บทที่ 890 การประลองระหว่างพ่อลูก

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 890 การประลองระหว่างพ่อลูก

ในส่วนลึกของฟ้าบุพกาล บนทวีปพังทลายแห่งหนึ่ง ผู้บำเพ็ญสองกลุ่มกำลังเผชิญหน้าคุมเชิงกันอยู่

ฝั่งหนึ่งคือพวกปรมาจารย์ลัญจกรสรวง หลี่เต้าคงและสือตู๋เต้า อีกฝั่งคือพวกหวงจุนเทียน

หวงจุนเทียนมีลูกน้องมากกว่า จำนวนมากกว่าพวกปรมาจารย์ลัญจกรสรวงถึงสี่เท่า

หวงจุนเทียนจ้องมองปรมาจารย์ลัญจกรสรวง เอ่ยว่า “ปรมาจารย์ นึกถึงไมตรีในมรรคาสวรรค์ของพวกเรา พวกท่านก็เข้ามาร่วมกับกลุ่มมิ่งเถอะ ข้าขึ้นเป็นเจ้าชะตาอย่างเป็นทางการแล้ว ปกครองผู้กำหนดชะตาเคราะห์นับล้าน ท่านร่วมถึงลูกน้องเหล่านี้ อยู่กันลำพังยากจะยืนหยัดได้”

สือตู๋เต้าและหลี่เต้าคงขมวดคิ้ว

พวกเขาย่อมเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของหวงจุนเทียน จากคนไร้ชื่อเสียงสำเร็จเป็นเจ้าชะตาได้ ย่อมมีกลยุทธ์ร้ายกาจ อย่างน้อยๆ ก็เป็นคนที่พวกเขาไล่ตามไม่ทัน

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงเอ่ยยิ้ม “หวงจุนเทียน ไม่คิดเลยว่าในมรรคาสวรรค์จะมีบุคคลเช่นเจ้าด้วย ความสามารถของเจ้าหาได้ขึ้นอยู่กับตบะไม่ แต่ศักยภาพของเจ้าเป็นเช่นเดียวกับอริยะสวรรค์เกรียงไกรผู้นั้น ล้วนไม่อาจหยั่งวัดได้”

หวงจุนเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณสำหรับคำชมเชยจากปรมาจารย์ ตอนนี้ข้าคิดเพียงแต่จะรวมผู้กำหนดชะตาเคราะห์ให้เป็นหนึ่งเดียว เฝ้ามองอนาคตไปด้วยกัน ถึงแม้ฟ้าบุพกาลจะสงบแล้ว แต่พวกเราย่อมหนีชะตากรรมไม่พ้น หากไม่รวมตัวกันไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะถูกโจมตีย่อยยับ นับตั้งแต่พวกเรากลายเป็นผู้กำหนดชะตาเคราะห์ อันที่จริง พวกเราก็ไม่นับเป็นสิ่งมีชีวิตฟ้าบุพกาลแล้ว คิดจะอยู่รอดในฟ้าบุพกาล ก็ต้องรวมตัวเกาะกันเป็นกลุ่มก้อน”

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงพยักหน้ารับ คล้ายจะเห็นด้วยกับความคิดของหวงจุนเทียน แต่เขากลับไม่ได้เห็นด้วยที่จะควบรวมกัน

ชั่วขณะนั้น บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียด เงียบสงัดไร้สุ้มเสียง

สือตู๋เต้านึกในใจ ‘นี่มันสถานการณ์อันใดกัน เหตุใดเจ้าแดนต้องห้ามอันธการยังไม่ปรากฏตัวอีก กำลังทำอะไรอยู่’

