ในที่สุดจวงจวิ้นก็ทนไม่ไหว ตะโกนว่า “คุ้มครององค์ชาย” กล่าวจบก็ชูแหลนอาชาพุ่งเข้ามา มิสนใจอีกต่อไปว่าจะถูกหลี่เสี่ยนตำหนิหรือไม่ พริบตาที่เขาพุ่งออกมา ลูกศรเก้าดอกที่อาบไอสังหารพลันแล่นประหนึ่งเงาลวงตาทะลุช่องว่างระหว่างร่างคนที่ซ้อนกันอยู่แล้วพุ่งเข้าใส่หลงถิงเฟย
หลงถิงเฟยวาดทวนวงเดือนเป็นวงกลม ลูกศรเก้าดอกประหนึ่งตุ๊กตาวัวโคลนจมลงในมหาสมุทร แต่หลงถิงเฟยก็ต้องชักอาชาถอยหลังไปสามก้าว ลมปราณที่แฝงอยู่ในลูกศรทำให้ร่างกายของหลงถิงเฟยโงนเงนจะล้ม ทวนวงเดือนเปิดออก เผยให้เห็นจุดสำคัญบนร่าง
นั่นคือลูกศรที่ตวนมู่ชิวยิงออกมา ในฐานะองครักษ์คนสนิทของฉีอ๋อง หากมินับวิชายิงธนู เขามิถนัดการสู้รบบนหลังม้านัก ดังนั้นเขาจึงจงใจรั้งอยู่ด้านท้าย จนตอนนี้ได้จังหวะสำแดงวิชายิงธนูขั้นสูงสุดของเขาออกมากดดันการโจมตีของหลงถิงเฟยสำเร็จ หลี่เสี่ยนได้โอกาส ควบอาชาไปข้างหน้า แหลนอาชาแทงเข้าใส่หน้าอกของหลงถิงเฟยอย่างมิเห็นใจแม้แต่น้อย
ทหารม้าเป่ยฮั่นนายหนึ่งดวงตาแทบปริแยก ดาบสั้นในมือซ้ายทิ่มลงบนก้นอาชาอย่างแรง อาชาศึกกรีดร้องเสียงยาว พุ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง ขวางหน้าอาชาของหลี่เสี่ยนพอดี คนลุกขึ้นยืน แหลนอาชาของหลี่เสี่ยนแทงทะลุหัวของอาชาศึกตัวนั้นอย่างโหดเหี้ยม ขณะที่ทหารม้าบนหลังอาชาพลิกกายร่วงจากหลังม้า ดาบสั้นก็หลุดจากมือพุ่งไปยังลำคอของหลี่เสี่ยน
การแทงแหลนอาชาหนนี้ หลี่เสี่ยนใช้กำลังทั้งร่างจนหมดสิ้นแล้ว ทั้งที่เห็นดาบสั้นพุ่งลอยมาแต่กลับไร้กำลังหลีกหลบ ทันใดนั้นดวงตาสองข้างกลับใสกระจ่าง มองอาวุธลับที่กำลังจะปลิดชีวิตตนอย่างสงบนิ่ง สีหน้าเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง
ในเสี้ยววินาทีนั้นเอง องครักษ์คนสนิทของเขาก็รีบเร่งมาถึง เสียงขานนามพระพุทธองค์ดังก้องสะเทือนแก้วหู
“อมิตาภพุทธ”
องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งพลิกร่างเหินเข้ามา เพียงชั่วพริบตาข้ามผ่านระยะห่างหลายจั้ง ฟาดหนึ่งฝ่ามือออกไป ดาบสั้นเล่มนั้นเบี่ยงเฉียดลำคอของหลี่เสี่ยน จากนั้นองครักษ์คนสนิทผู้ใช้กำลังจนหมดคนนั้นจึงหล่นลงบนอาชาศึกของเขาที่ตามมาทันพอดี เขาเอ่ยเสียงดังว่า “องค์ชายโปรดอย่าประมาทเอาตัวมาเสี่ยงอันตราย”
องครักษ์คนสนิทคนนี้ก็คือฝ่าเจิ้งต้าซือ เขาเพิ่งเอ่ยจบ องครักษ์คนสนิทของฉีอ๋องก็รุมล้อมเข้ามาปกป้องเขา หลี่เสี่ยนหัวเราะอย่างจนปัญญาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง เห็นหลงถิงเฟยกำลังก้มลงช่วยพลทหารที่พลัดตกจากม้าคนนั้น พลทหารคนนั้นพลิกกายนั่งด้านหลังหลงถิงเฟย จากนั้นหลงถิงเฟยก็ชักม้าผละออกไปไกล
