: ระดับยอดมหามรรคระยะกลาง (อริยะสมบูรณ์แบบ)]

[วิชายุทธ์: มหามรรควัฏจักรอนธการ (ระดับยอดมหามรรค), วิชาชุบร่างวัฏจักรดารา]

[มหามรรค: มหามรรคเวียนว่ายตายเกิด, มหามรรคแห่งกรรม, มหามรรคต้นกำเนิด]

….

อายุขัยเพิ่มขึ้นมาเก้าเท่า!

หานเจวี๋ยอารมณ์เบิกบาน

ยังคงปิติยินดีเช่นเดียวกับที่ผ่านมา ผู้ใดจะรังเกียจอายุขัยยืนยาวเล่า

หานเจวี๋ยเริ่มทำให้ตบะเสถียร

สามพันปีต่อมา ตบะถึงได้มั่นคง เขาเริ่มยกระดับพลังวิเศษ

ห้าร้อยปีต่อมา หานเจวี๋ยเรียนรู้ร่างจำลองเทพมารเพิ่มห้าร้อยตน มีร่างจำลองเทพมารรวมทั้งหมดสองพันสี่ร้อยสี่สิบเก้าตน

เข้าใกล้การมีร่างจำลองเทพมารสามพันตนยิ่งนักแล้ว

แต่ในบรรดาร่างจำลองเทพมารเหล่านี้กลับยังไม่มีมรรคแห่งการสรรค์สร้าง

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น เริ่มใช้แบบจำลองการทดสอบ

ครั้งนี้ ยังคงเป็นอริยะเทพอวี๋เจี้ยน

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนในระดับยอดมหามรรคยังคงแข็งแกร่งกว่าขุนพลศักดิ์สิทธิ์อยู่ เหมาะจะใช้ทดสอบ

หานเจวี๋ยท้าสู้กับอริยะเทพอวี๋เจี้ยนรวดเดียวหนึ่งหมื่นคน

สังหารในเสี้ยววินาที!

เป็นอย่างที่คาดไว้ ทุกครั้งหานเจวี๋ยฝ่าทะลวงหนึ่งขั้นเล็ก พลังต่อสู้จะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด

ร่างจำลองเทพมารสองพันสี่ร้อยสี่สิบเก้าร่างผสานรวมกัน น่ากลัวถึงเพียงใด ทำลายล้างได้สิ้นซาก สังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนหมื่นคนได้ตรงๆ

หานเจวี๋ยท้าสู้ต่อไป

อริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองหมื่นคน!

คราวนี้ หานเจวี๋ยเปลืองแรงแล้ว

สู้ติดพันอยู่ครึ่งชั่วยามก็ยังเอาชนะไม่ได้

เขาไม่ย่อท้อ กลับตื่นเต้นยิ่ง

มีอุปสรรค ถึงจะมีจิตใจแห่งการต่อสู้

หลายวันต่อมา

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น พึงพอใจนัก

ขีดจำกัดสูงสุดของเขาคือสังหารอริยะเทพอวี๋เจี้ยนสองหมื่นห้าพันคน น่ากลัวมากพอแล้ว

ถึงอย่างไรอริยะเทพอวี๋เจี้ยนก็เป็นระดับยอดมหามรรคเช่นกัน!

หากเกิดการต่อสู้เช่นนี้ขึ้นจริง ฟ้าบุพกาลล้วนจะย่อยยับ!

ฟ้าบุพกาลในปัจจุบันนี้รองรับยอดมหามรรคมากมายปานนั้นไม่ไหว

หานเจวี๋ยอยากสาปแช่งศัตรูหาความสำราญสักหน่อย แต่จู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าควรจะสาปผู้ใด

เหล่าศัตรูบ้างก็ตาย บ้างก็ซ่อนตัว ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องหานเจวี๋ยตรงๆ แล้ว

หานเจวี๋ยรู้สึกเศร้าสร้อยอย่างน่าประหลาด

แต่ก่อนกลัวจะมีศัตรูมากไป ตอนนี้กลับหวังให้มีศัตรูเพิ่มขึ้น

เมื่อไม่มีศัตรู พลังเวทไร้ขอบเขตในร่างก็ไร้หนทางระบายออก

“ดูเหมือนมรรคจิตของข้ายังต้องขัดเกลาต่อไป”

