บทที่ 891 เจียงเจวี๋ยซื่อยอมสยบ

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 891 เจียงเจวี๋ยซื่อยอมสยบ

ชิงหลวนเอ๋อร์เห็นสีหน้าบุตรสาวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดา คิ้วงามของนางขมวดแน่นยิ่งขึ้น จ้องหานเจวี๋ยด้วยความขุ่นเคือง

หานเจวี๋ยถูกนางจ้องก็รู้สึกเก้อกระดาก เอ่ยไปว่า “ข้าอยากให้ชิงเอ๋อร์เข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ดังนั้นต้องเข้มงวดหน่อย”

งานชุมนุมฟ้าบุพกาลหรือ

ชิงหลวนเอ๋อร์และหานชิงเอ๋อร์ล้วนนึกสนใจขึ้นมา

หานเจวี๋ยก็ไม่ปิดบัง ถึงอย่างไรหานชิงเอ๋อร์ก็พิสูจน์มรรคแล้ว ปิดบังต่อไปก็ไม่มีผลดีอะไร กลับจะชักนำให้เกิดผลลัพธ์ที่ไม่จำเป็นแทน

เขาบอกเพียงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับงานชุมนุมฟ้าบุพกาล ถือโอกาสอธิบายถึงดวงจิตมหามรรคไปด้วย ส่วนเรื่องอื่น เขาไม่ได้เอ่ยถึงมากนัก

ก่อนหน้านี้หานชิงเอ๋อร์เคยได้ยินเรื่องงานชุมนุมฟ้าบุพกาลจากตำหนักเอกภพมาแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยิ่งใหญ่และมีสีสันขนาดนี้

นางพลันตื่นเต้นขึ้นมา เอ่ยว่า “ข้าจะเข้าร่วมเจ้าค่ะ! ข้าอยากเข้าร่วม!”

ชิงหลวนเอ๋อร์กล่าวด้วยความกังวล “ทั่วทั้งฟ้าบุพกาลกว้างใหญ่เพียงใดกัน ถึงชิงเอ๋อร์จะเก่งกาจ แต่จะเทียบกับบุตรแห่งสวรรค์ในฟ้าบุพกาลได้หรือ อันตรายเกินไปกระมัง!”

เมื่อหานชิงเอ๋อร์ได้ยิน ก็ราวกับถูกเหยียดหยามเข้าแล้ว เอ่ยอย่างกระฟัดกระเฟียด “ท่านแม่ ท่านดูถูกลูกหรือเจ้าคะ!

“อีกอย่าง งานชุมนุมฟ้าบุพกาลเป็นท่านพ่อและผู้นำดวงจิตมหามรรคร่วมกันจัดขึ้น ผู้ใดจะกล้าสังหารข้ากัน”

พอนางเอ่ยมาเช่นนี้ ชิงหลวนเอ๋อร์จึงมองไปที่หานเจวี๋ย

หานเจวี๋ยเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “อย่าได้คิดเช่นนี้ มีโอกาสตายได้จริงๆ หากงานชุมนุมฟ้าบุพกาลมีการใช้อำนาจปกป้องกัน เช่นนั้นก็ไม่ยุติธรรมแล้ว ขอเพียงเจ้าอยากเข้าร่วม ก็คือตัดสินใจยอมรับความตายแล้ว!”

หานชิงเอ๋อร์เงียบไป

ชิงหลวนเอ๋อร์รีบเกลี้ยกล่อมห้ามนาง

“ไม่เจ้าค่ะ ข้าจะเข้าร่วม ข้าคือบุตรสาวของท่านพ่อ ไหนเลยจะธรรมดาสามัญ พี่ใหญ่ของข้าออกท่องไปทั่ว สร้างชื่อระบือนาม เหตุใดข้าจะทำไม่ได้เล่า ยังมีพี่รองของข้าอีก ยังไม่ถือกำเนิดเลย อยู่ในครรภ์มานับล้านปี เช่นนี้พรสวรรค์จะเลิศล้ำเพียงใดกัน ท่านแม่ รอจนพี่รองถือกำเนิดขึ้นดูโลก จะต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดินแน่ ท่านต้องการให้ข้ากลายเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในครอบครัวเราหรือเจ้าคะ”

