บทที่ 897 หกล้านปี ขาดเพียงชิ้นเดียว

ระบบสุ่มดวงชะตา ข้าจะเป็นอมตะ

บทที่ 897 หกล้านปี ขาดเพียงชิ้นเดียว

ในแดนความฝัน เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น มองเห็นหานเจวี๋ยที่มีแสงเทพส่องพราวทั่วร่าง เขาทำความเคารพทันที

หลังจากได้ฟังเทศนาธรรมในครั้งก่อน เขาก็ตั้งตารอการเทศนาธรรมครั้งต่อไป

มหามรรคต้นกำเนิดน่าอัศจรรย์เหลือเกิน เขามองเห็นความหวังในการสำเร็จมหามรรคแล้ว

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ช่วงนี้ฝึกบำเพ็ญได้ไม่เลวเลยนี่”

เจียงเจวี๋ยซื่อตอบอย่างถ่อมตัว “ต้องขอบคุณการเทศนาธรรมของผู้อาวุโสท่านยิ่งนัก”

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เป้าหมายในการบำเพ็ญของเจ้าคืออะไร”

เจียงเจวี๋ยซื่อชะงักไป

“สรรพสิ่งมีวิญญาณ มีวิญญาณเกิดจิตใจ มีจิตใจเกิดความคิด มีความคาดหวัง ก่อนจะกระทำการใด ต้องมีการวางแผนไว้ในใจก่อน ที่เจ้าฝึกบำเพ็ญอยู่ในยามนี้ ต้องการสิ่งใดเล่า”

หานเจวี๋ยถามอย่างไม่อนาทร ทว่าวาจานี้กระทบใจของเจียงเจวี๋ยซื่อ

เจียงเจวี๋ยซื่อตอบว่า “ข้าต้องการบรรลุระดับสูงสุดในการบำเพ็ญ ข้าอยากคืนชีพให้สหายเก่าคนหนึ่ง”

หานเจวี๋ยกล่าวว่า “การบำเพ็ญไร้จุดสิ้นสุด ขอเพียงฝึกบำเพ็ญไปตลอด ระดับก็จะเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องคืนชีพให้สหายเก่า ตอนนี้ปรากฏโอกาสแล้ว ฟ้าบุพกาลจะจัดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลขึ้น หากว่าสำเร็จเป็นดวงจิตมหามรรคได้ จะคืนชีพให้คนผู้หนึ่ง เป็นเรื่องง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ”

พอเขาเอ่ยเช่นนี้ ดวงตาของเจียงเจวี๋ยซื่อพลันส่องประกาย

เขารีบสอบถามถึงเรื่องงานชุมนุมฟ้าบุพกาล

หานเจวี๋ยตอบไปตามจริง หลังจากฟังจบ เจียงเจวี๋ยซื่อตื่นเต้นจนเลือดลมพลุ่งพล่าน

นี่คืองานรวมตัวเหล่าบุตรแห่งสวรรค์อย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน สมกับเป็นงานชุมนุมฟ้าบุพกาล!

หากว่าเป็นเจียงเจวี๋ยซื่อในอดีต ต้องลังเลแน่นอน ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีที่พึ่ง หากไปร่วมงาน มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนที่จะชักนำภัยมา แต่ตอนนี้ต่างกันออกไป ผู้อาวุโสที่อยู่เบื้องหน้าท่านนี้เป็นที่พึ่งให้เขาได้!

“ผู้อาวุโส ข้า…”

เจียงเจวี๋ยซื่อพูดจาอึกอัก ถ้อยคำบางอย่างเขาไม่เคยกล่าวมาก่อน จึงรู้สึกขัดเขิน

หานเจวี๋ยเอ่ยถาม “เจ้ายินดีจะกราบข้าเป็นอาจารย์หรือไม่”