หานเจวี๋ยพึมพำกับตัวเอง ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น

เขานึกถึงเจ้านวฟ้าบุพกาล นึกถึงเจ้าอวิชชาฟ้าบุพกาล จากนั้นก็นึกถึงมหาเทวาพ้นนิวรณ์ เส้นทางของเขายังอีกยาวไกล

หานเจวี๋ยเรียกกล่องจดหมายออกมาตรวจดู

ระยะนี้แวดวงสหายไม่ค่อยสงบอีกครั้ง ประเด็นหลักคือหานทั่ว เต้าจื้อจุนและหวงจุนเทียน ทั้งสามคนถูกเคี่ยวกรำอีกแล้ว

หานเจวี๋ยพลันสังเกตเห็นว่าช่วงนี้จักรพรรดิสวรรค์ผู้ชั่วร้ายและปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเงียบเชียบยิ่ง ราวกับหายตัวไปก็ไม่ปาน 艾琳小說

ทั้งสองคนนี้ต่างเป็นผู้นำที่มีความทะเยอทะยาน ย่อมซุ่มวางแผนบางอย่างอยู่อย่างแน่นอน

อ่านจดหมายไปได้สักพัก หานเจวี๋ยก็เรียกหานชิงเอ๋อร์เข้ามา

หานชิงเอ๋อร์ค้างอยู่ที่ระดับครึ่งอริยะระยะสมบูรณ์ ไม่อาจพิสูจน์มรรคได้

ประเด็นหลักๆ คือประสบการณ์ของนางน้อยเกินไป มรรคจิตไม่มั่นคง หาวิถีทางของตนไม่พบ

หลังเข้ามาในอาราม หานชิงเอ๋อร์มีสีหน้าหดหู่ เอ่ยว่า “ท่านพ่อ คุณสมบัติของข้าไม่ดีใช่หรือไม่”

นางคิดว่าหานเจวี๋ยต้องการตำหนิเรื่องตบะของนาง

ถึงอย่างไรในช่วงหลายหมื่นปีมานี้ นางก็ยังไม่ทะลวงขั้นเลย ทำให้นางหงุดหงิดนัก

ตอนนั้นนางพูดจาโอหังอย่างยิ่งว่าจะก้าวข้ามพี่ใหญ่ไปให้ได้ แต่ตอนนี้ เป็นนางที่ฝันสูงไปเสียแล้ว

เมื่อเผชิญกับระดับอริยะ คุณสมบัติจะนับเป็นอันใดเล่า

นางถึงขั้นที่คิดอยู่ว่าจะออกไปท่องโลกดีหรือไม่ แสวงหาโอกาสวาสนา

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณสมบัติของเจ้าดีพอแล้ว พ่อจะช่วยเจ้าพิสูจน์มรรคเอง”

“จริงหรือเจ้าคะ”

หานชิงเอ๋อร์มีสีหน้าปรีดา

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าเพียงหามรรควิถีของตนไม่พบเท่านั้น แต่เจ้าสามารถฝึกบำเพ็ญมรรควิถีของพ่อได้ มรรควิถีของข้าครอบคลุมหลักการของมหามรรคทั้งสามพันวิถี ไม่ว่าจะเป็นมรรควิถีใดล้วนมีทั้งสิ้น”

เมื่อหานชิงเอ๋อร์ได้ฟังก็มองหานเจวี๋ยด้วยความเลื่อมใส

นางโผเข้าไปในอ้อมอกของหานเจวี๋ย เริ่มออดอ้อน

หานเจวี๋ยดันตัวนางออกอย่างจนปัญญา กล่าวว่า “บุตรีเติบใหญ่ต้องเลี่ยงบิดา รู้หรือไม่ เจ้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว ต่อไปห้ามทำแบบนี้ ต้องสำรวม”

หานชิงเอ๋อร์ยิ้มปะเหลาะ “อะไรกัน ข้ายังคงเป็นบุตรสาวของท่านไปตลอดกาลนะเจ้าคะ”

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา จากนั้นก็เริ่มเทศนาธรรม เมื่อเขาเปล่งเสียงออกมา หานชิงเอ๋อร์ก็เข้าสู่สภาวะตระหนักมรรคทันที

