ตอนที่ 231-2 วั่งซูยอดกล้าหาญ
ต้าไป๋กับเสี่ยวไป๋ถูกจับตัวไว้ได้
ภายในรถม้าที่จอดอยู่ไม่ไกล มีใครคนหนึ่งกำลังดูละครฉากสนุกอยู่
“คิดไม่ถึงจริงๆ คนตระกูลจีหน้าโง่จะมีคู่แค้นอยู่กับเขาเยอะเหมือนกัน” ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงระเรื่อเสียยิ่งกว่าสตรีขึ้น นัยน์ตาเจ้าเล่ห์มีแววยินดีบนความทุกข์ของผู้อื่นแวบเข้ามาให้เห็น
อาต๋าเอ่อร์มองชายชุดดำกลุ่มนั้นแล้วถามด้วยความประหลาดใจว่า “ใต้เท้า กระบวนท่าของคนที่มาทีหลังพวกนั้นดูคุ้นตายิ่งนัก ไม่เหมือนยอดฝีมือชาวจงหยวนสักนิด แต่ดูเหมือนจะ…เป็นคนทางนั้น เหตุใดคนตระกูลจีถึงไปทำให้พวกเขาไม่พอใจได้”
“ใครจะรู้ว่าตระกูลจีทำเรื่องโง่ๆ อะไรไว้อีกเล่า” ใต้เท้าเจ้าสำนักมีเรื่องมีพอใจตระกูลจีเป็นการส่วนตัว ต่อให้ตระกูลจีสร้างความแค้นไว้กับคนมากกว่านี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาสักอีแปะ เขาเล่นเม็ดไข่มุกทองในมือ เอ่ยด้วยท่าทีสบายๆ ว่า “เรื่องที่ให้เจ้าสืบไปถึงไหนแล้ว สองสามีภรรยาที่น่ารังเกียจนั่นหายไปที่ใดกัน”
อาต๋าเอ่อร์เอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “ได้ยินว่านายน้อยตระกูลจีปิดประตูครองสันโดษไปแล้ว ส่วนฮูหยินของเขาเดินทางลงเจียงหนานไปร่วมงานแต่งงานของญาติขอรับ”
“ได้ยินว่า?” ใต้เท้าเจ้าสำนักย้อนถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
อาต๋าเอ่อร์บอกว่า “คนข้างนอกล้วนกล่าวกันเช่นนี้ เพียงแต่ตามที่ข้าสืบข่าวมากลับไม่ใช่เช่นนั้น วันที่ขุนนางทูตจากหนานฉู่เดินทางกลับ มีขบวนรถม้าตระกูลจีออกจากเมืองหลวงไปทางตอนเหนือ ข้าสะกดรอยตามรถม้าคันนั้นไปจนถึงบ้านหลังหนึ่ง มีชายแต่งกายคล้ายอัตรเสนาบดีเดินเข้าไปในบ้าน ข้าตามเข้าไปดูกลับพบว่าเป็นตัวปลอมที่แต่งกายในชุดของเขา ข้าจึงรีบกลับเมืองหลวง คิดอยากมาดูว่านายน้อยตระกูลจีไปที่ใดกันแน่ แต่ก็หาร่องรอยเขาไม่เจอแล้วขอรับ”
“คนตระกูลจีมันเจ้าเล่ห์นัก” ใต้เท้าเจ้าสำนักกระตุกมุมปากอย่างเยาะหยัน “สตรีนางนั้นเล่า”
อาต๋าเอ่อร์พูดต่อว่า “ร่องรอยของสตรีนางนั้นยิ่งแปลกหนักเข้าไปใหญ่ ในรถม้าตระกูลเฉียวที่แล่นลงเจียงหนานไม่มีเงาของนางให้เห็น คนของพวกเราเห็นว่าเมื่อวันที่ขุนนางทูตหนานฉู่เดินทางกลับ นางเดินเข้าไปในบ้านสี่ประสานตรงถนนชิ่งเฟิง แต่หลังจากนางเดินเข้าไปแล้วก็ไม่เห็นออกมาอีก หลังจากนั้นข้าไปที่ถนนเส้นนั้นด้วยตัวเองแล้วลองสอบถามดู ก็ไม่มีใครพบเห็นนาง พวกเขาสองคนคล้ายจู่ๆ ก็หายตัวกันไปกระนั้น”
ใต้เท้าเจ้าสำนักส่งเสียงหึเย็นๆ “พวกมันต้องใช้วิชาอำพรางตัวอะไรแน่ ถึงได้หนีหายไปท่ามกลางสายตาคนตั้งมากมายได้เช่นนี้!”
