เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นได้ยินว่ากองทัพชิ่นโจวปราชัยจึงเรียกรวมกำลังพลปกป้องจิ้นหยาง เดือนสี่วันที่ยี่สิบสอง องค์หญิงจยาผิงนำไพร่พลที่เหลือหวนคืนจิ้นหยาง ประชาชนล้วนหวั่นกลัวชาวต้ายงชำระแค้นจึงหอบผู้เฒ่าจูงลูกหลานอพยพขึ้นเหนือ หนึ่งวันเดินทางสามสิบลี้ ต้วนอู๋ตี๋อดีตแม่ทัพคนโปรดของแม่ทัพหลงมีชื่อเสียงด้านการป้องกันเมืองมาตลอดจึงขันอาสาคุมท้าย ปกป้องประชาชนอพยพขึ้นเหนือ
ไท่จงยาตราทัพเข้าสู่เขตแคว้นฮั่น ได้ยินว่าเจ้าแคว้นฮั่นถอยไปป้องกันจิ้นหยางก็สรวลสั่งว่าตัดกำลังหนุนจากภายนอกก่อน ทรงปล่อยจิ้นหยางไว้แล้วอ้อมไปตีด่านโหลวฝานอย่างง่ายดาย จากนั้นตั้งค่ายอยู่ระหว่างซินโจวกับไต้โจว
…ประชุมพงศาวดาร บันทึกต้ายงเล่มที่สาม
ภายในห้องอันหรูหราแห่งหนึ่งในจวนแม่ทัพเมืองชิ่นหยวน ข้าชี้กระดาษหมากซึ่งมีหมากสีดำกับขาวอยู่เคียงข้างกัน แล้วสั่งสอนอย่างอดทน “การดวลหมากกระดานหนึ่งแบ่งออกคร่าวๆ ได้เป็นสามช่วง เปิดกระดาน กลางกระดานกับปิดกระดาน หากเปรียบเทียบกับการทำศึกสงคราม การเปิดกระดานก็คือการวบรวมกำลังพลทั้งในทางแจ้งและในทางลับของทั้งสองฝ่ายก่อนสงคราม รวมถึงการหยั่งเชิงกันและขั้นตอนการวางกำลังพล หากเปิดกระดานผิดพลาดก็จงรอคอยถูกศัตรูจับจุดอ่อน ดังนั้นการวางหมากเปิดกระดานจึงมิอาจมิรอบคอบ
ดังเช่นการบุกตีเป่ยฮั่นหนนี้ แรกเริ่มในฉากหน้ามีเพียงการสู้รบระหว่างกองทัพเจ๋อโจวของต้ายงเรากับกองทัพชิ่นโจวของเป่ยฮั่น ทว่าเป่ยฮั่นจับมือกับพันธมิตรให้หนานฉู่มาเสริมกำลัง ยุแยงให้ภายในต้ายงของพวกเราเกิดกบฏ นอกจากกองทัพชิ่นโจว ก็ยังเคลื่อนกองทัพไต้โจวมาโจมตีสายฟ้าแลบ มิอาจมิกล่าวว่าหมากเปิดกระดานล้ำลึกนัก การลงมือก็โหดเหี้ยมรุนแรง
ทว่าราชสำนักใช้ความขัดแย้งภายในของหนานฉู่ตัดกำลังเสริมจากภายนอกขุมนี้ ส่วนกบฏภายในก็หาวิธีควบคุมความเป็นไปของมันจนมิกระทบต่อสถานการณ์โดยรวม ส่วนการทำศึกอย่างเป็นทางการ นอกจากกองทัพเจ๋อโจวก็สั่งให้แม่ทัพจ่างซุนมาเป็นกองหนุนอย่างลับๆ มิว่าการวางแผนล่วงหน้า หรือการรวบรวมไพร่พลของกองทัพเราล้วนเหนือกว่าเป่ยฮั่น ดังนั้นจึงวางรากฐานของชัยชนะได้อย่างมั่นคง