เขาพลันมองไม่กระจ่างแล้ว

เขาคิดว่าเจ้าแดนต้องห้ามอันธการและอริยะสวรรค์เกรียงไกรเป็นคนเดียวกัน เจ้าแดนต้องห้ามอันธการบงการกลุ่มอิทธิพลมิ่งเพื่อช่วยสร้างชื่อเสียงให้อริยะสวรรค์เกรียงไกร ยามนี้อริยะสวรรค์เกรียงไกรมีชื่อก้องฟ้าบุพกาลแล้ว ถึงเวลาที่ควรเก็บกวาดปิดฉากได้แล้ว ควบรวมกลุ่มอิทธิพลมิ่ง พัฒนาไปอย่างลับๆ เพื่อให้กลายเป็นกลุ่มอิทธิพลเปี่ยมศักยภาพ

“ปรมาจารย์ คิดดีแล้วหรือยัง” หวงจุนเทียนหรี่ตาเอ่ยถาม มือขวาของเขาที่ไพล่หลังไว้เริ่มทำสัญญาณมือ

นี่คือสัญญาณเตรียมออกศึก

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงก้าวเข้ามาหนึ่งก้าว เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ให้พวกเรายอมสวามิภักดิ์น่ะได้ แต่ในฐานะเจ้าชะตา เจ้าก็สมควรจะพิสูจน์พลังของตนให้เห็นหน่อยไม่ใช่หรือ กลยุทธ์เลิศล้ำอาจสยบคนไม่ได้ หากต้องการนำพาให้กลุ่มอิทธิพลมิ่งแข็งแกร่งขึ้น ยังคงต้องอาศัยพลังวิเศษ”

หวนจุนเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นปรมาจารย์โปรดชี้แนะด้วย”

ประกายแสงเยียบเย็นแผ่ออกมาจากสองเนตรของเขา

ปรมาจารย์ลัญจกรสรวงพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย

ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด เขานึกถึงดรรชนีกระบี่โลกาสวรรค์ทลายภพของหานเจวี๋ยขึ้นมาอย่างน่าประหลาด

เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ!

สมแล้วที่ได้ขึ้นเป็นเจ้าชะตา!

….

วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป

ผ่านพ้นไปหนึ่งแสนปี

ใต้พฤกษาเก่าแก่ หานชิงเอ๋อร์กำลังนั่งสมาธิบำเพ็ญ ยามนี้ตบะของนางบรรลุถึงเซียนทองต้าหลัวเบิกฟ้าแล้ว พิสูจน์มรรคได้ในไม่กี่แสนปี ความเร็วในการทะลวงขั้นนี้เกินไปมากจริงๆ

ชิงหลวนเอ๋อร์เพิ่งสิ้นสุดการฝึกบำเพ็ญ อดไม่ได้ที่จะยืดตัวเล็กน้อย นางเหลือบมองบุตรสาวที่อยู่ด้านข้าง อดถามไม่ได้ “ชิงเอ๋อร์ เจ้าไม่เหนื่อยหน่ายเลยหรือ”

กลับเป็นชิงหลวนเอ๋อร์ที่ไม่อาจทนฝึกบำเพ็ญอยู่ตลอดได้ พอผ่านไปสักระยะหนึ่ง นางล้วนต้องหยุดพักผ่อนคลายบ้าง

หานชิงเอ๋อร์ตอบโดยไม่ลืมตาขึ้นมา “จะเหนื่อยหน่ายต่อการพัฒนาให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร อาจเป็นเพราะท่านไม่รับรู้ถึงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเท่านั้น”

ชิงหลวนเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ตะลึงไปเล็กน้อยแล้วถึงเข้าใจ

นี่กำลังเยาะเย้ยในพรสวรรค์ด้านการบำเพ็ญของนางอยู่กระมัง

ชิงหลวนเอ๋อร์ยื่นมือไปฟาดหลังหานชิงเอ๋อร์ทีหนึ่ง ทว่าไม่ได้ออกแรงเลย ด้วยเกรงว่าจะกระทบต่อการฝึกบำเพ็ญของนาง

นางมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของหานชิงเอ๋อร์ รู้สึกสะท้อนใจอย่างยิ่ง

ไม่ว่าจะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว ล้วนฝักใฝ่ในการบำเพ็ญ