ตอนหลี่เสี่ยนมอง เหมือนหลงถิงเฟยจะสัมผัสได้จึงหันกลับมา สี่ตาสบประสาน ในดวงตาของทั้งสองคนล้วนมีแต่แววชื่นชมนับถือ
หลี่เสี่ยนหัวเราะอีกหน จากนั้นตะโกนก้อง “ฆ่า! จะปล่อยทหารเป่ยฮั่นไปมิได้แม้แต่คนเดียว”
ขณะเดียวกันหลงถิงเฟยก็พุ่งเข้าใส่กระบวนทัพของต้ายง กองทัพเป่ยฮั่นที่เดิมทีสับสนเล็กน้อยตามมาอยู่ด้านหลังเขาในบัดดล กระบวนทัพหัวลูกศรก่อร่างอีกหน
หลี่เสี่ยนทราบว่าองครักษ์ข้างกายมิมีทางยอมให้ตนร่วมกระบวนทัพออกไปสู้อีกหนเป็นแน่ จึงได้แต่เริ่มจดจ่อกับการบัญชากระบวนทัพ บั่นทอนความคมกล้าและกำลังของกองทัพเป่ยฮั่น ขณะที่ทั้งสองกองทัพสู้รบกันอย่างเมามันที่สุด ทัพตะวันตกของต้ายงที่อยู่ใกล้แม่น้ำชิ่นสุ่ยก็พลันมีเสียงโห่ร้องดังก้องฟ้า หลี่เสี่ยนตระหนก สายตาหันไปมองหลงถิงเฟย
เมื่อครู่ตอนกระบวนทัพปะทะกัน หลี่เสี่ยนก็สังเกตเห็นแล้วว่าแม้ธงด้านหลังของหลงถิงเฟยจะแลดูเหมือนมีทั้งกองทัพ แต่เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดกลับดูเหมือนมีเพียงสองสามหมื่นคน หลี่เสี่ยนหัวใจสั่นสะท้าน เข้าใจความจริงที่ว่าหลงถิงเฟยกำลังใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ
กำลังหลักของทิศนี้คือกองทัพใหญ่ของตน ส่วนผู้ที่รับผิดชอบทัพตะวันตกคือจิงฉือ ในมือเขามีกำลังพลสี่หมื่น อาจจะปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นฝ่าลงล้อมสำเร็จก็เป็นได้ ทว่าทันใดนั้นริมฝีปากของหลี่เสี่ยนก็คลี่ยิ้มมีเลศนัย คิดในใจว่าจิงฉือเองก็เป็นแม่ทัพฝีมือฉกาจคนหนึ่งของต้ายง มีเขาขวางอยู่ กองทัพเป่ยฮั่นคงฝ่าออกไปไม่ง่ายดายปานนั้น จ่างซุนจี้เองก็มิใช่พวกกินผักหญ้า มีหน้าหลังกระหนาบล้อม กองทัพเป่ยฮั่นย่อมมีแต่ตายสถานเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น หลี่เสี่ยนคิดในใจว่าขอเพียงสังหารหลงถิงเฟยได้ ต่อให้มีกำลังพลหลายหมื่นคนหนีไปได้แล้วจะสำคัญอะไรอีก เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลี่เสี่ยนจึงมิคิดไปช่วยทัพตะวันตกอีก ตรงกันข้ามกลับออกคำสั่งให้ล้อมสังหารหลงถิงเฟยต่อ
ด้านหลังของกองทัพเป่ยฮั่น จ่างซุนจี้นำกองทัพบีบเข้ามาใกล้ หนนี้กองทัพเป่ยฮั่นแสดงชัดว่าจะสู้ตัดสินแล้ว มิมีโอกาสที่กองทัพเป่ยฮั่นจะฉวยจังหวะฝ่าวงล้อมจากด้านหลังอีก ดังนั้นจ่างซุนจี้จึงเริ่มเผยความอันตรายออกมาบ้าง