แผนที่เขาจะบุกเข้าบ้านตระกูลจี ทำลายทุกอย่างของตระกูลจีทิ้ง สังหารล้างบุรุษ ช่วงชิงสตรี ขายเด็กในตระกูลให้สิ้น ให้พวกเขากลายเป็นทาสไปชั่วชีวิตยังไม่ทันจะเป็นจริงเลย ก็หนีหายไปสองคนแล้ว มันช่างน่าหงุดหงิดใจยิ่งนัก
ที่น่าโมโหไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่มีเวลารอให้สองคนนั้นกลับมา เพราะเวลาของอาต๋าเอ่อร์กับลูกน้องคนอื่นๆ เหลือกันไม่มากแล้ว พวกเขาเริ่มรู้สึกแปลกๆ กับร่างกายแล้ว ต้องรีบกลับชนเผ่าให้เร็วที่สุด
เพียงแต่มาเสียเที่ยวโดยที่ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างยังไม่เท่าไร แต่ยังเสียหน้ากากทองคำและกริชทองคำที่ล้ำค่าที่สุดของเขาไปอีก เขาทนไม่ได้!
สายตาของเขานิ่งมองไปที่เด็กชายคนนั้น คนตระกูลจีผู้โง่เขลา พวกเขาควรชดใช้ในความผิดที่พวกเขาทำเอาไว้ ในเมื่อฆ่าไม่ได้ก็จับเจ้าเด็กนี่ไปขายเสีย ให้ตระกูลจีน่าโง่นั่นได้ลิ้มรสความสูญเสียเสียบ้าง
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ใต้เท้าเจ้าสำนักก็ยิ้มอย่างมาดร้ายแล้วหยิบขลุ่ยออกมาจากอกเสื้อ
อาต๋าเอ่อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบดึงก้อนสำลีขึ้นมาอุดหู
เสียงขลุ่ยอันพลิ้วไหวลอยออกมาจากในรถม้า บนพื้นหิมะที่ถูกแสงจันทร์สาดส่องจนเป็นประกายใส เงาคนดำๆ ล้มตามๆ กันลงไป
ถึงแม้จะรู้สึกขอโทษพวกเขา แต่เหยื่อที่ข้าหมายตาไว้ต้องเป็นของข้าคนเดียวเท่านั้น
เฉียวเจิงจูงวั่งซูวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา เหล่านักฆ่าถูกจัดการจนร่วงกันลงไปหมดแล้ว จิ่งอวิ๋นยืนอยู่ตรงปากตลาดที่ว่างเปล่า มือคู่น้อยถูกชายรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งจับเอาไว้อยู่ ชายคนนั้นอยู่ในอาภรณ์สีดำตลอดร่าง ใส่หน้ากากบดบังใบหน้าไว้ครึ่งหนึ่ง ผิวขาวราวหิมะแทบจะโปร่งใส แค่เพียงยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก็คล้ายกลีบดอกอิงฮวาสีแดงฉ่ำในเดือนสี่
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น คล้ายสีสันที่สะท้อนอยู่กับพื้นหิมะ ทั่วทั้งร่างแผ่ไอเย็นยะเยือกและสูงสง่า
เฉียวเจิงดูอึ้งงั้นไป “เจ้าคือ…”
จิ่งอวิ๋นจูงมือใต้เท้าเจ้าสำนักเดินเข้าไป “ท่านตา เมื่อครู่มีคนไม่ดีหลายคนมากเข้ามาจับข้า ท่านอาผู้นี้ไล่คนไม่ดีพวกนั้นไปหมดเลย”
