บทที่ 708 เจ้าเด็กน่ารักทั้งสอง (1)
ยามรัตติกาล กู้เฉิงเฟิงมาเยือนหา
เขาอยู่ว่างๆ จึงได้มาหา ช่วงห้าวันที่กู้เจียวกับกู้เหยี่ยนค้างที่ตำหนักกั๋วซือเขาก็มาหาถึงสามครา เพียงแต่มาเสียเที่ยวเท่านั้น
ในที่สุดคืนนี้ก็ได้เจอเสียที
คนที่บ้านต่างพักผ่อนกันหมดแล้ว ประตูก็ลงกลอนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงปีนกำแพงเข้ามา เกือบจะโดนกู้เจียวใช้ทวนแทงตายเสียแล้ว
กู้เฉิงเฟิงมองทวนพู่แดงที่จ่ออยู่หน้าอกตัวเองไปครึ่งชุ่น ก่อนกลืนน้ำลายเอือกพลางเอ่ย “ไม่กระมัง ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าไม่หลับไม่นอนรึ”
กู้เจียวเก็บทวนคืน แล้วเดินกลับไปที่ห้องโถงก่อนเอ่ยเสียงนิ่ง “ดึกปานนี้แล้ว เจ้ามาได้อย่างไร”
“เจ้าคิดว่าข้าอยากมารึ” กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงฮึดฮัด ลูบแผ่นอกที่เต้นกระหน่ำจนแทบระเบิดป้อยๆ ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขามองบรรดาห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ ก่อนกระซิบเสียงแผ่วเบา “หลับกันหมดแล้วรึ ไยจึงนอนไวนัก โรงละครเพิ่งจะเปิดเอง”
กู้เจียวนั่งลงบนเก้าอี้ข้างโต๊ะแปดเซียน “แล้วเจ้าก็ยังจะมา”
“ใช่ว่าข้าต้องขึ้นเวทีทุกวันเสียหน่อย” หากขึ้นเวทีทุกวัน เนื้อเรื่องคืบหน้าไปไว เขาก็ไม่มีอะไรให้ร้องกันพอดี
เฮ้อ นึกเสียใจขึ้นมาแล้วที่ตอนนั้นไม่อ่านพวกนิยายที่จี้จิ่วอาวุโสแต่งให้มากๆ หน่อย
เมื่อถึงคราวต้องใช้จึงมาเสียใจที่มีความรู้ประดับหัวน้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้แล้ว
“การผ่าตัดของกู้เหยี่ยนราบรื่นหรือไม่” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยพลางนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับกู้เจียว ก่อนวางมาดจริงจังถาม “ขอบอกไว้ก่อนว่าข้าไม่ได้สนใจ ข้าแค่ช่วยถามแทนเซียวเหิงก็เท่านั้น”
“ราบรื่นดี” กู้เจียวบอก
“จริงรึ” กู้เฉิงเฟิงดวงตาเป็นประกาย
กู้เจียวคิดในใจ ไหนว่าไม่สนใจมิใช่รึ
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า “เจ้าไปดูเอาเองสิ แต่ตอนนี้เขาน่าจะหลับไปแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงแววตาเป็นประกาย เขายกกาน้ำชาขึ้นมาเทน้ำชาให้ตัวเองถ้วยหนึ่ง ก่อนยกขึ้นดื่มแล้วเอ่ย “มะ…มีอะไรน่าดูกัน”
แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่แววตากลับพยายามชำเลืองไปมองห้องของกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่น
กู้เจียวเอ่ย “ทางสามีข้ามีข่าวมาบ้างหรือไม่”
กู้เฉิงเฟิงแค่นเสียงเอ่ย “จะไปมีข่าวอะไรได้ ถูกคนตระกูลหันจับตาดูอยู่ขนาดนั้น เขาระมัดระวังตัวมาก หมู่นี้แทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย”
โชคดีที่มีนกอินทรีไว้ส่งข่าวให้พวกนางได้
กู้เฉิงเฟิงถาม “เช่นนั้นต่อไปนี้กู้เหยี่ยนจะไม่อาการกำเริบอีกแล้วกระมัง รักษาหายแล้วจริงๆ ใช่หรือไม่”
กู้เจียวเอ่ย “น่าจะไม่กำเริบแล้วล่ะ”
กู้เฉิงเฟิงชะงัก “น่าจะรึ หมายความว่าอย่างไร”
กู้เจียวเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ในฐานะที่ข้าเป็นหมอ พูดจาต้องระมัดระวัง”
กู้เฉิงเฟิง “…”
“คราก่อนกู้เสี่ยวซุ่นบอกว่าอยากกินขนมที่โรงละครของพวกเรา ข้าเอามาด้วย ข้าจะเอาเข้าไปให้เขาแล้วกัน!”
