จิงฉือฟังแล้วก็ดีใจยิ่งนัก หลุดปากเอ่ยว่า “ข้าก็ว่าแล้ว แผนการชั่วช้าเช่นนี้ ฝ่าบาทมิมีทางใช้ ปกติฝ่าบาทโปรดปรานคนเก่งถนอมคนมีความสามารถยิ่งนัก ผู้กล้าที่จงรักภักดี พระองค์มีแต่จะให้เกียรติ หากฟาดฟันกันบนสามรบ พระองค์อาจสังหารตระกูลหลินจนหมดตระกูลได้ แต่หากจะหลอกใช้พวกคนเถื่อนจัดการตระกูลหลิน เรื่องพรรค์นั้นฝ่าบาทมิมีวันทำ”
กล่าวคำพูดท่อนนี้จบ จิงฉือก็พลันรู้สึกว่าขนหลังคอลุกชันขึ้นมากะทันหัน นึกขึ้นได้ทันทีว่าคำพูดท่อนนี้ของตนคือการด่าเจียงเจ๋อเต็มๆ จึงลอบหันไปมอง เห็นเจียงเจ๋อฉีกยิ้มแต่มิเหมือนยิ้ม ขยับเล่นเม็ดหมากในมือเหมือนมิสนใจ ทว่าจิงฉือดูอย่างไรก็รู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นมีไอสังหารแฝงอยู่ เขาขยับถอยหลังเล็กน้อยอย่างหวาดกลัว แล้วเอ่ยอึกอัก “นั่นมัน ท่านอาจารย์ ข้ามิได้ด่าท่านนะ”
ข้าหัวเราะ “ข้ามิได้ว่าท่านเสียหน่อย ท่านดู ตอนนี้ฉีอ๋องกับแม่ทัพจ่างซุนเริ่มแยกกำลังพลบุกโจมตีแล้ว ฉีอ๋องไล่ตีกองทัพชิ่นโจว ส่วนแม่ทัพจ่างซุนรับผิดชอบปราบดินแดนโดยรอบ ก่อนหน้ากองทัพเรารวมพลกันที่จิ้นหยาง ต้องกำจัดขุมกำลังที่ต่อต้านทั้งหมดของเป่ยฮั่นให้ยอบสยบ ไม่ก็ไล่ต้อนให้ไปยังจิ้นหยาง แต่ท่านคงเข้าร่วมมิได้แล้ว ผู้ใดให้ท่านเชื่อคนง่ายเช่นนี้ ปล่อยให้สายลับของพรรคมารเป่ยฮั่นมาอยู่ใกล้ตัว ทำตนเองเจ็บหนักยังมิว่า ยังปล่อยให้กองทัพเป่ยฮั่นฝ่าวงล้อมออกมาได้ห้าหกหมื่นคน
ยามวันหน้าเสร็จศึกนับความดีความชอบ คราแรกที่ท่านบุกด่านหูกวนตะลุยเข่นฆ่าสังหารผู้คนมากมายตลอดทาง แม้ในใจฝ่าบาทมิถือสาก็คงต้องลงโทษท่านให้หนักอย่างมิอาจเลี่ยง ประการที่หนึ่งเพื่อปลอบขวัญประชาชน ประการที่สองเพื่อเตือนมิให้เป็นเยี่ยงย่าง แม้ท่านคุมท้ายทัพตรากตรำสู้ศึกตลอดทางจากชิ่นหยวนจรดจี้ซื่อ แต่ถึงอย่างไรก็พ่ายแพ้มา อย่างมากที่สุดก็นับว่าได้ทำความชอบชดใช้ความผิด
น่าเสียดายจริงหนอ การล้อมสังหารกองทัพเป่ยฮั่น ความดีความชอบใหญ่หลวงเช่นนี้ ท่านกลับทำพลาดเพราะถูกลอบสังหาร ดูท่าสงครามหนนี้ท่านคงจะตรากตรำลำบากเสียเปล่า ไร้ความดีความชอบแล้ว”
จิงฉืออัดอั้นตันใจยิ่งนัก เมื่อฟังถ้อยคำที่เหมือนเสียดายแต่ความจริงประชดเสียดสีนั่นก็ยิ่งกลัดกลุ้มแต่มิกล้ามิฟัง โชคดีไม่นานเจียงเจ๋อก็หยุดเสียดสี แล้วเริ่มชี้แผนที่อธิบายต่อ จิงฉือโล่งอก เขารู้จักนิสัยของเจียงเจ๋ออยู่บ้าง ในเมื่อเขาเสียดสีตนตอนนี้แล้วก็คงไม่คิดแค้นต่อ จิงฉือจึงวางใจฟังเจียงเจ๋ออธิบายว่าจะ ‘ปิดกระดาน’ อย่างไรต่อ