เฉียวเจิงอึ้งงัน ประสานมือพร้อมค้อมกาย “ขอบคุณคุณชายท่านนี้มากที่ช่วยหลานชายข้าไว้ ข้าขอบังอาจถามชื่อเสียงเรียงนามของท่าน จะได้ไปเยี่ยมขอบคุณด้วยตนเอง”
ใต้เท้าเจ้าสำนักไม่สนใจเขา สายตามองไปยังใบหน้าเด็กน้อยที่อยู่ข้างกายอีกฝ่าย แค่ดูจากใบหน้านี้ก็รู้แล้วว่าเป็นบุตรของใคร จึ๊ๆๆ มาอีกคนหนึ่งแล้ว เขาช่างโชคดีเกินไปจริงๆ
…
หลังจากนั้นหนึ่งเค่อ เฉียวเจิงกับเจ้าตัวเล็กทั้งห้าก็ขึ้นมานั่งบนรถม้ากันอย่างเรียบร้อย บนรถยังมีอาต๋าเอ่อร์ที่หนวดเคราเฟิ้ม รวมถึงใต้เท้าเจ้าสำนักที่ใส่หน้ากากครึ่งหน้าไว้อีกด้วย
เสี่ยวไป๋พอจำได้ว่าอีกฝ่ายเป็นท่านอารูปงามที่ให้ลูกกวาดตนเมื่อคราก่อน จึงตื่นเต้นดีใจยิ่งนัก
ต้าไป๋คราก่อนถูกพิษเล่นงานจนงงไปหมด จึงจำไม่ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร เพียงแต่เสียงขลุ่ยของอีกฝ่ายที่ได้ยินเมื่อครู่ช่างคุ้นหูนัก มีกลิ่นอายเหมือนบ้านของมัน มันชอบมากทีเดียว
จิ่งอวิ๋นก็ชอบ บนตัวท่านอารูปงามมีกลิ่นของท่านพ่ออยู่ ตอนเขาจับมือตนก็คล้ายตอนท่านพ่อจับมือตนอย่างไรอย่างนั้น
จูเอ๋อร์ยิ่งชอบเข้าไปใหญ่ บนรถมีผลไม้อยู่เต็มไปหมด มีแต่ของที่ลิงชอบกินทั้งสิ้น!
อาต๋าเอ่อร์เห็นคนบนรถดูไม่ตื่นตระหนกไม่หวาดกลัวซ้ำยังดูสบายอกสบายใจ ในใจเขาก็เริ่มสับสนในชีวิต
ตัวประกัน พวกเจ้าช่วยรู้ตัวว่าตนเป็นตัวประกันกันหน่อยได้หรือไม่!
วั่งซูกะพริบตาเป็นประกายของตน “ท่านอารูปงาม ท่านพ่อให้ท่านมารับพวกเราจริงๆ หรือ”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยกมุมปากที่แดงฉ่ำขึ้น เอ่ยอย่างอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่งว่า “แน่นอนสิ หากไม่ใช่ท่านพ่อเจ้าให้ข้ามารับ ข้าจะปรากฏตัวอยู่ที่นี่อย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร”
“ท่านพ่อข้าไปอยู่ที่ใดหรือ” วั่งซูถามด้วยความใคร่รู้
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มกว้างขึ้น “พ่อเจ้าอยู่ในสถานที่ที่ไกลโพ้น”
วั่งซูร้องว้าวทีหนึ่ง “ไกลแค่ไหนหรือ ไกลกว่าบ้านท่านยายหลัวของข้าหรือไม่ บ้านท่านยายหลัวของข้าอยู่ในหมู่บ้านซีหนิว! ต้องนั่งรถม้านานมากนานมากทีเดียว!”