แต่ก่อนนางไม่เข้าใจเลย ตอนนี้กลับเข้าใจแล้ว เป็นเพราะได้รับสืบทอดมาจากบิดาของพวกเขาทั้งสิ้น

การบำเพ็ญของหานเจวี๋ยยิ่งน่าเหลือเชื่อกว่า ปิดด่านบำเพ็ญได้เป็นเวลาหลายแสนปี ทุกครั้งที่นางนึกขึ้นมาล้วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหัวชาไปหมด

เวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าแว่วเข้ามา

มองเห็นหานเจวี๋ยเดินเข้ามา

เมื่อเห็นหานเจวี๋ย ชิงหลวนเอ๋อร์ลุกขึ้นมาด้วยความยินดี

“ท่านพี่ เหตุใดท่านถึงออกมาเจ้าคะ”

พอได้ยินวาจานี้ หานชิงเอ๋อร์ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน นางผุดลุกขึ้นมา เดินอาดๆ เข้าไปหาหานเจวี๋ย เอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้าอยากลองสู้กับท่าน ประลองฝีมือกันเถอะเจ้าค่ะ!”

สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นที่อยู่ห่างออกไปก็ลืมตาขึ้นมาหมดแล้ว เวลาผ่านมานานขนาดนี้ พวกเขาดูไม่โตขึ้นเท่าไรเลย

หานเจวี๋ยเอ่ยยิ้มๆ “ออกมาเยี่ยมพวกเจ้า”

เขามองหานชิงเอ๋อร์แวบหนึ่ง กล่าวว่า “คิดจะประลองกับข้า เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่พอ”

เมื่อหานชิงเอ๋อร์ได้ยิน ก็ไม่พอใจทันที ดฮณ๊ฯดฯฌซ,

“เป็นไปไม่ได้ ตอนนี้ข้าแข็งแกร่งมากแล้ว ศิษย์เหล่านั้นล้วนมิใช่คู่ต่อสู้ของข้า!”

“พวกเขาล้วนยังไม่เข้าสู่มรรควิถี มีเพียงตบะเท่านั้น จะสู้เจ้าได้อย่างไร”

“ก็เพราะแบบนี้ เลยต้องให้ท่านมาสู้กับข้าอย่างไรเจ้าคะ”

“เอาเช่นนี้เถอะ ข้าจะให้เจียงเจวี๋ยซื่อมาประลองกับเจ้า”

“ไม่เอา!”

หานชิงเอ๋อร์ปฏิเสธทันควัน

นางไม่ได้โง่ เจียงเจวี๋ยซื่อเป็นอริยะเสรี ความรู้สึกอันน่าหวาดผวาครานั้นยังคงทำให้นางจำฝังใจมาจนถึงตอนนี้

อีกอย่างเจียงเจวี๋ยซื่อเป็นเพียงศิษย์ ลงมือไม่รู้หนักเบา แต่ท่านพ่อของนางไม่มีทางทำร้ายนาง

หานเจวี๋ยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นสำแดงความฝันอันธการ ชักนำหานชิงเอ๋อร์เข้าสู่ความฝัน

แดนความฝันคือห้วงอวกาศเวิ้งว้างโกลาหล

หานชิงเอ๋อร์มองไปรอบๆ สีหน้าตื่นตกใจ นางนึกว่าตนถูกบิดาพามายังห้วงอวกาศ ไม่รู้สึกตัวเลยว่าที่นี่เป็นเพียงความฝัน

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็มาเถอะ”

ร่างจำลองเทพมารผุดขึ้นเหนือศีรษะเขาร่างแล้วร่างเล่า ทุกร่างยืดขยายสูงใหญ่นับล้านจั้ง ร่างจำลองเทพมารนับร้อย ทั้งหมดล้วนโน้มตัวมาด้านหน้า มองหานชิงเอ๋อร์จากมุมสูง

หานชิงเอ๋อร์มองอย่างโง่งม ไหนเลยจะเคยเห็นฉากเช่นนี้มาก่อน นางเงยหน้ามอง พบว่าตนถูกล้อมไว้หมดแล้ว

นางตกใจจนตัวสั่นไปหมด

มดปลวก!

