ข้ามองใบหน้าที่ฉายแววเย็นชาของหลี่เสี่ยนแล้วถอนหายใจ กล่าวอย่างขออภัยว่า “หลายวันก่อนกระหม่อมเจ็บป่วยเล็กน้อย อดมิไหวคิดถึงภรรยาอยู่บ้าง จึงล่วงเกินองค์ชาย ขอองค์ชายอภัยด้วย”
ในใจหลี่เสี่ยนทราบว่าสิ่งที่เจียงเจ๋อกล่าวเป็นเพียงข้ออ้าง แต่เขาฟังออกว่าในคำพูดของเจียงเจ๋อมีความรู้สึกผิดกับความต้องการจะคืนดี อีกทั้งเมื่อได้ยินเจียงเจ๋อเอ่ยถึงภรรยา สมองเขาก็พลันนึกภาพน่ารักน่าชังของเซิ่นเอ๋อร์ขึ้นมา หัวใจจึงอ่อนยวบ ความโกรธค่อยๆ สลายหายไป
เมื่อลองคิดอีกทีแม้จะมีสัญญาแต่งงานตั้งแต่ในครรภ์อยู่ แต่การแต่งงานในวันข้างหน้าจะราบรื่นหรือไม่ก็ยังต้องพึ่งเจียงเจ๋อช่วยให้สมหวัง บนหน้าของหลี่เสี่ยนจึงปรากฏรอยยิ้มที่ไม่คล้ายรอยยิ้ม แล้วปล่อยวางความขัดแย้งเล็กน้อยๆ กับเจียงเจ๋อ เขายิ้มเอ่ยว่า “ข้าก็รู้ว่าความจริงนี่เป็นชัยชนะครั้งใหญ่แล้ว แต่เมื่อนึกขึ้นมาว่าพวกไร้ประโยชน์เหล่านี้ ไม่เพียงปล่อยให้หลินปี้ฝ่าวงล้อมออกไปได้ ยังปล่อยให้กองทัพหลายหมื่นหวนกลับไปถึงชิ่นหยวนอีก ก็อดรู้สึกเหมือรแผนการมิได้สำเร็จลงอย่างงดงามมิได้ แล้วแม่ทัพจิงยังถูกลอบสังหารบาดเจ็บหนัก ทำให้ข้าโกรธเกรี้ยวยากจะทน”
ข้าเห็นหลี่เสี่ยนอ่อนลงแล้วจึงแย้มยิ้มตอบว่า “องค์ชาย ยามนี้หัวหน้าของศัตรูอยู่ในกำมือแล้ว หากจับหลงถิงเฟยได้เป็นๆ นำไปถวายเป็นเชลยในเมืองหลวง นี่ย่อมเป็นเกียรติยศอันหาได้ยาก”
แต่เดิมข้าคิดว่ากล่าวคำนี้ออกมา หลี่เสี่ยนจะเห็นด้วย ถึงอย่างไรการจับตัวแม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูมาเป็นเชลยสำเร็จย่อมเป็นความดีความชอบที่เพียงพอให้หลี่เสี่ยนเชิดหน้าชูตา ชดเชยความเสียหน้าในหนนี้ของเขาได้
แต่ผิดจากที่ข้าคาด หลี่เสี่ยนไม่เพียงไม่คล้อยตาม กลับยังขมวดคิ้วบอกว่า “ยากนัก ข้ากับหลงถิงเฟยทำศึกกันมาหลายปี ทราบนิสัยของเขาดี คนผู้นี้นิสัยหยิ่งทะนง ทั้งยังเป็นเทพแห่งสงครามของเป่ยฮั่น หากพ่ายศึก เขาคงยินดีตายมิยอมถูกจับเป็นเชลยให้อัปยศ มิต้องพูดถึงใครอื่น ต่อให้เป็นข้าเอง หากมีโอกาสตกอยู่ในกำมือของศัตรูก็คงมีทางเลือกเดียวให้เดิน”
ข้าตกตะลึง ต้องมองหลี่เสี่ยนเสียใหม่ หลังจากประสบกับความล้มเหลวและความสะเทือนใจหลายครั้งหลายหน ฉีอ๋องผู้กำเริบเสิบสานในวันวานคนนี้ แม้นิสัยหยิ่งทะนงในอดีตจะยังมิเปลี่ยน แต่จิตใจก็ลุ่มลึกดั่งห้วงนที ข้าเคลื่อนสายตาไปมองสนามรบ เห็นหลงถิงเฟยกับองครักษ์คนสนิทของเขาตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนา สีหน้าของแต่ละคนล้วนสงบนิ่งราวกับว่ามือที่กำลังเข่นฆ่าอยู่มิส่งผลต่อหัวใจของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง นั่นเป็นสีหน้าของทหารกล้าที่แท้จริงยามเผชิญกับความตาย