ณ ทัพตะวันตกของกองทัพต้ายง จิงฉือบัญชาการกองทัพต้านการโจมตีของกองทัพเป่ยฮั่นที่โหมบุกรุนแรงกว่าเดิม กองทัพเป่ยฮั่นเกือบหกเจ็ดหมื่นนายกำลังครองความได้เปรียบบนสนามรบบางตำแหน่ง แต่จิงฉือตั้งทัพมั่นคงมิขยับ เขาได้ข่าวมาก่อนแล้วจึงทราบว่าหลินปี้กับหลงถิงเฟยกำลังตีฝ่าทัพตะวันออกกับทัพกลาง ขอเพียงตนรักษาทัพฝั่งนี้ไว้ได้ รออีกสองทัพได้ชัย ตนเองก็จะได้กองหนุน
ทัพตะวันออกอาจจะผละมายากอยู่บ้าง แต่ฝั่งฉีอ๋องมีทหารม้าหกหมื่น พลเดินเท้าอีกสองหมื่น น่าจะคว้าชัยชนะได้แน่นอน แนวป้องกันทางฝั่งจี้ซื่อนอกจากจะมีกำลังพลหนึ่งแสนนายตั้งแต่ตอนดักซุ่มโอบล้อม ก็ยังมีกำลังพลของค่ายใหญ่เจ๋อโจวที่แตกพ่ายกลับมาซึ่งฉีอ๋องส่งมาทางฝั่งนี้ทั้งหมด มีกำลังพลเช่นนี้อยู่ พร้อมกับมีจ่างซุนจี้กระชับวงล้อมจากด้านหลัง ไม่มีทางปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นฝ่าวงล้อมสำเร็จเด็ดขาด
หากยามนี้มีดวงตาสักคู่ก้มมองจากบนผืนนภาย่อมเห็นว่ากองทัพเป่ยฮั่นที่ฝ่าวงล้อมออกเป็นสามทางต่างตกอยู่ในการต่อสู้อันยากลำบาก เพราะเป็นศัตรูกันมาหลายปี กองทัพเจ๋อโจวจึงคุ้นชินกับการสู้รบกับพวกเขาแล้ว เมื่อกำลังพลเหนือกว่า อีกทั้งด้านหลังยังมีกองทัพใหญ่ของฝั่งตนอีก พวกเขาจึงใช้กำลังทั้งหมดสู้รับอย่างมิต้องพะวงแต่อย่างใด ทำให้ขวางกองทัพเป่ยฮั่นไว้อย่างมั่นคง หากมิเกิดเรื่องมิคาดฝัน แผนการฝ่าวงล้อมของหลงถิงเฟยคงสูญสลายดั่งฟองอากาศ
ทว่าหลงถิงเฟยคือบุคคลเช่นไร หากมิมั่นใจเต็มร้อย เขาจะวางแผนแยกกองทัพฝ่าวงล้อมได้หรือ เขาย่อมคาดคิดอยู่ก่อนแล้วว่าสถานการณ์ศึกจะเป็นเช่นนี้ หากมิแน่ใจว่าฉีอ๋องต้องมุ่งมายังสนามรบที่ตนเองฝ่าวงล้อม เขาจะวางแผนใช้ตนเป็นเหยื่อล่อได้อย่างไร
ตั้งแต่ต้นจนจบทิศทางหลักในการฝ่าวงล้อมของเขาก็คือทัพตะวันตก ไม่เพียงเพราะฝั่งนั้นอยู่ใกล้แม่น้ำชิ่นสุ่ย สะดวกในการร่วมมือกับกองทัพเรือเพื่อฝ่าวงล้อม แต่สาเหตุอีกประการหนึ่งก็คือแม่ทัพผู้คุ้มกันด้านนั้นคือจิงฉือ และข้างกายจิงฉือก็มีลูกศิษย์พรรคมารคนหนึ่งซุ่มซ่อนอยู่
ในตอนที่จิงฉือกำลังจดจ่อสมาธิบัญชาการทัพอยู่นั่นเอง ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงร้องหวาดกลัวสุดขั้วหัวใจของเหล่าองครักษ์คนสนิท จิงฉือแทบจะขยับกายหลบด้วยสัญชาตญาณล้วนๆ เขาหดร่างบนหลังม้าพยายามลดขอบเขตการถูกลอบโจมตีให้น้อยที่สุด แม้เป็นเช่นนี้เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นเฉียบของศาสตราคมกริบที่เสียบเข้าไปมาในร่างของตน ความเจ็บปวดแสนสาหัสเข้าจู่โจม จิงฉือเบิกตาจนกลม เมื่อเห็นว่าผู้ที่ลอบจู่โจมด้านหลังตนคือไต้เย่ว์ที่ระยะนี้ค่อนข้างได้รับความโปรดปรานจากตนเอง