ข้าใช้เม็ดหมากแสดงตำแหน่งของกองทัพฝั่งเรากับฝั่งศัตรู แล้วชี้เมืองชิ่นโจว “ชิ่นโจวเป็นเมืองเอกของชิ่นโจว จวนแม่ทัพของหลงถิงเฟยตั้งอยู่ที่นั่น ยามนี้กองทัพเป่ยฮั่นกำลังจัดกองทัพใหม่ตรงนี้ เตรียมจะล่าถอยต่อ เพื่อบีบให้กองทัพศัตรูแยกกำลังพลเพิ่ม ฉีอ๋องจึงออกคำสั่งให้คนแพร่ข่าวลือ บอกว่าเส้นทางที่กองทัพต้ายงเดินทัพผ่านหากพบเมืองจะสังหารล้างเมือง ชาวบ้านที่อยู่บนเส้นทางเดินทัพของกองทัพเราจึงล้วนแห่แหนกันไปยังเมืองชิ่นโจว
ประชาชนในชิ่นโจวคอยสนับสนุนหลงถิงเฟยยามทำศึกกับกองทัพเรามาหลายปี แต่เดิมในใจก็วิตกกังวลอยู่แล้ว เมื่อหลงถิงเฟยสิ้นใจ ความเชื่อมั่นของพวกเขาก็หมดลง ดังนั้นพวกเขาจึงพาผู้เฒ่าผู้แก่จูงลูกจูงหลานหลบหนีขึ้นเหนือ เมืองชิ่นโจวถูกชาวบ้านอพยพแห่เข้าไปจนป้องกันมิได้แม้แต่น้อย เว้นเสียแต่ว่าพวกหลินปี้จะขับไล่ประชาชนอพยพออกจากเมืองอย่างโหดเหี้ยม แต่เรื่องเช่นนี้แม่ทัพแห่งเป่ยฮั่นย่อมทำมิลง อีกทั้งหากทำลงไปคงยากจะปลอบประโลมกองทัพชิ่นโจวที่มีความผูกพันอย่างยิ่งยวดกับประชาชนชิ่นโจว ดังนั้นมิว่าจะเพราะพระบัญชา หรือเพื่อเอาชีวิตรอด กองทัพเป่ยฮั่นเลือกได้เพียงทางเดียว นั่นก็คือหวนกลับจิ้นหยาง
แต่เดิมข้าเพียงหวังว่ากองทัพเป่ยฮั่นจะสูญเสียศรัทธาจากประชาชน มิคิดว่าจะยังมีคนบ้าอยู่ ต้วนอู๋ตี๋ขันอาสาคุมท้ายขบวน ประชาชนอพยพเดินทางได้เพียงวันละไม่กี่สิบลี้ เขาก็นำกองทัพของตนที่มีไม่ถึงสองหมื่นคนเคลื่อนทัพอย่างเชื่องช้าคอยสกัดท้าย ตอนนี้น่าจะใกล้ถูกองค์ชายไล่ตามทัน แล้วท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดคนเป่ยฮั่นจึงเชื่อมั่นเช่นนั้นว่ากองทัพเราจะฆ่าล้างเมืองจริง นั่นก็เพราะว่า ฉีอ๋องให้คนชูธงของท่านนำหน้าขบวน ป่าวประกาศว่าท่านเพียงบาดเจ็บเล็กน้อย ตอนนี้หายดีกลับเข้าทัพแล้ว เตรียมตัวจะชำระแค้นสังหารล้างเมือง”
ครานี้จิงฉือเบิกตาโต มองข้าอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ข้ากลับหัวเราะดังลั่น ตอนนี้ถึงได้ระบายความแค้นเมื่อครู่ได้หมด
ผ่านไปครู่หนึ่งจิงฉือจึงเอ่ยงึมงำ “คงเป็นโชคร้ายของข้า หากให้ข้าไปฆ่าล้างเมืองเองก็ช่างเถิด นี่ดันได้แต่แบกความผิดทั้งที่มิได้ทำ”
ข้ามิเปลี่ยนสีหน้า แต่ข่มกลั้นเสียงหัวเราะ แม้เขาจะพูดเสียงเบา แต่ข้าได้ยินชัดเจนแจ่มแจ้ง ดูๆ จิงฉือน่าจะเหนื่อยแล้ว ข้าจึงให้เขาไปพักรักษาแผล ส่วนข้ากลับไปยังห้องหนังสือของตนเอง
