“ใช่ ยังไงเด็กน้อย ก็ไม่ได้ทำอะไร” ลีน่าพยักหน้าเห็นด้วย
วารุณีเปิดกระป๋องกาแฟในมือตัวเอง “ใช่ เพราะแบบนี้แหละ ฉันกับนัทธีเลยจะไม่ไปยุ่งกับเด็ก แต่แค่ส่งไปที่สถานสงเคราะห์ ให้คณบดีของสถานสงเคราะห์หาครอบครัวที่เหมาะสมให้ และรับเด็กคนนี้ไปเลี้ยง ก่อนหน้านี้ไม่นาน นัทธีก็ยังส่งให้คนไปดูเด็กคนนี้ ชีวิตดีเลยล่ะ ครอบครัวนั้นดีกับเมาก จะพูดไป เขาดีกว่าตอนที่อยู่กับขยานีและปวิช ร่าเริงกว่ามาก”
“เธอหมายความว่า พ่อแม่แท้ๆ ของเด็กคนนั้น เมื่อก่อนไม่ดีกับเขาเหรอ?”
วารุณีส่ายหน้า “ไม่หรอก อย่างน้อยฉันก็ไม่เห็นขยานีกับปวิชทำไม่ดีกับเด็กคนนั้น แต่ด้านการศึกษาไม่ดีแน่นอน ยังไงปรัชญาสามทัศน์ปกติของพวกเขาเองยังไม่มีเลย แล้วยังพูดถึงเรื่องสอนเด็ก ยังไงก็ตามเมื่อก่อนนี้ตอนที่ฉันเห็นเด็กคนนั้นอยู่กับขยานีและปวิช ก็เจ็บป่วยอะไร เพียงแต่มีท่าทางปิดกั้นตัวเอง ไม่ได้มีการตอบโต้มากนัก แต่คนที่ที่นัทธีส่งไปบอกว่า เด็กนี้ยิ้มได้แล้ว ดูไปดูมา เหมือนจะชอบครอบครัวใหม่นี้มาก”
“แบบนี้ก็ ขยานีกับวิชก็ควรจะขอบคุณพวกเธอมากๆ ไม่อย่างนั้นลูกของพวกเขา คงไม่ได้มีชีวิตที่ดีขนาดนี้” ลีน่าถอนหายใจอย่างเสียดาย
วารุณียิ้มกิริยาท่าทาง “อย่าเลย ขยานีตายไปแล้ว ฉันไม่อยากฝันเห็นเธอ ส่วนปวิช ไม่ได้คุ้นเคยกับฉัน หลังจากเขาถูกปล่อยตัว ก็จะไม่เจออีก เพราะฉะนั้นฉันไม่ต้องการคำขอบคุณจากพวกเขา เอาล่ะ ไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว จะถึงคฤหาสน์แล้ว”
เธอมองไปนอกกระจกรถ คฤหาสน์อยู่ไม่ไกลจากตรงหน้า
เมื่อถึงคฤหาสน์ หลังจากทั้งสองทานอาหารกลางวันเสร็จ ก็แยกย้ายไปพักผ่อนที่ห้องตัวเอง จัดการฟื้นฟูสติและจิตใจ เตรียมพร้อมสำหรับการแข่งขันวันพรุ่งนี้
ตอนบ่าย วารุณีตื่นหลังจากนอนกลางวันไปสองชั่วโมง ก็รับสายจากนัทธี
สิ่งนี้ทำให้วารุณีประหลาดใจ จึงรีบถาม “ที่รัก ทำไมคุณถึงโทรมาหาฉันเวลานี้คะ?”
ปกติแล้ว เขาจะโทรมา ตอนกลางคืน เพราะช่วงเวลานั้น เธอจะจัดการธุระเสร็จหมดแล้ว
ดังนั้นจึงโทรมาน้อยมากในช่วงเวลากลางวัน
การที่โทรมาตอนนี้ จึงยากที่จะไม่ทำให้เธอสงสัย เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วหรือเปล่า
แต่ทว่าเมื่อนัทธีได้ยินคำถามของวารุณี ก็ยิ้มอย่างใจเย็น “ผมได้ยินฝ่ายจัดบอกว่า การแข่งขันของพวกคุณต้องยุติก่อนกำหนดเหรอ?”