ส่วนกลางกระดานก็คือกระบวนการที่ทั้งสองฝ่ายรบราสังหารกัน กล่าวได้ว่าแพ้ชนะของสงครามส่วนใหญ่ตัดสินกันตั้งแต่กลางกระดาน หนนี้กองทัพเรากับกองทัพเป่ยฮั่นสู้รบกันที่ชิ่นโจว ระหว่างการดวลหมากของทั้งสองฝ่าย หากมิระวังเพียงนิดก็คงพ่ายแพ้ย่อยยับ อานเจ๋อ ชิ่นหยวน หุบเขาชิ่นสุ่ย กองทัพเรากล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ติดต่อกันสามหน แต่เนื่องจากได้ข่าวทันท่วงที ผนวกกับองค์ชายทรงนำหน้าไพร่พล ต่อสู้คุมท้ายกองทัพอย่างยากลำบากจึงล่อกองทัพศัตรูให้เข้ามาในวงล้อมได้ หากมิใช่เช่นนี้ เกรงว่าแผนดักซุ่มที่พวกเราวางไว้คงกลายเป็นเรื่องน่าขบขันครั้งใหญ่
ส่วนการปิดกระดานคือขั้นตอนระหว่างจบสงคราม ยามนี้กองทัพเราควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้ได้แล้ว แต่หากมิทำศึกทีละก้าวอย่างมั่นคงก็ยังมีโอกาสปราชัย หรือถูกศัตรูลากให้ตกตายตามกันได้อยู่”
วันนี้เดือนสี่ วันที่ยี่สิบสาม กองทัพเราบุกตีชิ่นหยวนสำเร็จ แทนที่จะกล่าวว่าบุกยึดชิ่นหยวนได้ มิสู้กล่าวว่ากองทัพเป่ยฮั่นเป็นฝ่ายละทิ้งชิ่นหยวนเองจะถูกต้องกว่า เดือนสี่ วันที่ยี่สิบเอ็ด หลินปี้นำไพร่พลที่เหลือของกองทัพไต้โจวมารวมพลกับไพร่พลที่เหลือของชิ่นโจว จากนั้นได้ต้วนอู๋ตี๋มารับกลับชิ่นหยวน จากข่าวที่สายลับของกองทัพเราได้มา เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นออกคำสั่งให้หลินปี้ถอยทัพกลับจิ้นหยางแล้ว
นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ ยามนี้หากเป่ยฮั่นแบ่งกำลังพลกระจายกันอีก มีแต่จะถูกศัตรูตีแตกทีละแห่ง หากรวบรวมไพร่พลไว้ที่จิ้นหยาง อาจยังรักษากำลังทั้งหมดเอาไว้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น จิ้นหยางเป็นนครหลวงของแคว้นเป่ยฮั่น ชัยภูมิดียิ่งนัก หากมิอาจตีจิ้นหยางแตก แม้วันหน้าต้ายงตีเมืองชิงแผ่นดินมาได้ก็ยากจะปกครองเมืองเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้การถอยทัพจึงกลายเป็นทางเลือกเดียว
แต่กองทัพเราย่อมมิอาจปล่อยให้กองทัพศัตรูถอยทัพได้ง่ายดายเช่นนั้น ดังนั้นกองทัพหลวงจึงเริ่มรุกคืบตีกวาดจุดยุทธศาสตร์สำคัญอย่างสายฟ้าแลบทีละก้าว ในเวลาเช่นนี้ ข้ามิจำเป็นต้องติดตามกองทัพจึงรั้งอยู่ชิ่นหยวนคุมสถานการณ์ แน่นอนว่าข้ามิได้อยู่คนเดียว มีจิงฉือที่อยู่ต่อในชิ่นหยวนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ด้วย หนนี้เขาบาดเจ็บหนักยิ่งนัก แม้รักษาชีวิตไว้ได้ แต่หากไม่รักษาสักครึ่งปีก็มิอาจออกรบได้
งานในกองทัพย่อมมีผู้อื่นวุ่นวายแทน ข้ามีเวลาว่างจึงปล่อยตัวตามสบาย ลากจิงฉือมาเดินหมากเป็นเพื่อนข้า จิงฉือเป็นคนหยาบ มิสนใจหมากล้อม แต่ข้าย่อมมีหนทางทำให้เขามาเรียนอย่างว่าง่าย แล้วฉวยโอกาสสั่งสอนกลศึกให้เขาอีกเล็กน้อย มิให้เขารู้จักแต่วิธีฆ่าฟัน หากต้องการเป็นแม่ทัพผู้แบกรับภาระใหญ่หลวงได้ ตอนนี้เขายังขาดความสามารถอยู่อีกมาก