ห้องหนังสือห้องนี้เดิมทีเป็นห้องที่ต้วนอู๋ตี๋ใช้ ภายในห้องหนังสือยังมีตำราและเอกสารที่ต้วนอู๋ตี๋มิทันขนไปทิ้งเอาไว้อยู่ แม้เขาจะเป็นแม่ทัพ แต่ก็ร่ำเรียนพงศาวดารมาแตกฉานทีเดียว ดูจากบันทึกกับบทความจำนวนหนึ่งที่เขาทิ้งเอาไว้ในห้องหนังสือ แม้ตัวอักษรจะหยาบกระด้างอยู่บ้าง แต่ก็มีความเข้าใจที่ลึกซึ้งพอสมควร
ข้าหยิบบันทึกเล่มที่เมื่อวานยังมิทันอ่านออกมาเปิดอ่าน เนื้อความกว่าครึ่งด้านในเป็นข้อคิดกับการจดข้อความยามอ่านตำรา แล้วยังมีตัวอักษรที่เหมือนจะเป็นบันทึกเรื่องราวอยู่อีกจำนวนหนึ่ง นี่เป็นหนทางที่ดีที่สุดในการจะเข้าใจคนผู้หนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการจะปิดกระดาน เขาเป็นกุญแจดอกสำคัญ ข้าพูดให้จิงฉือฟังแต่เรื่องของกองทัพเท่านั้น ยังมีอีกหลายเรื่องที่เขามิจำเป็นต้องทราบ
ต้วนอู๋ตี๋รับผิดชอบคุมท้ายขบวนหนนี้ ในมือเขามีตัวประกันสำคัญคนหนึ่งก็คือเซวียนซง ข้าได้ข่าวจากเสี่ยวซุ่นจื่อกับซูชิงแล้ว ทราบมาว่าเซวียนซงยังมีชีวิตอยู่ แต่บาดเจ็บและถูกคุมตัวไว้ แม้จะหาคนพบแล้ว ทว่าแม้เสี่ยวซุ่นจื่อเก่งกาจอีกเท่าใดก็ไร้หนทางฝ่าวงล้อมแน่นหนาไปช่วยเซวียนซงออกมา แม้ซูชิงจะมีร้อยพันเล่ห์กล แต่ชิ่นหยวนถูกต้วนอู๋ตี๋ควบคุมไว้ดั่งปราการเหล็ก มิต้องพูดถึงการช่วยเซวียนซง แม้แต่คิดจะติดต่อเขาก็ต้องเปลืองกำลังมากมายอักโข โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากหลินปี้เข้ามาในชิ่นหยวน เรื่องช่วยคนก็เลิกคิดไปได้เลย
เดิมทีเสี่ยวซุ่นจื่อกับซูชิงเริ่มคิดจะยอมแพ้แล้ว แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าหลังจากกองทัพเป่ยฮั่นล่าถอยมาถึงเมืองชิ่นโจว วันต่อมาหลินปี้นำทัพยกพลขึ้นเหนือไปยังจิ้นหยาง ต้วนอู๋ตี๋กลับขออาสาคุมท้ายขบวน แล้วยังแอบเก็บตัวเซวียนซงเอาไว้
หากจะพูดไปแล้วก็บังเอิญยิ่งนัก เรื่องที่เซวียนซงถูกจับเป็นเชลยมีคนล่วงรู้ไม่มาก คนที่รู้นอกจากหลินปี้ เซียวถงกับต้วนอู๋ตี๋ก็แทบจะตายอยู่ที่จี้ซื่อหมดแล้ว ดังนั้นหลังจากได้รับการอนุญาตกลายๆ จากหลินปี้ เซวียนซงจึงถูกต้วนอู๋ตี๋ใช้เป็นตัวประกัน พอทราบข่าวนี้ ข้าย่อมเดาเจตนาของต้วนอู่ตี๋ออก เขาคงหวังจะใช้เซวียนซงต่อรองแลกเงื่อนไขบางประการ แต่คิดว่าเขาคงมิขอมากเกินไปนัก ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็ตระเตรียมแผนการไว้เรียบร้อยก่อนแล้ว มิมีทางปล่อยให้เขาเอาเปรียบเป็นอันขาด หนนี้ต้วนอู๋ตี๋ถูกลิขิตให้มิมีโอกาสหวนคืนจิ้นหยางแล้ว