“ไกลกว่าที่นั่นอีก” ใต้เท้าเจ้าสำนักอมยิ้มพลางพยักหน้า
“ว้าว! ข้ายังไม่เคยไปที่ไหลเช่นนั้นมาก่อนเลย! ที่…ที่นั่นสนุกหรือไม่” วั่งซูถามด้วยความตื่นเต้น
หัวหน้าเจ้าสำนักเอ่ยเรื่อยๆ ว่า “สนุกสิ สนุกแน่นอน สนุกกว่าที่เจ้าเคยไปมาทุกที่เลย”
ร่องรอยของจีหมิงซิว พวกคณะผู้ติดตามของเขา นอกจากเฟิ่งชิงเกอที่ไปยั่วยวนหลวงจีนหนุ่มอยู่ในวัดแล้ว คนอื่นๆ ไม่รู้เลยว่าหายไปอยู่ที่ใดกันหมด เฉียวเจิงพอเดาได้ว่าจีหมิงซิวไม่ได้กำลังปิดประตูครองสันโดษอยู่ แต่ออกไปทำธุระบางอย่าง แต่ว่าจะไปทำอะไร ทำที่ไหนนั้นเฉียวเจิงไม่อาจรู้ได้
แล้วเหตุใดจู่ๆ ถึงส่งคนมารับบุตรทั้งสอง เขายิ่งไม่รู้เข้าไปใหญ่
เฉียวเจิงมองใต้เท้าเจ้าสำนักด้วยสายตาสงสัย รู้สึกเอะใจว่าบุรุษผู้นี้ดูแปลกชอบกล ไม่ได้ดูไม่มีอะไรเช่นรูปลักษณ์ของเขา แต่ในมือเขาก็มีเครื่องประดับหยกประจำตระกูลจีอยู่ เครื่องประดับหยกชิ้นนั้นเขาเคยเห็นจีหมิงซิวพกติดตัวมาก่อน ซึ่งเป็นชิ้นที่องค์หญิงเจาหมิงสั่งให้ช่างฝีมือแกะสลักขึ้นในวันที่จีหมิงซิวเกิด บนหยกชิ้นนั้นใช้วิธีการพิเศษในการแกะสลักดวงชะตาเวลาเกิดของจีหมิงซิว ฝีมือการทำเช่นนั้นได้หายสาบสูญไปแล้ว ต่อให้ทำของปลอมขึ้นมาอย่างไรก็ไม่มีทางเหมือน
ดังนั้นบุรุษผู้นี้เป็นคนที่จีหมิงซิวส่งมาจริงๆ
จีหมิงซิวให้กระทั่งหยกพกติดตัวกับอีกฝ่าย เห็นได้ว่าไว้ใจอีกฝ่ายมาก คนที่จีหมิงซิวไว้ใจ คิดแล้วว่าคงไม่ใช่คนเลว
เมื่อคิดเช่นนี้ ความสงสัยส่วนสุดท้ายในใจเฉียวเวยจึงมลายหายไป
ดังนั้นพวกเขาหกคนจึงถูกใต้เท้าเจ้าสำนักหลอกไปยังชนเผ่าลึกลับด้วยความยินดี
วั่งซูชอบท่านอารูปงามผู้นี้มาก ไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลาแต่ยังมีของเล่นทองคำอีกจำนวนมาก เม็ดไข่มุกทองคำในมือเขา ก็สวยมาก สวยมากๆ จริงๆ!
ใต้เท้าเจ้าสำนักเล่นเม็ดไข่มุกในมือแล้วบังเอิญเห็นท่าทางน้ำลายไหลด้วยความหิวกระหายของวั่งซู เขาจึงเอาเม็ดไข่มุกใส่อกเสื้ออย่างหวงแหน ไม่ให้ดูแล้ว!