นางพลันนึกถึงคำนี้ขึ้นมา

ในอดีตยามออกท่องแดนเซียน นางก็เคยเห็นกลุ่มเด็กเล็กไม่น้อยที่ชอบนั่งยองๆ หยอกมดบนพื้นเล่น ล้อมพวกมดไว้ เหมือนกันกับตอนนี้ทุกประการ

หานเจวี๋ยเอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ในเมื่อเจ้าต้องการสู้กับข้าให้ได้ เช่นนั้นจะให้เจ้าได้เห็นถึงพลังของพ่อ ว่าเพราะอะไรพ่อถึงสั่นสะเทือนฟ้าบุพกาลได้ ดูไว้ให้ดี!”

เทพมารขุนพลสวรรค์คำรามกร้าว หานชิงเอ๋อร์ตกใจกลัวตัวสั่น นางคิดจะหนีตามสัญชาตญาณ ทว่าถูกพลังอันน่าหวาดหวั่นอย่างหนึ่งสะกดไว้ ขยับไม่ได้ แม้แต่วิญญาณก็ไม่สามารถหลบหนีออกจากกายเนื้อได้

เป็นไปได้อย่างไร!

ดวงหน้างามของหานชิงเอ๋อร์ซีดเผือด มองเห็นเพียงหมัดของเทพมารขุนพลสวรรค์ที่ซัดเข้ามา

ไอสังหารนั้นเป็นของจริง!

ท่านพ่อไม่ได้ล้อนางเล่น!

ตูม!

เทพมารขุนพลสวรรค์ชกลงมา หานชิงเอ๋อร์ร่างสิ้นจิตสลาย

แดนความฝันสิ้นสุดลง

หานชิงเอ๋อร์ลืมตาขึ้น หอบหายใจหนักหน่วง เหงื่อซึมทั่วศีรษะ สีหน้าหวาดผวา

ชิงหลวนเอ๋อร์ถามด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรไป”

ความฝันผ่านไปเร็วยิ่ง เมื่อครู่หานเจวี๋ยสู้ไปด้วย คุยกับนางไปด้วย ดังนั้นนางจึงไม่สังเกตเห็นว่าหานชิงเอ๋อร์ถูกบิดาของนางพาเข้าสู่แดนความฝัน

หานเจวี๋ยถามด้วยสีหน้ายิ้มมิเชิงยิ้ม “ยังจะสู้อยู่หรือไม่”

หานชิงเอ๋อร์ส่ายหน้าระรัวด้วยความตกใจ ราวกับกลองป๋องแป๋งก็มิปาน

ชิงหลวนเอ๋อร์เห็นนางตกใจขนาดนี้ สีหน้าพลันขรึมลง มองไปที่หานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยแสร้งกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ไม่มีอะไร เพียงไปสู้กับนางในฝันมายกหนึ่ง ไม่ได้ทำร้ายนาง เพียงได้รับความตกใจเท่านั้น เฮ้อ คุณสมบัติด้านจิตใจเป็นเช่นนี้ก็ยังกล้ามาท้าสู้ข้า ยังคิดจะก้าวข้ามพี่ใหญ่ของเจ้าอีกหรือ”

หานชิงเอ๋อร์หน้าแดงแล้ว แต่พอนางนึกถึงฉากเมื่อครู่ขึ้นมา ก็อดไม่ได้ที่จะขวัญเสีย

น่ากลัวเกินไปแล้ว!

ที่แท้ตอนท่านพ่อเอาจริงขึ้นมาก็น่ากลัวถึงเพียงนี้

ไม่แปลกเลยที่อริยะเหล่านั้นในตำหนักเอกภพถึงเคารพนบน้อมต่อท่านพ่อ ในอดีตก็เคยถูกทุบตีมาเช่นเดียวกันกระมัง

………………………………………………………………