“กำลังคิดอะไรอยู่” เมื่อมองไปยังใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดของลูกสาว คุณพ่อประสิทธิ์ก็รู้ได้เลยทันทีว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เมื่อแอบถอนหายใจแล้ว ก็ดีดหน้าผากเธอทีหนึ่ง
ปาจรีย์กุมหน้าผากที่ถูกดีดจนเจ็บ “คุณพ่อ ทำอะไรคะ”
“ลูกไม่ต้องคิดมาก” คุณพ่อประสิทธิ์กล่าว
ปาจรีย์กัดริมฝีปาก “หนูไม่ได้คิดมากสักหน่อย”
“ไม่มีเหรอ งั้นเมื่อกี้ลูกเหม่อลอยอะไรโอเค ช่วยพันผ้าก๊อซให้ด้วย” คุณพ่อประสิทธิ์ชี้ไปที่ผ้าก๊อซ เปลี่ยนเรื่องพูด
ปาจรีย์อือตอบรับ หยิบผ้าก๊อซที่ยังไม่ได้เปิดขึ้นมาแกะมันออก ใช้กรรไกรตัดเป็นเส้นเล็กๆ
ขั้นตอนต่อไป คือการพันผ้าก๊อซก็เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นปาจรีย์ไม่ต้องพึ่งการสอนออนไลน์ของพงศกร
พงศกรจึงทำได้เพียงนั่งมองเงียบๆอยู่บนเตียงผู้ป่วย อย่างคิ้วขมวด โดยไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากนั้นไม่นาน ปาจรีย์ก็ได้พันแผลให้คุณพ่อประสิทธิ์เสร็จ กำลังจัดเก็บชุดปฐมพยาบาล
คุณพ่อประสิทธิ์ยืนขึ้น เดินไปทางพงศกร ที่หน้าเตียงผู้ป่วย จ้องมองดูเขาด้วยสายตาเย็นชา
พงศกรเงยหน้าขึ้น ใช้สายตานิ่งจ้องพ่อประสิทธิ์กลับไป
สิ่งที่ทำให้คุณพ่อประสิทธิ์แปลกใจ คือครั้งนี้ เขากลับมองไม่เห็นความเกลียดชังใดๆจากสายตาของพงศกร
ต้องรู้นะ ว่าไอ้พงศกรมันเกลียดตระกูลจิรดำรงค์ของพวกเขามากเพียงใด ซึ่งเขารู้ดี ทุกครั้งที่พบหน้า มองจากสายตาที่เขาจ้องตระกูลจิรดำรงค์แล้ว แทบอยากให้ตระกูลจิรดำรงค์พวกเขาตายๆไปเสียเช่นนั้น
แต่ตอนนี้ เขากลับมองไม่เห็นความเกลียดชังใดๆจากสายตาของเขาเหมือนเเต่ก่อน แม้แต่โกรธใดๆก็ไม่พบ มีเพียงความสงบเท่านั้น
ใช่แล้ว คือความนิ่ง
ราวกับว่า ตระกูลจิรดำรงค์ของพวกเขานั้น ไม่ใช่ศัตรูของเขาอีกต่อไป แต่เป็นคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
คุณพ่อประสิทธิ์จ้องมองพงศกรไปสักพัก ไม่เข้าใจว่าทำไมความเกลียดชังที่พงศกรมีต่อตระกูลจิรดำรงค์จู่ๆมันถึงหายไป แต่คุณพ่อประสิทธิ์ไม่มีความคิดที่อยากจะถามออกไป
จากที่เขาดูแล้ว แม้สายตาที่พงศกรใช้มองพวกเขาจะไม่มีความเกลียดชังแล้ว แต่ในใจ ต้องยังเป็นเช่นนั้นอยู่แน่นอน
ดังนั้น เขาจะถามมากมายขนาดนั้นไปทำไม มันไม่มีประโยชน์อะไร
“ไอ้พงศกร” คุณพ่อประสิทธิ์พูดด้วยเสียงขรึม “เมื่อกี้ที่นายสอนปาจรีย์พันแผลให้ฉัน แต่อย่าหวังว่าฉันจะขอบใจนาย”
พงศกรเงยหน้าขึ้นมองแล้วพูดเบา ๆ “ผมก็ไม่ได้หวังว่าท่านจะขอบคุณผมหรอกครับ”
ท่านเหรอ
สรรพนามการเรียกที่ให้เกียรติเช่นนี้ ทำคุณพ่อประสิทธิ์ประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง
“แก……” เขาจ้องไปที่พงศกรด้วยความประหลาด นิ่งไปสักระยะหนึ่งถึงจะอ้าปาก พูดออกมา“ไอ้พงศกร สมองแกเป็นไข้รึเปล่า”
พงศกรขมวดคิ้ว “ผมสบายดี”
“ในเมื่อแกสบายดี ทำไมแกถึงเรียกฉันอย่างนั้น” คุณพ่อประสิทธิ์ถาม “นี่ไม่ใช่สรรพนามที่นายควรเรียกฉันอย่างแน่นอน พูดมา นายมีแผนการอะไร”
พงศกรเยาะเย้ย “ผมเป็นแบบนี้แล้ว ผมยังมีแผนการอะไรได้อีก”
“ฮึ แกเป็นแบบนี้แล้ว แต่แกก็ยังไม่ละทิ้งความตั้งใจที่จะให้ปาจรีย์ทำแท้งใช่ไหม” คุณพ่อประสิทธิ์เยาะเย้ย
พงศกรเม้มปาก กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ปาจรีย์ที่เก็บชุดปฐมพยาบาลเสร็จแล้วก็เดินเข้ามาพอดี
เธอมองไปที่คุณพ่อประสิทธิ์ก่อน ต่อจากนั้นจึงจะหันไปมองพงศกร“คุณวางใจเถอะ ฉันรับปากค่ะ ว่าจะเอาเด็กออก”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกมา ไม่เพียงแต่คุณพ่อประสิทธิ์ตะลึง มันก็ทำให้ใบหน้าของพงศกรเปลี่ยนไปเล็กน้อย และม่านตาหดตัวลงแวบหนึ่ง
คุณพ่อประสิทธิ์จับไหล่ปาจรีย์ ด้วยท่าทางจริงจังอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน “ปาจรีย์ ลูกรู้ไหมว่าลูกกำลังพูดอะไรอยู่ เอาเด็กออก ลูกจะทำแบบนี้ไปทำไม เด็กคนนี้ ไม่ใช่เหรอที่ลูกรอคอยมาตลอด เพื่อเขา ทั้งครอบครัวเราต้องคอยหนีไปหนีมาตลอด จากในประเทศหนีไปที่ต่างประเทศ เพื่อเขาลูกถึงขั้น ต้องไปใช้การสะกดจิตเพื่อให้ตัวเองลืมพงศกร เพราะการทำแบบนี้ ถึงจะทำให้ปรับสภาพจิตใจของลูกให้ดีขึ้นได้ ดูแลร่างกายอย่างดี เพื่อให้เด็กคนนี้ได้คลอดออกมา แล้วตอนนี้ลูกจะทำเพื่อพ่อ โดยการเอาเด็กที่ดูแลปกป้องมาอย่างดีออกหรอก ลูกทำได้ลงคอจริงๆเหรอ ”
คุณพ่อประสิทธิ์กัดริมฝีปาก
ทำลงคอไหม
เป็นไปได้ยังไง
แน่นอนว่าเธอทำไมได้
แต่ว่า เธอจะไม่ช่วยพ่อไม่ได้
ลูกสำคัญ แต่เช่นเดียวกัน พ่อสำคัญยิ่งกว่า
อีกอย่าง ตอนนี้ความรู้สึกที่มีต่อเด็กคนนี้ยังมีไม่มาก เพราะฉะนั้น เธอจึงสามารถใจดำที่จะเอาเด็กออกได้
แต่ถ้าจะให้ตัวเองเลือกลูก แล้วปล่อยให้พ่อไปติดคุก งั้นเธอคงจะใจดำจริงๆ
แม้ตัวเองในเมื่อก่อนจะแคร์เด็กคนนี้มาก แต่เธอเชื่อว่า แม้จะเป็นตัวเองในเมื่อก่อน ที่ต้องเลือกอย่างตอนนี้ ก็ต้องเลือกทำแบบนี้
เมื่อครุ่นคิด ปาจรีย์ก็กำมือแน่น ดวงตาแดงจ้องมองคุณพ่อประสิทธิ์ “คุณพ่อคะ หนูทำลงคอค่ะ หนูจะไม่ยอมให้คุณพ่อติดคุกโดยไม่ทำอะไรค่ะ”
“ลูก……” คำพูดเธอทำให้คุณพ่อประสิทธิ์โมโหจนแทบพูดไม่ออก “ลูกทำได้ พ่อทำไม่ได้ พ่อก็อายุมากแล้ว อยู่ได้ไม่นานแล้ว ติดคุกก็ติดไปสิ พ่อยังกลัวไม่ได้ติดเลย ไม่ว่าจะยังไงนะปาจรีย์ ลูกล้มเลิกความคิดที่จะเอาเด็กออกไปซะ พ่อไม่ยอมให้ลูกไปเอาเด็กออก พ่อยอมติดคุก หากลูกเอาเด็กออก งั้นลูกก็ทำเขาสมหวังสิ”
เขาชี้ไปที่พงศกร