ข้าถอนหายใจแผ่วเบา เสียทีข้าคิดว่าตนถนัดในการอ่านจิตใจผู้คน แต่กลับคาดเดาจิตใจของทหารกล้าบนสนามรบเหล่านี้ผิดพลาดไปเล็กน้อย หลงถิงเฟยไม่มีทางถูกจับเป็นเชลย เคยมีคนเล่าให้ข้าฟังว่า เมื่อครั้งเหตุการณ์ก่อกบฏที่พระราชวังเลี่ยกง ตอนฝ่าบาทถูกเหวินจื่อเยียนบีบให้จนตรอก พระองค์ก็เคยมีความคิดจะตาย ยามนี้เมื่อนึกดูแล้ว หลี่จื้อ หลี่สี่ยนกับหลงถิงเฟย แม้ตำแหน่งฐานะแตกต่างกันมากนัก แต่ก็มีจุดหนึ่งละม้ายคล้ายกัน นั่นก็คือพวกเขาล้วนเป็นแม่ทัพที่แท้จริง สำหรับพวกเขาแล้ว รบจนตัวตายได้ รบพ่ายแพ้ได้ แต่จะถูกจับเป็นเชลยให้อัปยศมิได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นเองข้าพลันเกิดความรู้สึกนับถือ ตั้งใจจะเฝ้ามองสมรภูมิอันคลุ้งคาวเลือดมากขึ้นกว่าเดิม ให้คนอ่อนแอใจมิเด็ดเดี่ยวอย่างข้าคนนี้ได้ประจักษ์ความองอาจหนสุดท้ายของยอดแม่ทัพผู้เป็นเอกในใต้หล้ากับตาตนเองเถิด
เวลานี้เองหลี่เสี่ยนก็ถอนหายใจ กล่าวว่า “แม้ไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ข้าก็มิอาจยอมแพ้เช่นนี้ หากหลงถิงเฟยยอมจำนนจริง ต้องทำลายขวัญกำลังใจของกองทัพเป่ยฮั่นอย่างมิอาจประมาณแน่” กล่าวจบ หลี่เสี่ยนก็ถ่ายทอดคำสั่งให้หยุดรบ
ยามนี้สถานการณ์ในสนามรบอยู่ในการควบคุมของกองทัพต้ายงอย่างสิ้นเชิงแล้ว เมื่อกองทัพต้ายงหยุดโจมตี เพียงล้อมกองทัพเป่ยฮั่นที่เหลือไว้ตรงกลาง กองทัพเป่ยฮั่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์จนตรอกนานแล้วจึงไม่โจมตีต่อ แต่หยุดพักหวังว่าจะฟื้นกำลังได้สักเล็กน้อย พร้อมกับจัดกระบวนทัพวงกลมที่เกือบพังทลายแล้วขึ้นมาใหม่ ทันใดนั้นบนสมรภูมิก็เงียบสนิท นอกจากเสียงหายใจหนักหน่วงกับเสียงร้องครางของอาชาศึกแล้ว ใต้หล้าล้วนเงียบกริบ
หลี่เสี่ยนชักอาชาออกมาด้านหน้า เอ่ยเสียงกังวาน “แม่ทัพหลง ยามนี้ท่านจนตรอกแล้ว นอกจากองครักษ์คนสนิทไม่กี่ร้อยนายนี้ ไม่มีพลทหารนายใดขยับได้อีก ข้านับถือความจงรักภักดีของท่านและเลื่อมใสกลศึกอันไม่เป็นสองรองผู้ใดของท่าน หากท่านยอมวางอาวุธยอมแพ้ ข้ารับรองว่าจักต้อนรับท่านเป็นแขกสูงศักดิ์ แม้แต่แม่ทัพทหารใต้บัญชาของท่านก็จะมิดูแคลนแม้แต่น้อย
ท่านแม่ทัพใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ สู้รบตลอดหนึ่งวันหนึ่งคืน ผู้คนในใต้หล้าต่างประจักษ์เลือดผู้กล้าและหัวใจภักดีของท่าน ต่อให้วันนี้ท่านเลิกขัดขืน เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นก็มิมีทางตำหนิ ไยต้องสู้จนตัวตาย ท่านแม่ทัพมิรักทหารกล้าที่ภักดีต่อท่านเหล่านี้หรือ”
