บทที่ 886 ปรมาจารย์เทพทมิฬ ตายชั่วคราว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 886 ปรมาจารย์เทพทมิฬ ตายชั่วคราว

“ท่านพ่อ นี่คือสิ่งใดเจ้าคะ”

หานชิงเอ๋อร์ถามด้วยความประหม่า เป็นครั้งแรกที่นางได้พบสถานการณ์เช่นนี้ จึงประหม่าสุดขีด

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อน”

พูดจบ เขาก็กระโดดเข้าสู่คลื่นวนสีดำ เปิดใช้งานยอดสมบัติทั่วร่าง

ยามที่มือข้างนั้นยื่นออกมาเมื่อครู่ หานเจวี๋ยมองทะลุตบะของอีกฝ่ายแล้ว

เบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์!

หานเจวี๋ยทุ่มสมาธิทั้งหมด ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายบุกเข้ามาในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามผ่านคลื่นวนสีดำได้

เขากระโดดเข้าสู่คลื่นวนสีดำ สิ่งที่ปรากฏต่อครรลองสายตาคือห้วงอวกาศพังพินาศ สายฟ้าตัดพาดสลับกัน ด้านหน้ามีหลักศิลาใหญ่มหึมาชิ้นหนึ่ง บนนั้นมีโพรงมากมาย ในโพรงมีสิ่งที่น่าสยดสยองเคลื่อนไหวอยู่

ห้าเทวทัณฑ์ถูกตรวนหลายเส้นผูกล่ามไว้บนยอดหลักศิลา เคลื่อนไหวไม่ได้

หานเจวี๋ยใช้แบบจำลองการทดสอบตรวจจับรอบข้างทันที

[ปรมาจารย์เทพทมิฬ: ระดับเบิกฟ้ามหามรรคระยะสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาล นักพรตเต๋าผู้หลุดพ้น กายอันธการ]

ไม่มีตัวตนที่แข็งแกร่งกว่านี้แล้ว!

นั่นก็แปลว่าสัมผัสรับรู้ของหานเจวี๋ยไม่ได้ผิดพลาดไป

สายตาของหานเจวี๋ยมองไปที่ยอดหลักศิลา มีเงาร่างหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดคลุมสีดำ ปล่อยผมสยาย ผิวหนังราวกับเปลือกไม้แห้ง สีหน้ามืดครึ้มเย็นชา ราวกับมารร้ายที่ปีนขึ้นมาจากนรกขุมที่เก้า

เวลานี้ แขนขวาของปรมาจารย์เทพทมิฬกำลังฟื้นฟูกลับมาช้าๆ แขนข้างนั้นที่ถูกหานเจวี๋ยทำลายทิ้งคือมือของเขา

ปรมาจารย์เทพทมิฬมองหานเจวี๋ยด้วยความตระหนกตื่นตัว ถามเสียงขรึม “ท่านเป็นผู้ใด”

สายตาเขาเหลือบมองหานทั่วที่อยู่ด้านล่าง ไม่คิดเลยว่าหานทั่วจะมีภูมิหลังเช่นนี้

อี๋เทียนตะโกนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น “พ่อบุญธรรม! รีบช่วยพวกเราเถิด!”

พ่อบุญธรรมหรือ

สามเทวทัณฑ์ที่เหลือสีหน้าแตกตื่น อริยะสวรรค์เกรียงไกรในตำนาน!

หานเจวี๋ยเปิดใช้สมบัติวิเศษทั่วร่าง แสงเทพเจิดจ้าข่มคน ในมุมมองของพวกเขาแล้วดูทรงอำนาจและน่าเกรงขามกว่าเทพมหาทัณฑ์เสียอีก

ฉากนี้สร้างความตกตะลึงให้พวกเขาอย่างยิ่ง

หานเจวี๋ยถาม “เหตุใดสหายเต๋าต้องจับตัวบุตรชายข้าด้วย”

ปรมาจารย์เทพทมิฬขมวดคิ้วพลางถาม “ผู้ใดคือบุตรชายของเจ้า เจ้าบอกมา ข้าจะปล่อยเขาก็ได้”

หานเจวี๋ยมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าห้าคนนี้คือห้าเทวทัณฑ์ เขาเชื่อมไมตรีกับเทพมหาทัณฑ์แล้ว คนเหล่านี้ล้วนเป็นสหายของหานทั่ว เขาย่อมต้องช่วยเหลือ

“ปล่อยทุกคนซะ แล้วจะถือเสียว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด”

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างจริงจัง เขาทิ้งเสี้ยวเจตจำนงไว้ในคลื่นวนสีดำ กันไม่ให้มีคนแอบแทรกซึมเข้าไปได้

ปรมาจารย์เทพทมิฬหัวเราะดังลั่น ราวกับได้ยินเรื่องตลกชวนหัวที่สุด

เขาจ้องหานเจวี๋ยอย่างดุร้าย เอ่ยเสียงเยียบเย็น “ท่านผู้สูงศักดิ์ไม่รู้สึกว่าน่าขันหรอกหรือ”