จิงฉือนั่งมองกระดานหมากอยู่บนตั่งนุ่มฝั่งตรงข้ามกับข้า ใบหน้าซีดเผือด แต่สีหน้านับว่ามิเลว เห็นข้าเล่าอย่างกระตือรือร้น เขาก็แอบหาวหวอดจนถูกข้าถลึงตาใส่หนหนึ่ง เขายิ้มแหย คิดจะทำให้เรื่องนี้ถูกปล่อยผ่านไปจึงถามขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ กองทัพของพวกเราจะปิดกระดานเช่นไร”
ข้าส่ายหน้า คิดในใจว่าสั่งสอนคนหยาบช้าไปก็ป่วยการ ข้าพูดถึงสถานการณ์ในปัจจุบันเสียดีกว่า ส่วนจะเข้าใจเท่าใดก็แล้วแต่ตัวเขาเองก็แล้วกัน
ข้าเก็บเม็ดหมากจนเหลือแต่กระดานหมากเสร็จก็สั่งให้ฮูเหยียนโซ่วนำแผนที่เป่ยฮั่นออกมากางบนกระดานหมาก หลังจากนั้นวางหมากสีขาวหลายเม็ดไว้ตรงตำแหน่งของจิ้นหยาง อธิบายว่า “ยามนี้จิ้นหยางรวบรวมกำลังพลส่วนใหญ่ของเป่ยฮั่นเอาไว้ นอกจากกองกำลังพิทักษ์เมืองหนึ่งแสนนายที่มีอยู่แต่เดิม ยังมีกำลังพลห้าหมื่นที่รวบรวมมาจากที่ต่างๆ ไพร่พลเหล่านี้มีความสามารถในการรบแตกต่างกัน แต่ยังพอทำศึกได้ กองทัพชิ่นโจวที่แตกพ่ายกลับไปยังเหลืออีกสามหมื่น ในมือต้วนอู๋ตี๋ก็ยังมีกำลังพลอีกหลายหมื่น เมื่อรวมกับกองทัพไต้โจวขององค์หญิงจยาผิง อย่างน้อยก็คงรวบรวมกำลังพลหวนคืนจิ้นหยางได้ห้าหมื่น
ตอนนี้เป่ยฮั่นรวมกำลังพลทั้งหมดของแว่นแคว้นไว้ที่จิ้นหยาง พวกเขาหวังว่าจะพิทักษ์จิ้นหยางเอาไว้ จิ้นหยางมีทหารและประชาชนเรือนล้าน กำแพงเมืองสูงคูน้ำลึก เสบียงพอเลี้ยงชีวิตได้มากกว่าหนึ่งปี แล้วยังมีทหารกล้าแม่ทัพแกร่งคุ้มกันเมือง ถ่วงเวลากองทัพเราไว้ในอาณาเขตเป่ยฮั่นได้
จิ้นหยางเป็นเมืองที่ผ่านศึกมานับร้อย หากมิอาจตีเมืองแตก ต่อให้พวกเราตีเอาแผ่นดินที่เหลือของเป่ยฮั่นมาได้ก็มิอาจครอบครองแผ่นดินของพวกเขา ดังนั้นศึกปิดกระดานนี้มิใช่เรื่องง่าย ราชสำนักต้องการชัยชนะอันเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ มิใช่ชัยชนะที่บาดเจ็บเสียหายทั้งสองฝั่ง ดังนั้นตอนนี้ก้าวแรกของการปิดกระดานของกองทัพเราก็คือลดช่องทางรอดของกองทัพศัตรู ตัดกำลังหนุนจากภายนอกของพวกเขา”
จิงฉือฟังแล้ว สายตาก็เคลื่อนไปจับที่ไต้โจวทันที จากนั้นชี้ด่านเยี่ยนเหมินแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ หลายวันก่อนมีข่าวแจ้งมาว่าพวกคนเถื่อนบุกตีด่านมิใช่หรือ ไต้โจวยังจะมีความสามารถมาช่วยจิ้นหยางได้อีกหรือ”