เมื่อเขาเอ่ยมาเช่นนี้ เจียงเจวี๋ยซื่อก็โล่งใจ ไม่ว่าจะเป็นตอนอยู่ที่มรรคาสวรรค์หรือในฟ้าบุพกาล ไม่มีความสัมพันธ์ใดเหนียวแน่นไปกว่าศิษย์อาจารย์แล้ว ถึงขั้นที่เหนือกว่าสายสัมพันธ์พ่อลูกด้วยซ้ำ บิดาเป็นเพียงบ่วงกรรมที่เชื่อมโยงจากการกำเนิด แต่ศิษย์อาจารย์เป็นบ่วงกรรมแห่งมรรควิถี

เจียงเจวี๋ยซื่อคุกเข่าโขกศีรษะให้ทันที เอ่ยว่า “คารวะอาจารย์”

ทุกอย่างล้วนดำเนินไปตามแผนที่วางไว้ หานเจวี๋ยได้รับค่าความประทับใจหกดาวจากเจียงเจวี๋ยซื่อ

หานเจวี๋ยเอ่ยว่า “ในเมื่อกราบอาจารย์แล้ว เช่นนั้นข้าจะถ่ายทอดพลังวิเศษชนิดหนึ่งให้เจ้า พลังวิเศษนี้เพียงพอจะทำให้เจ้าผงาดในฟ้าบุพกาลได้”

เจียงเจวี๋ยซื่อตื่นเต้นดีใจ รีบกล่าวขอบคุณ

หานเจวี๋ยเริ่มเทศนาธรรม พลังวิเศษที่ถ่ายทอดให้ย่อมเป็นฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกร

หนึ่งร้อยปีต่อมา การเทศนาธรรมสิ้นสุดลง

เจียงเจวี๋ยซื่อลืมตาขึ้น ยิ้มออกมา

หลิวเป้ยคล้ายจะรับรู้อะไรได้ ลืมตาขึ้นมา เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป”

“ข้ากราบผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นอาจารย์แล้ว”

เจียงเจวี๋ยซื่อตอบเสียงแผ่ว เขาตื่นเต้นอย่างยิ่ง

ฝ่ามือสวรรค์มหาเกรียงไกรช่างทรงพลังนัก!

ทำลายล้างได้ทุกสิ่ง!

เรียบง่าย รุนแรง หากฝึกบำเพ็ญจนบรรลุขีดสูงสุด ลืมพลังวิเศษที่ฉูดฉาดวางท่าทั้งหมดไปได้เลย ถึงเจ้ามีพลังวิเศษมากมาย ข้าก็ทำลายได้ในฝ่ามือเดียว!

เจียงเจวี๋ยซื่อเคารพยำเกรงหานเจวี๋ยมากยิ่งขึ้น

หลิวเป้ยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ยินดีด้วย”

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยยิ้มๆ “ต่อไปพวกเรานับว่าอยู่สำนักเดียวกันแล้วกระมัง ศิษย์พี่!”

หลิวเป้ยส่ายหน้าตอบไปว่า “นับว่าอยู่สำนักเดียวกัน แต่มิใช่ศิษย์พี่ศิษย์น้อง”

“เพราะเหตุใด”

“กล่าวกันตามจริง อันที่จริงข้าเป็นร่างแยกของผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าเคารพเขาเป็นนาย หากว่ากันตามลำดับอาวุโสแล้ว ข้าก็มีลำดับอาวุโสกว่าเจ้า”

“ร่างแยกหรือ”

เจียงเจวี๋ยซื่อเบิกตากว้าง มองหลิวเป้ยอีกครั้ง แววตาเปลี่ยนไปทันที

หลิวเป้ยอารมณ์ดีนัก เขาอดทนมานานยิ่ง ในที่สุดก็วางท่าได้แล้ว

เจียงเจวี๋ยซื่อเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นความเมตตาจากอาจารย์”

เขาคิดๆ แล้วยังคงตื้นตันนัก เพื่อจะรับเขาเป็นศิษย์ อาจารย์ให้ความเมตตาก่อน รอจนเขายินดีจะกราบอาจารย์แล้วถึงรับไว้อย่างเป็นทางการ น้ำใจในส่วนนี้ ทำให้คนนึกเลื่อมใส