หานเจวี๋ยถอนหายใจคราหนึ่ง ถามไปว่า “พวกเขาล่วงเกินเจ้าหรือ”

“ก็มิใช่”

“เช่นนั้นเจ้าทำไปเพื่ออะไร”

“ย่อมเป็นเพราะข้าต้องการร่างของพวกเขา”

ปรมาจารย์เทพทมิฬยกสองมือขึ้น มีไอทมิฬแปลกประหลาดผุดออกมาจากปากโพรงนับไม่ถ้วนบนหลักศิลา

ในเวลานี้เอง เขาพบว่าหานเจวี๋ยหายไปแล้ว

เขาไม่ได้ตื่นตระหนก กลับยกยิ้มมุมปาก

มองเห็นเพียงว่าหานเจวี๋ยปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเขา ถือกระบี่พิพากษาอนธการไว้ในมือ ฟันเข้าใส่

ไอทมิฬผุดขึ้นมาจากความว่างเปล่า ห่อหุ้มร่างของปรมาจารเทพทมิฬไว้

เมื่อกระบี่พิพากษาอนธการตัดผ่าน ไอทมิฬสลายไปดั่งหมอกควัน ตามมาด้วยกายเนื้อของปรมาจารย์เทพทมิฬที่ถูกฟันขาดสองท่อน

“เป็นไปได้อย่างไร!”

สีหน้าปรมาจารย์เทพทมิฬแปรเปลี่ยนมหันต์ สีหน้าราวกับไม่อยากจะเชื่อ

เวลานี้เอง พลังควบคุมอันแข็งแกร่งประการหนึ่งสะกดเขาไว้ ทำให้เขาขยับเขยื้อนไม่ได้ แม้แต่วิญญาณก็หนีไม่ได้

เขาตื่นตระหนกเมื่อพบว่าตนไม่สามารถสำแดงพลังแห่งมหามรรคได้

เป็นไปไม่ได้!

เขาเป็นถึงตัวตนระดับอริยะมหามรรคระยะสมบูรณ์!

ทอดสายตามองไปทั่วฟ้าบุพกาล เขามีตบะระดับสูงสุดแล้ว นอกจากดวงจิตยุคโบราณเหล่านั้น ยังจะมีผู้ใดสู้เขาได้อีก

ร่างจำลองเทพมารร่างหนึ่งพลันยืดขยายขึ้นเหนือศีรษะหานเจวี๋ย คว้าตัวเขาไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นก็บีบเขาให้แหลก

[ปรมาจารย์เทพทมิฬเกิดความเกลียดชังในตัวท่าน ระดับความเกลียดชังในขณะนี้คือ 6 ดาว]

หานเจวี๋ยจับสัมผัสรอบข้างดู ไม่มีเงาร่างของปรมาจารย์เทพทมิฬอยู่เลย

กล่าวได้เพียงว่า คนผู้นี้เหลือทางรอดไว้ ทิ้งวิธีชุบชีวิตไว้ที่อื่น

เขาได้แต่อุทานจุ๊ๆ อยู่ในใจ มีพลังแค่นี้ก็กล้ามาผยองแล้วหรือ

เขาหลงนึกว่าปรมาจารย์เทพทมิฬจะมีกลวิธีพิเศษอันใด สรุปคือสู้ไม่ถึงยกด้วยซ้ำ

หานเจวี๋ยโบกแขนเสื้อ ทำลายโซ่ตรวนที่ผูกมัดห้าเทวทัณฑ์ไว้

จากนั้นเขายกมือขึ้นดูดหลักศิลาเข้าสู่แขนเสื้อ ใช้พลังวิเศษของตนผนึกไว้

เขาสัมผัสได้ว่าในหลักศิลามีสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนแฝงอยู่ น่าจะเป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง เพียงแต่เผ่าพันธุ์นี้ประหลาดยิ่ง ไม่มีปราณชีพเลยสักนิด

อี๋เทียนพรูลมหายใจออกมา อีกสามเทวทัณฑ์ที่เหลือมองหานเจวี๋ยอย่างเคารพยำเกรง

หานทั่วเดินเข้ามาหาหานเจวี๋ย เอ่ยด้วยสีหน้าละอายใจ “ขออภัยขอรับ ท่านพ่อ ลำบากท่านแล้ว”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “ไม่เป็นไร รีบจากไปโดยเร็วเถอะ”

พูดจบ เขาก็หายลับไปจากจุดเดิม

จากนั้นคลื่นวนสีดำที่อยู่ไกลออกไปก็หดตัวลง

เทวทัณฑ์คนหนึ่งมองหานทั่ว เอ่ยด้วยความสะท้อนใจ “ลูกพี่ บิดาของท่านร้ายกาจจริงๆ ผ่อนคลายเกินไปแล้ว”

เมื่อครู่นี้ปรมาจารย์เทพทมิฬที่ทำให้พวกเขาสิ้นหวังได้ พออยู่ต่อหน้าหานเจวี๋ยแล้วกลับไร้ซึ่งกำลังจะต่อต้าน ทำให้พวกเขาได้เปิดโลกแล้ว

“ใช่แล้ว! สมกับเป็นอริยะสวรรค์เกรียงไกร”