สงครามเป่ยฮั่นฝั่งนี้ผลการศึกเริ่มเห็นชัดแล้ว การปิดกระดานที่ว่ามิได้หมายถึงที่นี่เท่านั้น หลายวันก่อนข้าส่งสารไปยังฝั่งตงไห่ ให้พวกเขาปล่อยชิวอวี้เฟย เมื่อชิวอวี้เฟยกลับมาถึงเป่ยฮั่น ผลการศึกคงแน่นอนแล้ว ข้าจะใช้เขาเจรจากับพรรคมาร คนกลางชั้นดีเช่นนี้ ข้าจะมิใช้ได้อย่างไรเล่า มิฉะนั้นตอนแรกข้าไยต้องสิ้นเปลืองความคิดเก็บชีวิตเขาเอาไว้
ข้าย่อมมิมีทางปล่อยให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายเพียงเพราะเสียดายคนมีฝีมือคนหนึ่ง หากมิใช่ว่าข้ามีจุดที่ใช้ประโยชน์จากเขาได้ ข้าจะปล่อยความรู้สึกของตนผูกมิตรเป็นสหายกับเขาหรือ แล้วก็ตงชวนก็น่าจะสงบแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ข้าพลันย่างเท้ามาหน้ากระดานหมากริมหน้าต่างที่เล่นค้างไว้ จากนั้นวางหมากเม็ดหนึ่งลงบนมุมฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของกระดานหมากอย่างแผ่วเบา หมากเดียวกำหนดแพ้ชนะ นับจากนี้ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้จะมิมีเภทภัย มิทราบว่าความรู้สึกของคนยามร่วงตกลงมาจากจุดสูงสุดจะเป็นเช่นไร
ข้าลอบยิ้มร้ายนิดๆ มิทราบอย่างสิ้นเชิงว่าฮูเหยียนโซ่วผู้ยืนอารักขาอยู่นอกห้องหนังสือตัวสั่นสะท้าน ในใจคิดว่ามิรู้ผู้ใดกำลังจะโชคร้ายอีกแล้ว
ในเมืองหนานเจิ้งเวลานี้ พระราชวังของอดีตเจ้าแคว้นสู่ หรืออดีตจวนของชิ่งอ๋อง ตอนนี้ได้กลายเป็นพระราชวังแคว้นสู่ที่เพิ่งฟื้น ‘แว่นแคว้น’ กลับมาใหม่ เมิ่งซวี่เจ้าแคว้นสู่คนใหม่เป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เขากำลังเล่นสนุกอยู่ท่ามกลางการดูแลของเสด็จแม่และเหล่าขันทีกับนางข้าหลวงกลุ่มหนึ่ง ชีซื่อไทเฮาของแคว้นสู่องค์ปัจจุบันเป็นเพียงสตรีสาวอายุยี่สิบกว่าปีคนหนึ่ง ในอดีตนางเป็นหญิงรับใช้ของฮูหยินจินเหลียน ด้วยเหตุนี้จึงมีโอกาสได้รับความโปรดปรานจากเจ้าแคว้นสู่ หลังจากตั้งครรภ์ก็ยังมิทันได้รับแต่งตั้งเป็นสนม
หากแคว้นสู่ยังมิล่ม อย่างมากที่สุดนางก็เป็นได้เพียงนางสนมธรรมดาๆ คนหนึ่งในวังหลังเท่านั้น บุตรของนางก็คงเป็นองค์ชายน้อยฐานะต้อยต่ำคนหนึ่งเท่านั้น แต่วันนี้นางกลับกลายเป็นธงสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูแว่นแคว้นของอดีตขุนนางแคว้นสู่ แต่มิว่าเรื่องนี้จะเป็นโชคดีหรือโชคร้าย สำหรับพวกนางแม่ลูก นางก็ล้วนเป็นเพียงหุ่นเชิดที่มิอาจเป็นนายตนเอง ดังนั้นแม้สูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮา นางกลับยังคงมีสีหน้ากลัดกลุ้ม มีเพียงยามเห็นท่าทางน่ารักไร้เดียงสาของบุตรรักเท่านั้นจึงจะทำให้รอยยิ้มจางๆ ปรากฏออกมาเป็นบางครั้งได้