…
ภายในห้องที่มีเพียงแสงรำไร สตรีที่แปลงโฉมเป็นเฉียวเวยยืนนิ่งอยู่ด้านข้าง ตรงพื้นหน้าฉากกั้น บุรุษคนหนึ่งใช้มือขวาแตะไหล่ซ้ายแล้วคุกเข่าลงข้างหนึ่ง “ขอโทษด้วยขอรับ แผนเราล้มเหลวแล้ว”
ด้านหลังฉากกั้น มีเสียงห้าวหาญเจือแววโกรธเกรี้ยวอย่างยากจะปิดบังดังออกมา “ยอดฝีมือเป็นสิบคน แต่กระทั่งเด็กที่ยังโตไม่เต็มที่สองคนก็ยังจับตัวมาไม่ได้งั้นหรือ! พวกเจ้ากินอะไรเป็นอาหารกัน!”
บุรุษอีกคนเอ่ยเสียงต่อว่า “เดิมทีคนของพวกเราใกล้ได้ตัวมาแล้ว ทว่า…ทว่าจู่ๆ ก็มีคนใช้เพลงถอดวิญญาณเล่นงานพวกเขาขอรับ!”
ชายด้านหลังฉากกั้นเอ่ยอย่างใช้ความคิดว่า “เพลงถอดวิญญาณ? คนจากตำหนักธิดาเทพ?”
บุรุษผู้นั้นลังเล “เรื่องนี้…ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ จากข่าวที่ทางนั้นส่งมา ดูเหมือนจะเป็นบุรุษอายุประมาณยี่สิบกว่าปีขอรับ”
คนด้านหลังฉากกั้นเอ่ยโดยไม่ต้องคิดว่า “เป็นไปไม่ได้ ตำหนักธิดาเทพไร้ซึ่งบุรุษ”
บุรุษผู้นั้นนิ่งเงียบไป เพลงถอดวิญญาณ เดิมทีมีชื่อว่าจิ่วโจวลี่ว์ เป็นเพลงที่สามารถรบกวนจิตใจผู้คนได้ เป็นเพลงที่ธิดาเทพองค์แรกของตำหนักธิดาเทพแต่งขึ้น คนที่จิตใจไม่แน่วแน่หากฝึกเพลงนี้จะเข้าสู่ภาคมารได้ง่ายดาย นอกจากธิดาเทพเหล่านั้นที่จิตใจปลอดโปร่งและบำเพ็จตบะเป็นนิจแล้ว แทบจะไม่มีใครฝึกได้อีก
สตรีในห้องเอ่ยด้วยความกังวลว่า “หากเป็นเช่นนี้จะทำเช่นไรดีเจ้าคะ”
มีเสียงดังจากด้านหลังฉากกั้นว่า “เฝ้าระวังทางเข้าชนเผ่าลึกลับทุกทางไว้ให้ดี ไม่ว่าใครที่กลับเข้ามาต้องตรวจค้นโดยละเอียด!”
…
รถม้าของใต้เท้าเจ้าสำนักหยุดลงตรงแถวหน้าด่าน อาต๋าเอ่อร์ไปสอบถามดูแล้วกลับมารายงานว่า “ใต้เท้าเจ้าสำนัก ข้างหน้ามีการต่อแถวตรวจค้นอยู่ขอรับ พวกเราพาคนนอกชนเผ่ามาด้วยมากเพียงนี้ เกรงว่าจะผ่านไปไม่ได้”
ใต้เท้าเจ้าสำนักยิ้มอย่างดูแคลน “ข้าเคยเข้าตามตรอกออกตามประตูเมื่อไรกัน”
อาต๋าเอ่อร์ “…ไม่เคยขอรับ”
คณะของพวกเขาเดินอ้อมป่า แล้วเดินอย่างผึ่งผายเข้าไปด้านหลังภูเขาที่เอาต้นไม้มาช่วยพรางตาไว้