“ได้ยินว่าท่านผู้นำดวงจิตร่วมมือกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรจัดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลขึ้น นี่ก็แปลว่าพวกเขามีตำแหน่งเสมอกันมิใช่หรือ”

“พลังระดับนี้สมควรจะอยู่เสมอกันจริงๆ สมกับเป็นสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล”

“น่าเสียดาย ท่านพ่อบุญธรรมไปเร็วเหลือเกิน ยังไม่ได้ยอมรับข้าเลย”

ได้ฟังคำพูดของเหล่าพรรคพวก หานทั่วอดยิ้มไม่ได้ ต้องกล่าวเลยว่า หานเจวี๋ยให้หน้าเขายิ่งนัก มาถึงก็ไม่สอบถามเรื่องราวจากเขาเลย ไม่ได้สร้างความลำบากใจให้เขาด้วย

หานทั่วถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “อันที่จริงข้าก็ไม่อยากอัญเชิญผู้อาวุโสอย่างเขาออกโรงเลย วันหน้าพวกเราต้องจัดการเรื่องราวอย่างระมัดระวังรอบคอบ ก่อนหน้านี้ประมาทเกินไป ติดกับแผนการของตาเฒ่าคนนั้น ไล่ล่าสังหารเขานับหมื่นปี คิดแล้วช่างน่าขัน”

สี่เทวทัณฑ์ที่เหลือก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นกัน

อี๋เทียนกระแอมคราหนึ่ง ตอนแรกที่เห็นปรมาจารย์เทพทมิฬคิดหลบหนี เป็นเขาที่บอกให้ตาม ไล่ตามอยู่นับหมื่นปี

ตอนนี้พอย้อนนึกถึงแล้ว โง่มากจริงๆ

“ที่นี่ไม่ธรรมดาเลย จะสำรวจดูหน่อยหรือไม่” เทวทัณฑ์รายหนึ่งถาม

หานทั่วกวาดตามองรอบข้าง เอ่ยว่า “ไปก่อนเถอะ แจ้งเรื่องนี้ให้ท่านผู้นำดวงจิตทราบ”

สี่เทวทัณฑ์ไม่คัดค้าน ตามหานทั่วจากไปอย่างรวดเร็ว

….

ภายในอารามเต๋า

หานเจวี๋ยนั่งลง จากนั้นคลื่นวนสีดำก็เลือนหายไป

หานชิงเอ๋อร์ก้าวเข้ามาหา เอ่ยถาม “เร็วขนาดนี้เชียวหรือ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นเจ้าคะ”

ขณะที่นางลังเลว่าจะออกไปตามที่ท่านพ่อบอกดีหรือไม่ ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อจะกลับมาเร็วขนาดนี้

เพิ่งผ่านไปไม่เท่าไรเอง

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “พี่ใหญ่ของเจ้าขอความช่วยเหลือ พ่อเลยไป” ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

หานชิงเอ๋อร์กะพริบตา เอ่ยถาม “จัดการแล้วหรือเจ้าคะ”

“อืม”

“พี่ใหญ่พบพานศัตรู หรือว่าถูกขังเจ้าคะ”

“ทั้งคู่”

“เช่นนั้นศัตรูล่ะเจ้าคะ”

“ตายไปชั่วคราว”

“อะไรคือตายชั่วคราวเจ้าคะ”

“ข้าจัดการเขาแล้ว แต่เขายังเหลือทางคืนชีพเอาไว้”

หานชิงเอ๋อร์ตะลึงอยู่ในใจ ยังคืนชีพได้อีกหรือ

ดูเหมือนในอนาคตตนก็ต้องระวังศัตรูไว้แล้วเช่นกัน

เพียงแต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายตายจริงหรือไม่

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “เจ้าออกไปฝึกบำเพ็ญเถอะ เร่งพิสูจน์มรรคให้ได้”

หานชิงเอ๋อร์พยักหน้ารับ อดถามไม่ได้ “ศัตรูคนนั้นมีตบะระดับใดเจ้าคะ อริยะเสรี หรือว่าแข็งแกร่งกว่านั้น”

ในมุมมองของนางศัตรูที่สามารถกักขังพี่ใหญ่ของนางได้ต้องเป็นอริยะเสรีแน่นอน ไม่มีทางต่ำไปกว่านี้

“แกร่งกว่า”

หานเจวี๋ยเอ่ยเพียงสองคำ หานชิงเอ๋อร์ฟังแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นหันหลังเดินออกไป

หานเจวี๋ยแปลกใจ ไยสีหน้าของสาวน้อยคนนี้ถึงเปลี่ยนไปเล่า

ไม่ใช่ว่าควรอุทานด้วยความตะลึงหรือ

เฮ้อ

บุตรสาวเติบใหญ่แล้ว ไม่น่ารักเหมือนตอนเด็กๆ อีก

หานเจวี๋ยส่ายหน้าหลุดยิ้มออกมา หลังจากหานชิงเอ๋อร์ออกไปแล้วถึงได้นำหลักศิลาก้อนนั้นออกมา

………………………………………………………………