หานชิงเอ๋อร์เอ่ยอย่างจริงจัง ท่าทางดื้อรั้นหัวแข็งนั้นคล้ายหานเจวี๋ยอยู่หลายส่วน

ชิงหลวนเอ๋อร์กล่าวว่า “เด็กโง่ หากเจ้าไม่อ่อนแอที่สุด ผู้ใดจะอ่อนแอที่สุดเล่า เจ้าเป็นน้องสุดท้องนะ”

หานชิงเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็จำต้องยอมรับแล้ว

หานเจวี๋ยฟังแล้วยิ้มออกมา แม่ลูกคู่นี้มักจะโต้เถียงกันเสมอ ดูคล้ายพี่สาวน้องสาว

แต่ก่อนยามที่หานทั่วเยาว์วัยชิงหลวนเอ๋อร์รักใคร่ถนอมเขายิ่งนัก ไม่เคยออกปากว่ากล่าวเลย แน่นอนว่า ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกก็หาได้สนิทใกล้ชิดกันเช่นตอนนี้

“เอาล่ะ เตรียมตัวสดับธรรมเถอะ”

หานเจวี๋ยสะบัดแขนเสื้อเอ่ยออกมา ประโยคนี้แว่วเข้าหูของศิษย์ทั้งหมดในอารามเต๋าแห่งที่สาม

ศิษย์ทั้งหมดมีสีหน้าตื่นเต้นขึ้นมา พากันมารวมตัว

หานเจวี๋ยนั่งขัดสมาธิบนพื้น เทศนาธรรม ชักนำศิษย์ทั้งหมดเข้าสู่สภาวะตระหนักมรรค

….

บนดาวเคราะห์รกร้าง เจียงเจวี๋ยซื่อและหลิวเป้ยนั่งสมาธิอยู่บนหน้าผา

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น พรูลมหายใจออกมา

หลิวเป้ยถามทั้งที่ไม่ลืมตา “เป็นอะไรไป”

เจียงเจวี๋ยซื่อกล่าวว่า “ระยะนี้การบำเพ็ญไม่คืบหน้าเลย น่าแปลกยิ่งนัก ข้าก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าเพราะเหตุใด”

หลิวเป้ยลืมตาขึ้น จ้องมองเขา เงียบอยู่สักพักถึงเอ่ยขึ้นว่า “กลับชาติกำเนิดมหาโชคของเจ้าน่าอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด ทว่าเจ้าไม่ได้สร้างมหามรรคที่เป็นของตนขึ้นมา หลังจากพิสูจน์มรรคได้ การฝึกบำเพ็ญล้วนต้องอาศัยมหามรรคเป็นรากฐาน เจ้าไม่มีมหามรรค แล้วจะฝึกบำเพ็ญอย่างไร”

เจียงเจวี๋ยซื่อตอบอย่างจนใจ “มหามรรคไหนเลยจะสร้างได้ง่ายๆ เช่นนั้น”

หลิวเป้ยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยถาม “ต้องการไปขอคำชี้แนะจากผู้อาวุโสท่านนั้นหรือไม่”

เจียงเจวี๋ยซื่อได้ยินก็หรี่ตาลง

ผู้อาวุโสท่านนั้นก็คือผู้ทรงพลังที่เร้นกายอยู่ในจักรวาลนี้

เนื่องจากประสบการณ์ในอดีตที่นิกายเหริน เจียงเจวี๋ยซื่อจึงต่อต้านการกราบเข้าสังกัดผู้อื่นยิ่ง ทว่าขณะเดียวกันเขาก็คิดเช่นกันว่าหากจะฝึกบำเพ็ญในฟ้าบุพกาล อย่างไรก็จำเป็นต้องมีที่พึ่งพิง