หลงถิงเฟยที่ถูกองครักษ์คสนิทล้อมไว้ตรงกลางฟังจบก็หันไปมองรอบด้านช้าๆ เห็นองครักษ์คนสนิทที่เหลือเพียงไม่กี่ร้อยคนล้วนเหนื่อยล้าไร้เรี่ยวแรงทั้งคนและม้า ชุดเกราะขาดวิ่น โลหิตชโลมชุดเกราะจนแดงฉานจนแยกมิอกว่าเป็นคราบโลหิตจากที่ใด ไหนเลยจะมองเห็นสีดั้งเดิมของชุดเกราะอีก สายธนูขาดนานแล้ว ดาบเหล็กก็ฟาดฟันจนคมทื่อ องครักษ์คนสนิทแต่ละคนล้วนมีสีหน้าเหลื่อยล้าสุดแสน ในดวงตานอกจากความสิ้นหวังก็คือความวางเฉย ทุกคนในที่แห่งนี้ทราบอยู่ก่อนแล้วว่าความตายอาจมาเยือนได้ทุกเวลา หลงถิงเฟยยิ้มละไม กล่าวขึ้นว่า “ทุกท่านหลบไปก่อน ให้ผู้แซ่หลงเจรจากับฉีอ๋องสักสองสามคำ”
องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นสีหน้ามิแปรเปลี่ยน แหวกออกเป็นทางเส้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว หลงถิงเฟยกับหลี่เสี่ยนได้เห็นอีกฝ่ายยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามของตนอีกหนผ่านช่องว่างของกระบวนทัพวงกลม แม้กั้นกลางด้วยระยะห่างช่วงหนึ่ง แต่ก็เพียงพอให้เห็นหน้าตาของอีกฝ่ายชัดเจน องครักษ์คนสนิทเหล่านั้นมิลังเลแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรก็ต้องตายแน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้ฉีอ๋องฉวยโอกาสโจมตีก็มิสำคัญประการใด
ยิ่งไปกว่านั้น แม้พวกเขาจะชิงชังแม่ทัพใหญ่ของกองทัพศัตรูเข้ากระดูกดำ แต่ก็ทราบว่าคนผู้นั้นเป็นผู้กล้าแห่งยุคคนหนึ่ง มิมีทางทำเรื่องอย่างการกลับคำแน่นอน วีรบุรุษผู้กล้าที่แท้จริงล้วนเข้าใจกันและกันผ่านการหลั่งเลือดสู้รบในสมรภูมิ
สายตาของหลงถิงเฟยเคลื่อนมามองบัณฑิตอาภรณ์สีเขียว ใบหน้าซีดเซียวแต่ท่าทางผ่อนคลายคนนั้นเบื้องหลังร่างของหลี่เสี่ยน ความพ่ายแพ้ของตนในหนนี้ พ่ายแพ้ให้แก่การร่วมมือระหว่างหลี่จื้อกับหลี่เสี่ยน หากมิใช่ตนคิดมิถึงว่าหลี่จื้อจะส่งกำลังพลมากมายมาช่วยหลี่เสี่ยนจัดการตนทั้งที่อีกฝั่งอยู่ในสถานการณ์อันตราย ไฉนเขาจะพ่ายแพ้ย่อยยับเช่นนี้
ผู้ที่ทำให้หลี่จื้อกับหลี่เสี่ยนร่วมมือกันได้อย่างราบรื่น เป็นด้ายเชื่อมร้อยพวกเขาเข้าด้วยกันก็คือบุรุษอาภรณ์สีเขียวผู้นี้…ฉู่เซียงโหวเจียงเจ๋อ
แต่สายตาของเขาหยุดมองเพียงพริบตาก็เคลื่อนผ่านไป สุดท้ายก็จับจ้องบนร่างหลี่เสี่ยน มิว่าแผนการจะละเอียดลออเช่นไร หากไร้ผู้ตรากตรำทำศึก ตนก็มิมีวันตกอยู่ในวงล้อมแน่นหนา