เขาอดถามไม่ได้ “อาจารย์ของข้าเป็นผู้ใดกันแน่”

หลิวเป้ยเงียบไป เวลานี้เอง เสียงของหานเจวี๋ยพลันแว่วเข้าสู่หูเขา อนุญาตให้เขาบอกฐานะอริยะสวรรค์เกรียงไกรออกไป

“อริยะสวรรค์เกรียงไกรแห่งมรรคาสวรรค์ เคยได้ยินหรือไม่”

เจียงเจวี๋ยซื่อได้ฟังคำพูดของหลิวเป้ยแล้วมีสีหน้าตื่นตะลึง

อริยะสวรรค์เกรียงไกร!

นามนี้เรียกได้ว่าโด่งดังเลื่องลือ!

โดยเฉพาะสำหรับสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์ ยิ่งเป็นตำนานเลยทีเดียว!

เจียงเจวี๋ยซื่อเลื่อมใสอริยะสวรรค์เกรียงไกรมากเช่นกัน เพียงแต่ทั้งสองห่างชั้นกันเกินไป เขารู้ตัวดีว่าไม่อาจเข้าถึงตัวอริยะสวรรค์เกรียงไกรได้

เขานึกถึงอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้

หนึ่งในผู้จัดงานชุมนุมฟ้าบุพกาลขึ้นก็คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร!

จิตใจเขาพลันเร่าร้อนขึ้นมา

กล่าวก็คือ เขาสามารถแสดงศักยภาพของเขาในงานชุมนุมฟ้าบุพกาลได้เต็มที่ ไม่ต้องกลัวจะถูกวางแผนเล่นงาน! 艾琳小說

มีอริยะสวรรค์เกรียงไกรปกป้องตนอยู่ ในฟ้าบุพกาลอันกว้างไกลไร้สิ้นสุด ผู้ใดจะกล้าทำอันตรายเขากัน

เจียงเจวี๋ยซื่อซาบซึ้งอยู่ในใจ ก่อนหน้านี้เขารู้สึกว่าคุณสมบัติของตนเพียงพอสำหรับอาจารย์แล้ว แต่อาจารย์คืออริยะสวรรค์เกรียงไกร เช่นนั้นก็ต่างกันออกไปแล้ว

นี่คือสุดยอดผู้แข็งแกร่งแห่งฟ้าบุพกาล!

อย่างน้อยผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ก็คิดกันเช่นนี้!

ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ จะขาดแคลนบุตรแห่งสวรรค์ที่อยากกราบเป็นอาจารย์ได้อย่างไรเล่า

เจียงเจวี๋ยซื่อสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ดวงตาพลันฉายแววมุ่งมั่น

เขาจะทำให้อริยะสวรรค์เกรียงไกรขายหน้าไม่ได้!

ต้องติดหนึ่งในสิบยอดฟ้าบุพกาลให้ได้!

อีกทั้งเขาต้องทุ่มเทแย่งชิงตำแหน่งเลิศล้ำหมื่นยุคมาให้ได้!

….

วันเดือนเคลื่อนคล้อยไป แสนกว่าปีต่อมา

[ตรวจสอบพบว่าท่านอายุครบหกล้านปีบริบูรณ์ ชีวิตก้าวหน้าไปอีกขั้น ท่านมีตัวเลือกดังต่อไปนี้]

[หนึ่ง ออกจากปิดด่านทันที บุกเบิกอนธการขึ้นในฟ้าบุพกาล จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

[สอง เก็บตัวบำเพ็ญ หลีกห่างจากข้อพิพาท จะได้รับชิ้นส่วนมหามรรคหนึ่งชิ้น ชิ้นส่วนอนธการหนึ่งชิ้น ศิลาก่อวิญญาณหนึ่งก้อน]

หานเจวี๋ยลืมตาขึ้น ครั้งนี้กลับดีนัก รางวัลไม่ต่างกันเลย เลือกได้โดยไม่ต้องปวดใจ

เขาเลือกตัวเลือกที่สองทันที!