เวลานี้บนใบหน้าของไต้เย่ว์ยิ้มละไม ด้านหลังเขา ดาบยาวหลายเล่มปักลงบนร่างพร้อมกับที่แหลนอาชาห้าหกเล่มเสียบทะลุลำตัว แต่ทุกสิ่งนี้ล้วนขวางเขาจากการเสียบมีดสั้นเล่มหนึ่งเข้าไปในซี่โครงของจิงฉือมิทัน ร่างกายของจิงฉือเริ่มโงนเงน ขณะที่เขาใกล้จะร่วงตกจากหลังม้า องครักษ์คนสนิทหลายคนก็ถลาเข้ามาประคองไว้
ดวงตาของไต้เย่ว์ทอประกายเจิดจ้า ใช้กำลังเฮือกสุดท้าย ตะโกนเสียงดัง “แด่เจ้าแคว้น แด่ท่านประมุข!” หลังจากนั้นจึงหลับตาสองข้างลงอย่างเชื่องช้า เปลวไฟแห่งชีวิตค่อยๆ มอดดับลง
เวลานี้เซียวถงที่อยู่ท่ามกลางกระบวนทัพของเป่ยฮั่นผินหน้ากลับมา แม้เสียงตะโกนของไต้เย่ว์มิอาจลอยมาถึงหูเขา ทว่าความสับสนในกระบวนทัพของต้ายงก็บ่งบอกทุกสิ่ง เขากล่าวเสียงเคร่งขรึมด้วยสีหน้าหม่นหมอง “แม่ทัพลู่ทั้งสามท่าน ฝ่าวงล้อมได้แล้ว”
เสียงแตรสัญญาณในกองทัพเป่ยฮั่นดังต่อกันมิขาดสาย กองทัพเริ่มบุกฝ่าด้วยพลังที่มิอาจต้านได้ กองทัพต้ายงที่สูญเสียแม่ทัพหลักอย่างกะทันหันเริ่มโกลาหล ในที่สุดแนวป้องกันของกองทัพต้ายงก็ถูกทะลวงจนเกิดช่องว่างช่องหนึ่ง กองทัพเป่ยฮั่นแห่แหนออกมา
ภายในกระบวนทัพของกองทัพต้ายง องครักษ์คนสนิทของจิงฉืออุ้มเขามาจนถึงที่ปลอดภัย หมอทหารถูกองครักษ์คนสนิทหลายนายหิ้วปีกมาอย่างล้มลุกคลุกคลาน เขาถอดชุดเกราะ ดึงมีดออกแล้วทายา ทว่าโลหิตก็ยังทะลักออกมาจากปากแผล ไม่นานก็ย้อมผ้าพันแผลจนชุ่มโชก หมอทหารอยากร่ำไห้แต่ไร้น้ำตา “ผู้น้อยไร้ความสามารถ ท่านแม่ทัพ แผลของท่านแม่ทัพเกรงว่า…”
ขณะที่ทุกคนห่อเหี่ยวหมดหวัง ทันใดนั้นจิงฉือก็ได้สติกลับมา เขาฝืนเอ่ยว่า “ที่คอ ในตลับทอง” องครักษ์คนสนิทนายหนึ่งเอื้อมมือออกมาฉีกเสื้อของจิงฉือทันที บนลำคอของจิงฉือห้อยตลับทองอยู่ชิ้นหนึ่ง องครักษ์คนสนิทเปิดตลับทองออก ด้านในคือยาลูกกลอนหุ้มขี้ผึ้งขนาดเท่าดวงตามังกรเม็ดหนึ่ง บนผิวขี้ผึ้งสีขาวมีตัวอักษรเล็กจิ๋วประหนึ่งขายุงเขียนไว้แถวหนึ่งว่า ‘ตำรับลับสวนเหมันต์’
หมอทหารดวงตาเป็นประกาย คว้ายาลูกกลอนมาบีบผิวขี้ผึ้งสีขาวออกเบาๆ กลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่งโชยมาชวนให้คนปลอดโปร่ง ยาลูกกลอนสีแดงสดดุจเปลวเพลิงปรากฏให้เห็น หมอทหารยัดมันเข้าไปในปากของจิงฉือผู้ร่างกายเย็นเฉียบ ยาลูกกลอนเข้าปากก็ละลายในทันใด