ที่พึ่งแข็งแกร่งมากเท่าไร ย่อมไปได้ไกลแน่นอน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล ผู้อาวุโสท่านนั้นไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำงานรับใช้ อีกอย่าง เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติพอจะรับใช้เขาด้วย เขาร้ายกาจกว่าดวงจิตมหามรรคทั่วไปในฟ้าบุพกาลเสียอีก” หลิวเป้ยส่ายหน้าพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

เจียงเจวี๋ยซื่อมีสีหน้าแปลกใจ “เก่งกาจปานนั้นเชียวหรือ”

ดวงจิตมหามรรค แทบจะเทียบเท่าอริยะมหามรรคแล้ว!

หลิวเป้ยพยักหน้า

เจียงเจวี๋ยซื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ตอบตกลง 艾琳小說

หลิวเป้ยหลับตาลงทันที ถ่ายทอดเสียงเข้าสู่อาณาเขตเต๋าแห่งที่สาม

หลังจากหานเจวี๋ยได้ฟัง ก็ตอบกลับไปว่า “ให้เขาฝึกบำเพ็ญต่อไป รอจนกว่าข้าจะสิ้นสุดการปิดด่าน”

หลิวเป้ยถ่ายทอดไปตามจริง เจียงเจวี๋ยซื่อพยักหน้ารับ ในใจก็รู้สึกโล่งอกเช่นกัน

อีกฝ่ายให้ความสำคัญกับการปิดด่าน แปลว่าไม่ได้ใส่ใจเขาเลย ไม่ใส่ใจก็แปลว่าไม่มีแผนการ

เจียงเจวี๋ยซื่อมองหลิวเป้ยแวบหนึ่งอย่างซาบซึ้ง หลิวเป้ยให้ที่พักเขา ซ้ำยังมอบวาสนายิ่งใหญ่ให้เขาอีก ชั่วชีวิตยากจะได้พบพานพี่น้องที่ดีเช่นนี้

….

หานเจวี๋ยเทศนาธรรมอยู่ห้าร้อยปีเต็ม ศิษย์ทั้งหมดในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามล้วนได้รับการเทศนา จนกระทั่งสิ้นสุดเสียงเทศนาของหานเจวี๋ย ศิษย์ทั้งหมดล้วนยังจมจ่อมอยู่ในสภาวะตระหนักมรรค

หานเจวี๋ยจากไปเงียบๆ กลับไปฝึกบำเพ็ญในอารามเต๋าต่อ

ส่วนเจียงเจวี๋ยซื่อ ปล่อยทิ้งไว้สักพักก่อนแล้วกัน กันไม่ให้เด็กคนนี้คาดเดาเหลวไหลไปเรื่อย

เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งแสนปี

เจียงเจวี๋ยซื่อรอจนร้อนใจแล้ว เขาเอ่ยถามหลิวเป้ยอีกครั้ง “ผู้อาวุโสท่านนั้นจะปิดด่านอีกนานแค่ไหน”

หลิวเป้ยลืมตาขึ้น เอ่ยอย่างจนปัญญา “ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า”

เจียงเจวี๋ยซื่อถอนหายใจ

ตั้งแต่ได้ทราบเรื่องนี้ เขาก็ตั้งตารอมาโดยตลอด ผลคืออีกฝ่ายไม่เคยปรากฏตัวขึ้นเลย

ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายต้องตาคุณสมบัติของเขา ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้วกลับน่าขันนัก คาดว่าในสายตาของผู้ทรงพลังเขาคงสู้หลิวเป้ยไม่ได้ด้วยซ้ำ

พรสวรรค์เป็นเพียงศักยภาพ ตบะสิถึงจะเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่แท้จริง

เจียงเจวี๋ยซื่อมีความเข้าใจต่อกฎการอยู่รอดในฟ้าบุพกาลยิ่งขึ้นกว่าเดิม

“วิถีแห่งการบำเพ็ญ ไหนเลยจะรีบร้อนได้ เจ้าอดทนเวียนว่ายตายเกิดได้หลายแสนภพชาติ เหตุใดหลังจากปล่อยตัวมาชาติหนึ่ง นิสัยจึงเปลี่ยนแปลงไปเล่า”