ข้าหัวเราะ “ตอนนี้ไต้โจวสถานการณ์ตึงเครียดอย่างยิ่ง พวกคนเถื่อนแปดเผ่ายกหวันเหยียนน่าจินขึ้นเป็นข่าน บุกตีด่านเยี่ยนเหมินอย่างรุนแรง กำลังหลักของกองทัพไต้โจวถูกหลินปี้พาออกมา เมื่อด่านเยี่ยนเหมินถูกตีแตก พวกคนเถื่อนจะบุกตรงเข้ามาปล้นสะดมอย่างไม่รู้จักขอบเขต หรืออาจจะยึดครองไต้โจวไว้ แล้วหมายตาซินโจวกับจิ้นหยาง หากไต้โจวต้านทานพวกคนเถื่อนไว้ได้ พวกเราก็ปล่อยให้พวกเขาทำไป
แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ หากสุดท้ายรักษาไต้โจวไว้มิได้ก็ย่อมต้องอพยพทหารกับประชาชนมาที่ซินโจว เมื่อเป่ยฮั่นเผชิญศึกสองด้าน กองทัพไต้โจวจะรวมตัวกับกำลังพลของจิ้นหยาง ถึงยามนั้นมิเพียงจิ้นหยางจะได้รับกำลังเสริมอันแข็งแกร่ง พวกคนเถื่อนก็จะรุกเข้ามาในอาณาเขต
น่ากลัวว่ายามนั้นผู้ที่ต้องเผชิญหน้าโดยตรงกับพวกคนเถื่อนคงกลายเป็นกองทัพของเรา หากราชสำนักเป่ยฮั่นมีคนเสนอให้ทำข้อตกลงกับพวกคนเถื่อน ใช้ทองคำแพรพรรณและแผ่นดินล่อให้พวกคนเถื่อนเป็นศัตรูกับกองทัพเรา กองทัพเราก็คงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากจริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้นกลศึกขององค์หยิงจยาผิงก็มิด้อยกว่าหลงถิงเฟย ยามนี้นางได้รับเลือกเป็นแม่ทัพใหญ่ นำกองทัพหวนคืนจิ้นหยาง หากมีนางคุมกองทัพในจิ้นหยางอยู่ คิดจะตีเอาจิ้นหยาง กล่าวได้ว่ายากเท่าเหยียบขึ้นสวรรค์”
จิงฉือมองแผนที่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “องค์หญิงจยาผิงทราบสถานการณ์ที่ไต้โจวแล้วคงเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนกลับไต้โจวกระมัง จะมีกะจิตกะใจอยู่ปกป้องจิ้นหยางได้หรือ”
ข้าหัวเราะ “ท่านคิดถึงจุดนี้ได้ก็นับว่าไม่เลว แต่ตอนนี้หลินปี้กลับไต้โจวมิได้แล้ว หลังฝ่าบาทเสด็จออกจากด่านถงกวนก็มิได้ตรงไปยังจิ้นหยาง แต่อ้อมไปยังด่านโหลวฝาน ยามนี้ไต้โจวถูกตัดขาดจากซินโจวกับจิ้นหยางแล้ว
แผนการดั้งเดิมของข้าคือให้กองทัพใหญ่เฝ้าด่านโหลวฝาน ขวางพวกคนเถื่อนไว้ที่ไต้โจว กองทัพเรานิ่งดูกองทัพไต้โจวกับพวกคนเถื่อนต่อสู้กันจนบาดเจ็บทั้งสองฝ่าย หลังจากสยบจิ้นหยางแล้ว ค่อยมาเก็บกวาดเศษซากอย่างสบายๆ ถึงยามนั้นพวกคนเถื่อนคงตีเอาเมืองไต้โจวมาได้แล้ว กองทัพเราก็ฉวยโอกาสทำลายกำลังหลักของทั้งแปดเผ่า เมื่อเป็นเช่นนี้พวกคนเถื่อนย่อมยากจะฟื้นกำลังไปอีกสิบกว่าปี ส่วนไต้โจวที่เสียหายอย่างหนักก็สะดวกในการปกครองในวันหน้า”