แทบจะในชั่วพริบตา ร่างกายของจิงฉือก็เริ่มอุ่นขึ้น จากนั้นธารโลหิตจากปากแผลก็ค่อยๆ ลดน้อยลง หลังจากหมอทหารพอกยาทาแผลอีกหลายเท่าตัว ปากแผลก็มิมีโลหิตไหลออกมาอีก ลมหายใจของจิงฉือเริ่มมีเรี่ยวแรง แม้จะสลบไปอีกหน แต่ผู้ใดก็มองอกว่าเขารักษาชีวิตไว้ได้แล้ว
องครักษ์คนสนิทคนหนึ่งมองสนามรบอันโกลาหล กองทัพเป่ยฮั่นส่วนใหญ่ฝ่าวงล้อมออกไปได้แล้ว มีเพียงทหารหกเจ็ดพันคนที่ถูกรองแม่ทัพซึ่งมาบัญชาการแทนขวางเอาไว้ได้ ในครรลองสายตาเต็มไปด้วยซากศพระเนระนาด เขาเอ่ยเสียงสั่น “ทำเช่นไรดี ทำเช่นไรดี”
องครักษ์คนสนิทอีกคนหนึ่งบอกเสียงดัง “รีบไปแจ้งสถานการณ์ฝั่งนี้กับองค์ชาย ส่วนพวกเราทำเปลเชือกหามแม่ทัพจิงไปส่งให้ฉู่เซียวโหวก่อน ใต้เท้าผู้ตรวจการกองทัพวิชาแพทย์ล้ำเลิศ อย่าปล่อยให้อาการบาดเจ็บของแม่ทัพของพวกเราแย่ลง”
องครักษ์คนสนิทผู้นี้เป็นคนสนิทที่ติดตามจิงฉือมาหลายปี คำพูดของเขามีเหตุผลอย่างยิ่ง ทุกคนจึงแบ่งกันไปจัดการทันที พวกเขาผูกเปลเชือกไว้ตรงกลางระหว่างอาชาสี่ตัว แล้ววางจิงฉือลงบนนั้นเพื่อมิให้กระทบกระเทือนจนอาการบาดเจ็บหนักขึ้น จากนั้นองครักษ์คนสนิททั้งหลายจึงคุ้มกันจิงฉือออกจากสนามรบ
เหตุการณ์พลิกผันในกองทัพฝั่งตะวันตกมาถึงหูของหลี่เสี่ยนกับหลงถิงเฟยพร้อมกัน หลงถิงเฟยพรูลมหายใจ แย้มรอยยิ้ม “ทุกท่าน กำลังหลักของกองทัพเราฝ่าวงล้อมออกไปได้แล้ว ยามนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเรา ต่อให้มิรอดกลับไปก็ต้องลากคนมาลงสุสานด้วยสักสองสามคน ฆ่า!”
พร้อมกับคำสั่งของเขา กองทัพเป่ยฮั่นก็บุกตะลุยสังหารอย่างเหิมเกริมไร้ความหวั่นเกรง หลี่เสี่ยนหน้าเขียวคล้ำ ออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว “ให้รองแม่ทัพของทัพตะวันตกนำกองทัพไปก่อน ไล่ล่าและขัดขวางกำลังหลักของกองทัพเป่ยฮั่นไว้ ส่งสารหาแม่ทัพจ่างซุนเดี๋ยวนี้ ให้เขายกกำลังพลทั้งหมดขึ้นเหนือ จะปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นหวนคืนชิ่นหยวนง่ายๆ เช่นนี้มิได้เป็นอันขาด”
หลังจากนั้นหลี่เสี่ยนก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึม “แม้เรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้แต่มิจำเป็นต้องเสียใจ ทุ่มเต็มกำลังล้อมสังหารหลงถิงเฟยเสีย หากพลาดท่าอีก พวกเรายังจะมีหน้าที่ไหนไปพบเจอผู้คนอีก”
ทหารทั้งหลายโถมเข้าใส่ศัตรูตรงหน้าด้วยความโกรธแค้นแทบคลั่ง จะมิปล่อยให้หลงถิงเฟยฝ่าวงล้อมไปได้เป็นอันขาด นี่กลายเป็นความคิดเพียงหนึ่งเดียวในใจของแม่ทัพและทหารทุกนายของกองทัพต้ายง