เทศนาธรรมหนึ่งร้อยปี ผ่านไปในชั่วพริบตา

หานชิงเอ๋อร์ลืมตาขึ้น อดทอดถอนใจไม่ได้ “เป็นมรรควิถีที่เลิศล้ำนัก ท่านพ่อ นี่คือมรรควิถีใดหรือ”

“มหามรรคต้นกำเนิด”

“ข้ามองเห็นเงาร่างของผู้คนมากมายเดินอยู่บนเส้นทางแห่งมหามรรคต้นกำเนิด พวกเขาทั้งหมดคือใครเจ้าคะ”

“เป็นบรรดาศิษย์และศิษย์หลานของข้า พวกเขาก็บำเพ็ญมรรควิถีนี้เช่นกัน เทียบกับเจ้าแล้วล้วนร้ายกาจกว่าทั้งสิ้น”

“มากขนาดนั้นเชียวหรือ”

หานชิงเอ๋อร์ตกใจ ก่อนหน้านี้ตอนนางยืนอยู่บนมหามรรคต้นกำเนิดแล้วทอดมองออกไป มองไม่เห็นปลายทางเลย แต่มองเห็นเงาร่างหลายร่าง ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝ่ายห่างไกลยิ่งกว่าระยะห่างระหว่างนางกับผู้บำเพ็ญที่อยู่ด้านหลังเสียอีก

นางถามด้วยความสงสัย “ในบรรดาศิษย์ของท่านผู้ใดเก่งกาจที่สุดเจ้าคะ”

หานเจวี๋ยใคร่ครวญดูเล็กน้อย ตอบว่า “มู่หรงฉี่ ศิษย์หลานของข้า”

หลังจากกลายเป็นเทพมารฟ้าบุพกาล มู่หรงฉี่รักษาตำแหน่งที่หนึ่งในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สองมาโดยตลอด ฝึกบำเพ็ญจนบรรลุระดับอริยะเสรีระยะปลายแล้ว ที่ตามหลังมาคือพวกเทพมารขุนพลสวรรค์และจิ้งจอกชาด พวกเต้าจื้อจุนทั้งสามถูกพวกเขาทิ้งห่างไปหนึ่งขั้นแล้ว

มู่หรงฉี่หรือ

หานชิงเอ๋อร์ไม่เคยได้ยินนามนี้มาก่อน ก่อนหน้านี้นางนึกว่าเป็นเจียงเจวี๋ยซื่อ ไม่นึกเลยว่าเจียงเจวี๋ยซื่อที่น่ากลัวถึงเพียงนั้นจะไม่ใช่อันดับหนึ่ง

“เจียงเจวี๋ยซื่อล่ะเจ้าคะ”

“เขาหรือ ยังไม่พอจะติดสิบลำดับแรก หลายปีมานี้ตบะของเขาไม่เพิ่มขึ้นเลย ยังคงหมกมุ่นอยู่กับการสร้างมรรควิถีแห่งตน”

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ สิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง

ชาตินี้เจียงเจวี๋ยซื่อทะลวงขั้นเร็วเกินไป จำเป็นต้องตั้งหลักสักหน่อย มิเช่นนั้นรากฐานจะไม่มั่นคง รอให้ผ่านไปอีกสักระยะหนึ่ง หานเจวี๋ยจะอบรมสั่งสอนเขาด้วยตัวเอง

ในเวลานี้เอง

คลื่นวนสีดำหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นด้านหลังหานเจวี๋ย

หานชิงเอ๋อร์เบิกตากว้าง กำลังคิดจะถาม หานเจวี๋ยลุกขึ้น ซัดฝ่ามือออกไปคราหนึ่ง มือข้างหนึ่งที่เพิ่งยื่นออกมาจากคลื่นวนถูกเขาซัดกลับไป

หานเจวี๋ยจับสัมผัสอย่างละเอียด ผู้ร่ายวิชาอัญเชิญคือหานทั่ว เพียงแต่เพิ่งจะร่ายก็ถูกศัตรูไล่ตามมา

ดูเหมือนศัตรูของเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดาเลย!

………………………………………………………………