วารุณีพูดขึ้นทันที “ที่แท้คุณโทรมาเพราะรู้เรื่องนี้นี่เอง ฉันนึกว่าเกิดอะไรขึ้นซะอีก”
ก็ใช่ นัทธีเป็นหนึ่งในผู้ลงทุน ไม่ว่าฝ่ายจัดงานจะทำอะไร ก็ต้องแจ้งนักลงทุนอยู่แล้ว
นัทธีเลยรู้ว่าการแข่งขันต้องยุติก่อนกำหนด ไม่แปลกใจแล้ว
วารุณีพยักหน้า “ใช่ ต้องจบก่อนกำหนด ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราก็ไม่ต้องเป็นกรรมการแล้ว แต่เป็นผู้เข้าแข่งขันแทน แข่งกับกรรมการคนอื่น ชิงสิทธิ์การออกแบบชุดเปิดงานเวิลด์เกมส์”
“ผมรู้แล้ว พรุ่งนี้ผมจะพาลูกไปหา เป็นกำลังใจให้คุณ” นัทธีพูด
วารุณีตาโตด้วยความประหลาดใจ “มาให้กำลังใจฉัน?”
“ใช่”
“แต่พรุ่งนี้ไม่ใช่วันเสาร์อาทิตย์นี่คะ” วารุณีพูดอย่างไม่เข้าใจ “แต่ที่รักคะ คุณไม่ยุ่งเหรอ?”
“ช่วงนี้ไม่ยุ่ง กรุ๊ปกำลังจะตรวจสอบทรัพย์สินคงเหลือ ช่วงนี้ผมเลยว่างมาก รอหลังตรวจสอบทรัพย์สินเสร็จ ถึงจะยุ่งอีกครั้ง” นัทธีพูดไป แล้วก็ยกริมฝีปากบางไป “สบายใจเถอะ ผมจัดการทุกอย่าง ไม่ต้องคิดว่าผมทำเพื่อคุณ เลยทิ้งไม่สนใจกรุ๊ป”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มพูดแบบนี้ วารุณีจึงโล่งใจ “งั้นก็ดีค่ะ ฉันกังวลว่าเพราะคุณมาเชียร์ฉัน เลยโยนบริษัท ไชยรัตน์ กรุ๊ปไปไว้อีกฝั่ง แบบนั้นฉันคงรู้สึกผิด”
“ไม่หรอก” นัทธีส่ายหัวก้มหน้า
วารุณีตอบรับ “โอเคค่ะ งั้นพวกคุณมาพรุ่งนี้ พรุ่งนี้เวลากี่โมงคะ?ฉันจะได้ไปรับพวกคุณ”
“พรุ่งนี้เที่ยง” นัทธีนึกเวลาเครื่องบินที่มารุตจัดการไว้ แล้วบอก
วารุณีขมวดคิ้วสวย หลังจากนั้นก็ถอนหายใจอย่างเสียดาย “ตอนเที่ยงเหรอคะ งั้นฉันไปไม่ได้แน่ๆ น่าจะยังแข่งอยู่”
“ไม่เป็นไร พวกเราไปหาคุณเองก็ได้ จะได้เซอร์ไพร์สด้วยแสงสว่างประกายขึ้นมาในแววตาของนัทธีแล้วพูด
ทำให้วารุณีสนใจขึ้นมา ยืดหลังตรงขึ้น รีบถาม “เซอร์ไพร์ส?เซอร์ไพร์สอะไรคะ?”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณก็รู้ อย่าห่วงเลย คุณต้องชอบ” เสียงแหบต่ำของนัทธีพูด
วารุณีใจเต้น “คุณพูดจริงจังขนาดนี้ งั้นฉันคงต้องตั้งตารอแล้วล่ะ”
เป้นสิ่งที่เธอชอบ เธอออยากเห็น ว่าที่เขาจะส่งมา ตกลงแล้วคืออะไร
นัทธียิ้มเบาๆ “จะไม่ทำให้การรอคอยของคุณต้องผิดหวัง”
“ฉันเชื่อคุณค่ะ” วารุณีพยักหน้า
สองสามีคุยกันเกือบสองชั่วโมง จนฟ้ามืด จึงสิ้นสุดลง
และในขณะเดียวกัน ฝั่งของปาจรีย์
ปาจรีย์มาถึงโรงพยาบาลกับคุณพ่อประสิทธิ์ เพื่อมาดูอาการของพงศกร
สองวันเต็มแล้ว ที่พงศกรยังไม่ฟื้น ซึ่งทำให้หัวใจของปาจรีย์หดหู่ขึ้นเรื่อยๆ และไม่สบายใจมากขึ้น
เพราะสำหรับเธอแล้ว ยิ่งพงศกรฟื้นขึ้นมาช้ามากเท่าไหร่ อาการบาดเจ็บก็จะสาหัสมากขึ้น และความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยพ่อไป ก็จะยิ่งมากขึ้น