เขาเอ่ยจบก็ลุกขึ้น เดินเข้าไปในห้องของกู้เหยี่ยนกับกู้เสี่ยวซุ่นอย่างไม่สะทกสะท้าน
อากาศร้อนอบอ้าว หน้าต่างกับประตูจึงเปิดอ้าไว้ เดิมทีในบ้านจุดกำยานไล่ยุงเอาไว้ แต่กู้เหยี่ยนได้กลิ่นแล้วนอนไม่หลับ พวกนางจึงครอบแค่มุ้งอย่างเดียว
พอกู้เฉิงเฟิงเข้ามาในห้องท่าทางเขาก็เปลี่ยนทันที เขาย่องเบาเดินมาหยุดข้างเตียง มือหนึ่งถือกล่องขนม อีกมือค่อยๆ คลายไม้หนีบบนมุ้งออกอย่างเบามือ ชะโงกศีรษะตัวเองเข้าไปในช่องมุ้ง
จากนั้นเขาก็เห็นดวงหน้าหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา ผมจุกน้อยบนศีรษะกระดกงอนขึ้น ดวงตาคู่นั้นกลับสุขุมระคนเคร่งขรึม
กู้เฉิงเฟิงส่งเสียงอ๊ะขึ้น พร้อมกับล้มก้นจ้ำเบ้ากับพื้น
ตกอกตกใจหมดเลย
เลิกมุ้งเปิดมาเห็นหัวคนเช่นนี้ มันเหมือนกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น!
“เจ้าหลับแล้วมิใช่รึ!” กู้เฉิงเฟิงลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนกางเกงพลางเอ่ย
ยามนี้ถึงคราวกู้เหยี่ยนที่ยื่นศีรษะออกมาจากมุ้งบ้างแล้ว มือเขาจับมุ้งไว้แน่น ไม่เช่นนั้นยุงจะบินเข้ามา
เห็นแบบนี้แล้วยิ่งน่าสยองไปกันใหญ่
เหมือนกับมุ้งมีหัวติดอยู่ แสงจันทร์ขาวผ่องเพียงนี้ สาดส่องคนให้เป็นเงาตะคุ่ม
หากมิใช่เพราะกู้เหยี่ยนหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู กู้เฉิงเฟิงคงทำตามสัญชาตญาณในการเอาชีวิตรอดโดยการยันเข้าให้แล้ว
กู้เหยี่ยนเอ่ยอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ “ข้านอนไปแล้ว แต่ข้านอนไม่หลับ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
กู้เหยี่ยนสังเกตเห็นกล่องในมือเขาแล้ว เมื่อครู่นี้เขาล้มลงไปแต่ประคองกล่องไว้ไม่ให้หก ถือมันไว้อย่างระมัดระวังตลอด กู้เหยี่ยนจึงอดถามไม่ได้ “ในกล่องมีอะไรหรือ”
“ขนม! ซื้อมาให้กู้เสี่ยวซุ่นน่ะ!” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยจบอย่างไม่ใคร่ใส่ใจ ก่อนจะยื่นกล่องไปให้
กู้เหยี่ยนไม่รับ แต่เอ่ยแทน “ยุงมันเยอะ เปิดให้ข้าดูหน่อย”
กู้เฉิงเฟิงเปิดกล่องออก เผยให้เห็นขนมอบกรอบอันประณีตยั่วน้ำลายเต็มกล่อง
“กู้เสี่ยวซุ่นไม่ชอบกินอันนี้” กู้เหยี่ยนบอก
กู้เฉิงเฟิงกระแอมในลำคอพลางเอ่ยนิ่งๆ “หากเขาไม่ชอบ เจ้าก็เอาไปกินก็สิ้นเรื่องแล้ว”
กู้เหยี่ยนเอ่ย “แต่ข้าก็ไม่ชอบกินเหมือนกัน”
กู้เฉิงเฟิงพลันเดือดดาลขึ้นมา “ไหนคราก่อนเจ้าบอกว่าเจ้าชอบกินขนมอบกรอบมิใช่หรือไร! เจ้ารู้หรือไม่ว่าโรงละครไม่ได้ทำขนมนี่มาแปดร้อยปีแล้ว! ข้าวิ่งไปตั้งไกลถึงได้เชิญพ่อครัวเขากลับมาได้!”