ปาจรีย์มองไปที่พงศกรแวบหนึ่ง ยกยิ้มมุมปากอย่างขมขื่น“หนูรู้ค่ะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ หนูขอเพียงคุณพ่อปลอดภัยก็พอค่ะ ในเมื่อเขาอยากให้เด็กคนนี้หายไปจากโลกนี้ ก็ให้เขาสมหวังเถอะค่ะ ไม่แน่นะคะ ว่าไม่มีเด็กแล้ว ความแค้นระหว่างสองตระกูลของพวกเรา ก็อาจลดน้อยไปบ้างก็ได้ค่ะ”
เมื่อพูดจบ เธอก็เดินเข้าไป “คุณพงศกร คุณก็ได้ยินที่พวกเราพูดแล้วนะคะ ฉันยอมเอาเด็กออกค่ะ แถมยังสามารถทำได้ตอนนี้เลยค่ะ ดังนั้น ฉันหวังว่าคุณจะยอมปล่อยคุณพ่อฉันไปนะคะ ได้โปรดเถอะนะคะ ”
เธอโค้งคำนับเขาอย่างสุดซึ้ง
คุณพ่อประสิทธิ์ดึงแขนเธอไว้ อยากดึงเธอให้ขึ้นมา
แต่ครั้งนี้ ปาจรีย์กลับมีท่าทีจริงจังมาก คุณพ่อประสิทธิ์พยายามดึงอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ขึ้น
จนสุดท้ายปาจรีย์ยอมขึ้นมาด้วยตัวเอง จากนั้นก็เช็ดที่ตาไปทีหนึ่ง แล้วหันหลังเดินไปทางประตูห้องผู้ป่วย
ในเวลานี้ มือที่อยู่ภายใต้ผ้าห่มของพงศกรกำมือแน่นจนเป็นกำปั้น จู่ๆก็พูดออกมาคำหนึ่ง “เธอจะไปไหน”
ปาจรีย์หยุดก้าวเดิน แต่ไม่ได้หันกลับไปมอง “ฉันจะไปหาหมอค่ะ ให้จัดการเรื่องทำแท้งให้ค่ะ”
เธอตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เบาราวกับสายลมเบาๆ แต่เมื่อได้ฟังแล้ว กลับทำให้คนฟังรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก
ส่วนเธอก็ก้มศีรษะลงเล็กน้อย หนังตามองต่ำ ทำให้คนยากที่จะมองเห็นสีหน้า และแววตาได้
คุณพ่อประสิทธิ์กำหมัดทั้งสองข้างไว้แน่น หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ เขาอยากจะชกไปที่พงศกรจริงๆ
“พงศกร ทีนี้แกพอใจแล้วใช่ไหม” ดวงตาทั้งสองข้างคุณพ่อประสิทธิ์แดงก่ำ ตะคอกใส่พงศกร “เด็กในท้องของปาจรีย์ ก็ลูกแกเหมือนกัน มันเป็นผลจากความผิดพลาดในตอนนั้นของแก แกมีสิทธิ์อะไรที่จะให้ปาจรีย์เป็นคนรับมันไว้ทั้งหมด ”
ลูกกระเดือกพงศกรขยับเล็กน้อย ไม่ได้สนใจเขา สายตาจ้องมองแต่ปาจรีย์ “ถ้าเธออยากเก็บเด็กคนนี้ไว้ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ปาจรีย์ก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็รีบหันกลับไปมองชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย “คุณพูดอะไรนะ คุณ……คุณพูดว่าสามารถให้ฉันเก็บเด็กคนนี้ไว้ได้ใช่ไหม”
อย่าว่าแต่ปาจรีย์เลย คุณพ่อประสิทธิ์ก็งุนงงไปเช่นกัน โดยมองพงศกรด้วยสายตาราวกับมองเห็นสัตว์ประหลาด
พระเจ้า เมื่อกี้เขาได้ยินอะไรนะ
มีโอกาสที่พงศกรจะให้ปาจรีย์เก็บเด็กไว้
“คุณพงศกร คุณพูดจริงใช่ไหมคะ” ปาจรีย์ก้าวเดินกลับไปข้างเตียงพงศกรอย่างรวดเร็ว จับราวไว้แล้วตามถาม
“คุณ…… คุณยอมให้ฉันเก็บเด็กไว้จริงๆใช่ไหมคะ”