ดังนั้นเธอจึงหวังว่าให้พงศกรรีบฟื้นขึ้น ให้พวกเขาได้สะสางกันเร็วๆ ว่าจะจัดการเรื่องนี้กันยังไง
ไม่อย่างนั้นยิ่งยืดออกไป ก็จะยิ่งยุ่ง
“หมอครับ ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”
ด้านนอกห้องผู้ป่วย คุณพ่อประสิทธิ์ถามหมอที่ออกมาจากห้องผู้ป่วยของพงศกร
หมอฟังที่เขาพูดไม่ออก ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย
สุดท้ายก็เป็นปาจรีย์ที่ลุกขึ้น พูดถามสิ่งที่คุณพ่อประสิทธิ์ต้องการถามเป็นภาษาอังกฤษ
หอจึงเข้าใจ แล้วผลักกรอบแว่นสีดำที่สันจมูกกลับขึ้นไป “เขาไม่เป็นอะไรครับ การกระทบกระเทือนในสมองของเขาก็ดีขึ้นแล้ว”
“แล้วทำไมเขาถึงยังไม่ตื่นล่ะคะ?” ปาจรีย์ถาม
ขณะที่หมอกำลังจะตอบ ทันใดนั้นเครื่องจักรในห้องผู้ป่วยก็ดังขึ้น
เมื่อเห็นแบบนี้ คุณหมอจึงไม่สนใจสองพ่อลูกตระกูลสวนจันทร์ รับกลับไปที่ห้องผู้ป่วยของพงศกร
คุณพ่อประสิทธิ์มองที่ปาจรีย์ “นี่……นี่มันอะไรกัน?”
ปาจรีย์ส่ายหัว หมายความว่าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
จากนั้น เธอแนะนำ “เราเข้าไปดูกันไหมคะ?”
คุณพ่อประสิทธิ์ครุ่นคิด แล้วเห็นด้วย
สองพ่อลูกประคองกันเข้าไปให้ห้องของพงศกร เพิ่งจะเข้าไป ก็มองเห็นบนเตียง ชายที่เดิมที่หลับตาหมดสติอยู่ ตอนนี้ได้ลืมตาขึ้นแล้ว
เมื่อมองเห็นฉากนี้ เท้าทั้งสองข้างของสองพ่อลูกก็ชะงัก
“ฟื้นแล้ว พ่อ เขาฟื้นแล้ว” ปาจรีย์ชี้พงศกรที่อยู่บนเตียง สำหรับปาจรีย์แล้ว
คุณพ่อประสิทธิ์ไม่ได้พูดต่อ เพียงแต่กำมือ สายตามองที่พงศกรอย่างเย็นชา
เมื่อพงศกรได้ยินเสียงของปาจรีย์ ดวงตาที่มองเพดานอยู่ในทีแรก ตอนนี้ได้หันมา มองที่สองพ่อลูก ดวงตาเขาเป็นประกายอย่างไม่คาดคิด
หลังจากที่เขาฟื้นขึ้น เมื่อเห็นตัวเองอยู่ในห้องผู้ป่วย ก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง
ตอนแรกเขาถูกคุณพ่อประสิทธิ์ทุบจนหมดสติ คุณพ่อประสิทธิ์ต้องส่งเขามาที่โรงพยาบาลแน่ๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่เขาก็พอจะคาดเดาได้ ว่าคงต้องนานพอ พอที่จะพิสูจน์ได้ว่า ถูกคุณพ่อประสิทธิ์ทุบสาหัสแค่ไหน
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากกว่านั้น คือครอบครัวตระกูลสวนจันทร์ กลับไม่เอาให้เขาตาย แต่เลือกที่จะส่งมาโรงพยาบาลแทน สิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสงสัย พวกเขาโง่หรือเปล่า?
พวกเขาก็รู้อยู่แล้ว ว่าเขาคือคู่อริของตระกูลสวนจันทร์ การที่มีเขาอยู่ จะสามารถคุกคามครอบครัวตระกูลสวนจันทร์ได้ตลอดเวลา ตามหลักแล้ว พวกเขาเล่นเขาให้ตายไปเลยไม่ดีกว่าหรอกเหรอ?
แต่พวกเขากลับไม่ทำ ไม่โง่แล้วเรียกว่าอะไร?