เสียงหนึ่งแว่วลอยมา ทำให้พวกเจียงเจวี๋ยซื่อทั้งสองหันไปมองด้วยความตกใจ

มองเห็นเพียงเงาร่างหนึ่งยืนอยู่บนเนินเขาด้านหลัง มีแสงเทพส่องพร่างพราวทั่วร่างเขา ทำให้คนมองไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง

หลิวเป้ยคุกเข่าทำความเคารพทันที เจียงเจวี๋ยซื่อจึงทราบว่า อีกฝ่ายก็คือผู้ทรงพลังที่หลิวเป้ยกล่าวถึง

เพียงแต่…

เขาทราบถึงอดีตของข้าได้อย่างไร

เจียงเจวี๋ยซื่อรู้สึกตระหนกว้าวุ่น

หานเจวี๋ยหัวเราะเบาๆ กล่าวไปว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ รอจนเจ้าพิสูจน์มหามรรคแล้ว การมองทะลุถึงอดีตและอนาคตของคนผู้หนึ่ง จะง่ายดายปานพลิกฝ่ามือ ประสบการณ์ของเขาหากอยู่ในมรรคาสวรรค์อาจจะพิเศษเป็นเอกลักษณ์ แต่ในฟ้าบุพกาลไม่นับเป็นอันใดเลย”

เจียงเจวี๋ยซื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ค้อมกายคารวะ เอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์เสียมารยาทไป ผู้อาวุโสโปรดอภัยด้วย”

“ข้ามีมหามรรคบทหนึ่ง ผสานรวมหลักแห่งมหามรรคสามพันวิถีไว้ เจ้ายินดีจะฝึกบำเพ็ญหรือไม่”

หานเจวี๋ยเปิดปากเอ่ย เขาใช้พลังยอดมหามรรคปิดกั้นจักรวาลดวงดาวไว้แล้ว ไม่มีผู้สามารถสอดส่องคำพูดเขาได้

ต่อให้มี ก็ต้องเป็นระดับผู้สร้างมรรคา

ในสายตาของผู้สร้างมรรคาแล้วมหามรรคสามพันวิถีน่าจะไม่ควรค่าพอให้แปลกใจเลย

เจียงเจวี๋ยซื่อตกอยู่ในความลังเล

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “มหามรรคนี้มีผู้บำเพ็ญมากมายแล้ว ถึงขั้นที่มีอริยะมหามรรคไม่น้อยด้วย เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล เจ้าสามารถลองสดับดูก่อนแล้วค่อยตัดสินใจได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อพยักหน้ารับ รีบเอ่ยขอบคุณ

หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรม

การเทศนาธรรมครั้งนี้กินเวลาถึงหนึ่งหมื่นปี

เจียงเจวี๋ยซื่อไม่ต่างไปจากเหล่าศิษย์ในอาณาเขตเต๋าแห่งที่สามเลย พรสวรรค์ยกระดับขึ้นไปถึงจุดที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่งแล้ว การเทศนาธรรมหมื่นปี เพียงพอให้เขาตระหนักรู้ได้มากมายนัก

เมื่อการเทศนาธรรมสิ้นสุดลง

เจียงเจวี๋ยซื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อมองหานเจวี๋ยอีกครั้งแววตาก็เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใสแล้ว

เป็นมหามรรคที่ลึกล้ำนัก!

เจียงเจวี๋ยซื่อถูกสยบแล้ว ตระหนักมรรคหมื่นปี เขาเข้าสู่เส้นทางแห่งมหามรรคต้นกำเนิดแล้ว เขาพบว่าในมหามรรคต้นกำเนิดผสานแก่นแท้แห่งมหามรรคสามพันวิถีเอาไว้จริงๆ มหัศจรรย์ไร้ที่สิ้นสุด เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เหมาะสมกับวิชากลับชาติกำเนิดมหาโชคของเขาอย่างยิ่ง

………………………………………………………………