หลงถิงเฟยถอดหมวกเกราะ โยนทิ้งจากบนหลังม้าแล้วคลี่ยิ้มกล่าวว่า “ฉีอ๋อง ท่านเองก็เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพ ไฉนมิทราบว่าแม่ทัพใหญ่ตกเป็นเชลยคือความอัปยศใหญ่หลวง ถึงผู้แซ่หลงจะไร้ความสามารถ แต่ก็เป็นยอดแม่ทัพคนหนึ่ง ตระกูลหลงของข้าได้รับน้ำพระทัยจากเจ้าแคว้นจากรู่นสู่รุ่น พระองค์พระราชทานอำนาจมากมายให้ แล้วยังหมั้นหมายองค์หญิงให้ข้า ภายนอกมีความภักดีระหว่างเจ้าแผ่นดินกับขุนนาง ภายในมีบุญคุณผูกพันลึกซึ้งถึงกระดูก ให้ข้ายอมทิ้งดาบถูกจับแต่โดยดี มีเหตุผลเสียที่ไหน”
หลี่เสี่ยนกล่าวตอบ “ข้าเองก็ทราบว่าแม่ทัพหลงถือความภักดีเป็นที่ตั้ง มิมีทางยินดียอมจำนน แต่ท่านแม่ทัพยินยอมพร้อมใจพลีชีพ แล้วทหารกล้าใต้บัญชาของท่านสมควรตกตายสิ้นด้วยหรือ เอาเช่นนี้เถิด ข้ายอมให้ท่านแสดงความภักดีสมประสงค์ แต่แม่ทัพหลงมิสู้ออกคำสั่งให้ทหารใต้บัญชายอมจำนนต่อข้า ข้าขอรับรองความปลอดภัยของชีวิตพวกเขา วันหน้าเมื่อฝ่าบาทพระราชทานอภัยโทษทั่วใต้หล้า ข้ารับรองว่าจะให้ทหารเหล่านี้ได้ถอดเกราะหวนคืนบ้านเกิด แทนที่จะให้พวกเขาตายตามท่านแม่ทัพ มิสู้ท่านแม่ทัพปล่อยพวกเขา ให้พวกเขาได้ตบแต่งภรรยามีบุตรสืบตระกูล ใช้ชีวิตทำไร่นาอย่างสงบสุข ท่านแม่ทัพมิต้องการเหลือวีรบุรุษทหารกล้าไว้แก่เป่ยฮั่นสักหน่อยหรือ”
หลงถิงเฟยยิ้มละไม กล่าวตอบอย่างสุขุม “ฉีอ๋องกล่าวมิผิด ในเมื่อผู้แซ่หลงถูกศัตรูล้อมไว้สี่ทิศ ก็มิจำเป็นต้องลากพวกเขาลงไปกับข้า ทุกท่าน พวกท่านเสียสละเพื่อเจ้าแคว้น เพื่อผู้แซ่หลงมามากพอแล้ว วันนี้ผู้แซ่หลงพลาดท่านำพวกท่านมาสู่ความตาย พวกท่านก็ยังสู้จนสุดชีวิต มิว่าจะด้วยหน้าที่หรือน้ำใจ พวกท่านล้วนทำจนถึงที่สุดแล้ว พวกท่านจงรักภักดีมิมีสิ่งใดให้ละอาย
ตอนนี้ผู้แซ่หลงขอออกคำสั่ง พวกท่านจงวางอาวุธยอมจำนน นี่คือคำสั่งของผู้แซ่หลง วันหน้าหากมีโอกาสได้พบเจ้าแคว้นอีกหน พวกท่านจงกราบทูลเจ้าแคว้นว่าผู้แซ่หลงเป็นคนสั่ง พวกท่านมิใช่คนขลาดรักตัวกลัวตาย แต่เป็นทหารกล้าผู้ยืนหยัดค้ำจุนเป่ยฮั่นของพวกเรา”
องครักษ์คนสนิททั้งหลายได้ยินคำพูดนี้ของหลงถิงเฟยต่างน้ำตาคลอเบ้า เงียบงันมิพูดจา พวกเขาย่อมทราบสถานการณ์ตอนนี้ แม่ทัพใหญ่ประกาศชัดว่าจะมิยอมจำนน แต่กลับจะให้พวกเขาวางอาวุธ น้ำใจนี้ของหลงถิงเฟย พวกเขาย่อมรับรู้ดี แต่หากทอดทิ้งนายเอาตัวรอด พวกเขาจะสบายใจได้เช่นไร
ทันใดนั้นองครักษ์คนสนิทที่เป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบต้นๆ คนหนึ่งจู่ๆ ก็ปิดหน้าร่ำไห้โฮ ใบหน้าของเขาล้วนมีแต่คราบเลือด น้ำตากับโลหิตปะปนจนแยกมิออก สภาพยิ่งน่าเวทนาจนทนดูมิได้ เสียงร่ำไห้ของเขาประหนึ่งเสียงสัญญาณ องครักษ์คนสนิทผู้หนึ่งก้มหน้าลงอย่างหม่นหมอง ดาบเหล็กกล้าในมือร่วงหล่นบนฝุ่นดิน ต่อจากนั้นองครักษ์คนสนิทคนแล้วคนแล้วก็เริ่มหลั่งน้ำตา อาวุธของพวกเขาเริ่มหลุดจากมือ บ่งบอกว่ายอมรับโชคชะตาหลังจากนี้แล้ว