จิงฉือฟังแล้วหัวใจหนาวสะท้าน กล่าวขึ้นว่า “ท่านอาจารย์เหี้ยมเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้ ทหารกล้าไต้โจวไยมิใช่ตายกันหมดเกลี้ยง แม้ข้าจะถูกพวกเขาไล่ล่าจนขี้หดตดหาย แต่ข้าก็ยังนับถือองค์หญิงจยาผิงกับกองทัพไต้โจวยิ่งนัก” ในใจเขารู้สึกไม่พอใจ น้ำเสียงจึงต่างไปจากปกติเล็กน้อย หากเป็นยามปกติ เขาคงมิกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้แน่นอน
ข้าถลึงตาใส่เขา “มิลดกำลังของฝั่งศัตรู จะให้ทะเล่อทะล่าเข้าไปสู้กับศัตรูตรงๆ หรือไร”
จิงฉืออึกอักมิกล้าโต้แย้ง แต่แววตาคัดค้านอย่างชัดเจน ข้าเห็นเช่นนี้ก็ยิ้ม “ท่านมิต้องทำหน้าเช่นนี้หรอก ฝ่าบาทปฏิเสธแผนการของข้าแล้ว ฝ่าบาทมองการณ์ไกลยิ่งกว่า พวกคนเถื่อนมิอาจถูกกำจัดได้ในหนเดียว หลังจากนี้ไต้โจวยังคงเป็นด่านสำคัญที่จะสกัดพวกคนเถื่อน หากไต้โจวเสียหายอย่างหนัก ย่อมส่งผลอย่างยิ่งกับการขัดขวางพวกคนเถื่อนในวันหน้า
ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลหลินแห่งไต้โจวพิทักษ์ชายแดนมาจากรุ่นสู่รุ่น มิเคยสนใจอำนาจลาภยศ แม้นตระกูลหลินมีตำแหน่งโดดเด่นในเป่ยฮั่น แต่ได้ยินว่าในตระกูลมิมีทรัพย์สมบัติ เบี้ยหวัดของพระราชทานล้วนนำไปจุนเจือรายจ่ายในกองทัพ มิหนำซ้ำพวกเขายังมิฟังคำสั่งจากจิ้นหยางทั้งหมดอีก
แม้เจ้าแคว้นเป่ยฮั่นกับไต้โจวเกี่ยวดองผ่านการแต่งงาน แต่นอกจากหนนี้ที่เป่ยฮั่นตกอยู่ในวิกฤตล่มสลาย กองทัพไต้โจวก็มิเคยออกจากอาณาเขตมาช่วยเหลือ แม้แต่การออกศึกหนนี้ก็มิได้เป็นเพราะการเกี่ยวดองของสองตระกูล แต่เป็นเพราะราชวงศ์เป่ยฮั่นช่วยเหลือไต้โจวมาหลายปีทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกต้องตอบแทนบุญคุณ
เมื่อดูจากเรื่องนี้ ตระกูลหลินมิใช่ขุนนางภักดีของเป่ยฮั่น ความภักดีของพวกเขามีไว้ให้แผ่นดินและประชาชน มิได้มอบให้แก่ราชวงศ์ใดราชวงศ์หนึ่ง ตระกูลหลินที่เป็นเช่นนี้คือขุนนางอันบริสุทธิ์
ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงมิเพียงมิต้องการกวาดล้างตระกูลหลิน แต่ยังคิดจะปกป้องกำลังของตระกูลหลินเอาไว้ด้วย ฝ่าบาทตรัสว่าตระกูลหลินทำคุณงามความดีแก่แผ่นดินไต้โจว เป็นปราการเหล็กแห่งชายแดนเหนือ จะสั่นคลอนง่ายๆ มิได้ หากทำตามแผนของข้า มิเพียงจะน่าเสียดายตระกูลหลิน ทำลายกำแพงของตนเอง แล้วยังจะทำให้คนไต้โจวเคียดแค้นต้ายงของพวกเราเข้ากระดูกดำ มิเป็นประโยชน์ต่อการปกครองในอนาคต
ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยกล่อมตระกูลหลินให้ยอมสวามิภักดิ์ แม้แต่เชื้อพระวงศ์ของเป่ยฮั่น ฝ่าบาทก็มิคิดสังหารจนสิ้นเช่นกัน”