ตอนนี้ เขามีชิ้นส่วนอนธการแปดชิ้นแล้ว!

กล่าวก็คือ อย่างมากอีกหนึ่งล้านปี เขาก็สามารถรวบรวมครบแล้วสำแดงมหารังสรรค์อนธการออกมาได้!

จิตใจหานเจวี๋ยพลันเร่าร้อนขึ้นมา

ลูกเอ๋ย!

เจ้าจะได้ออกมาดูโลกแล้ว!

ช้าก่อน

จู่ๆ หานเจวี๋ยก็คิดได้ว่า บางทีบุตรชายเขาอาจยังมีโอกาสได้เข้าร่วมงานชุมนุมฟ้าบุพกาล

ยังเหลือเวลาอีกเก้าล้านปีกว่าจะถึงงานชุมนุมฟ้าบุพกาล บุตรชายของเขายังมีเวลาอีกแปดล้านปี

บนโลกนี้นอกจากหานเจวี๋ยแล้ว ไม่มีใครเคยพบเทพมารอนธการตัวจริง ขอเพียงบุตรชายของเขาไม่ทำตัวผยอง ก็ไม่มีทางเปิดเผยออกไป

หานเจวี๋ยนึกถึงอนาคตที่วิวัฒนาการขึ้นก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะไม่ให้ผยองเลยก็คงยากนัก

ช่างเถอะ ไว้วันหลัง อย่างไรเสียก็มีเจียงเจวี๋ยซื่ออยู่ หานเจวี๋ยก็มีป้ายมั่นใจอยู่ในมือ

เขานำศิลาก่อวิญญาณออกมา ผสานเข้ากับปราณเทพมารกลุ่มหนึ่ง จากนั้นจึงฝึกบำเพ็ญต่อ

เขาเตรียมตัวรอเวลาหนึ่งล้านปีแล้ว ขอเพียงเขาใช้เวลาปิดด่านให้นานขึ้น ล้านปีก็ไม่นานแล้ว

กะพริบตาไม่กี่ที ก็ผ่านไปเร็วยิ่ง!

….

ภายใต้นภาสีคราม

บนแท่นศิลา

ห้าเทวทัณฑ์ยืนอยู่ตรงหน้าเทพมหาทัณฑ์ หานทั่วรายงานเหตุการณ์ในแดนบรรพกาล

รอจนเขาเล่าจบ เทพมหาทัณฑ์เอ่ยถามอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “กล่าวก็คือ ในแดนบรรพกาลมีตัวตนที่อยู่เหนือว่าอริยะมหามรรคซ่อนตัวอยู่ อีกทั้งพวกเจ้าก็ไม่ทราบถึงตัวตนของเขาเช่นนั้นหรือ”

หานทั่วสีหน้ามืดมน ตอบว่า “ถูกต้องขอรับ หากมิใช่เพราะพวกเรายังไม่บรรลุมหามรรค เกรงว่าคงออกมาไม่ได้แล้ว มีอริยะมหามรรคคนหนึ่งที่นามว่าจอมเทพข่งเซวี่ยถูกตัวตนโบราณนั้นบังคับสะกดจองจำ บอกว่าจะกักขังเจตจำนงของเขาไว้ที่นี่ตลอดกาล”

เทพมหาทัณฑ์ตกอยู่ในห้วงความคิด

อี๋เทียนเอ่ยว่า “ท่านเทพ อย่าส่งพวกเราไปที่แดนบรรพกาลอีกเลยขอรับ สถานที่แห่งนั้นน่ากลัวยิ่งกว่าก้นบึ้งฟ้าบุพกาลเสียอีก มารมรรคามากมายเกินไปแล้วจริงๆ”

เทพมหาทัณฑ์ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “มารมรรคามากมายหรือ”

อี๋เทียนพยักหน้ารับ ตอบว่า “คิดว่ามีมากกว่าสิ่งมีชีวิตมรรคาสวรรค์เสียอีก มารดามันเถอะ ไม่รู้ว่าโผล่มาจากที่ใดกัน!”

………………………………………………………………