“อ๋อ” กู้เหยี่ยนโคลงศีรษะพลางเอ่ย “สรุปแล้วเอามาให้ข้าหรือนี่”
เขาเน้นคำว่า ‘ข้า’
กู้เฉิงเฟิงเกือบสำลักตาย
เจ้าเด็กหน้าเหม็น…มีใครเขาหยั่งเชิงพี่ชายแท้ๆ อย่างเจ้าบ้าง
ไหนว่าเรียนหนังสือมาน้อย ไม่มีความรู้ความสามารถมิใช่หรือไร
เจ้าเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้จะขึ้นสวรรค์ไปเป็นเซียนหรือไร!
“เช่นนั้นเจ้าป้อนข้าหน่อย”
“เจ้าไม่มีมือหรือไร”
“ยุงมันจะบินเข้ามา”
“ข้าไม่มีทางป้อนเจ้าเด็ดขาด! จะกินก็กินเอง! ข้าไปแล้ว!”
…
“เฮ้ย ไหนว่าป้อนคำเดียวอย่างไรเล่า เจ้ากินไปสามคำแล้วนะ!”
“ชู่ อย่าเสียงดัง พี่ข้าได้ยินจะไม่ให้ข้ากินเอานะ”
กู้เฉิงเฟิง “…”
…
ท่านชายใหญ่หันได้รับราชโองการลับเรียกตัวเข้าจวนไท่จื่อในยามวิกาล
ตระกูลหันเป็นตระกูลทางมารดาของไท่จื่อ ท่านชายใหญ่หันไปเยือนจวนไท่จื่อจึงไม่ต้องปกปิด
เว้นเสียแต่ว่ามีธุระด่วน
หรือหากจะว่ากันตามตรงหน่อยก็คือเรื่องที่น่าละอายบอกใครไม่ได้
ท่านชายใหญ่หันเข้าพบไท่จื่อที่ห้องหนังสือของไท่จื่อ ไท่จื่อนั่งอยู่หลังโต๊ะหนังสือ ประตูหน้าต่างแง้มไว้ ภายในห้องจุดกำยานไล่ยุงเอาไว้ ซึ่งทำโดยคนของตำหนักกั๋วซือ
กำยานชนิดนี้มีทั้งหมดสามระดับ มีเพียงราชวงศ์ที่มีสิทธิ์ใช้กำยานระดับสูงที่สุดได้
ไม่รมคน แต่รมยุง
ท่านชายใหญ่หันประสานมือคำนับ “หันเย่คารวะองค์ไท่จื่อ”
ไท่จื่อยกมือขึ้นนิ่งๆ
หันเย่จึงได้มองเห็นพระพักตร์อันเหนื่อยล้าของไท่จื่อชัดๆ “หมู่นี้ไท่จื่อมีเรื่องกลุ้มพระทัยอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หากไม่ใช่เรื่องกวนพระทัยใหญ่โตก็คงไม่ถึงขั้นเรียกตัวเขาเข้าจวนมาหากลางดึกกลางดื่นเช่นนี้หรอก
ไท่จื่อทอดถอนใจพลางตรัส “ที่ข้าเรียกเจ้ามาหากลางดึกกลางดื่นก็เพราะอยากคุยเรื่องหนานกงลี่ เจ้านั่งสิ”
“หันเย่มิบังอาจ” หันเย่ประสานมือ
“ช่างเถิด” ไท่จื่อไม่ได้ทู่ซี้หันเย่ ตรัสด้วยสีพระพักตร์ซับซ้อน “ข้า รู้ว่าหนานกงลี่ตายอย่างไร”
หันเย่ตกใจ “ไท่จื่อทรงทราบหรือ เช่นนั้นไยไท่จื่อ…”
ไท่จื่อตรัส “ไยไม่บอกศาลต้าหลี่กับกรมยุติธรรมใช่หรือไม่” ไท่จื่อตรัส “ข้ามีความลำบากใจที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ยได้”
หันเย่เอ่ยเสียงขรึม “หันเย่ยินดีแบ่งเบาท่าน!”