บทที่ 708 เจ้าเด็กน่ารักทั้งสอง (2)
ไท่จื่อถอนหายใจยาวเหยียด “เรื่องที่เมื่อหลายเดือนก่อนหนานกงลี่ไปแคว้นเจา เจ้าคงได้ยินมาบ้างแล้ว”
หันเย่ไม่ได้เอ่ยคำใด
ไท่จื่อตรัส “ถูกต้อง ข้าเป็นคนให้เขาไปเอง เรื่องนี้อันตรายเกินไป ข้าไม่อยากดึงตระกูลหันมาเกี่ยวด้วย จึงไปหาตระกูลหนานกงแทน”
ถ้อยคำดังกล่าวกำลังอธิบายว่าพระองค์ไม่ได้ไว้วางใจตระกูลหนานกงลี่มากกว่า แต่เรื่องนี้มันอันตรายเกินไปก็เท่านั้น
ส่วนหันเย่จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
ไท่จื่อเล่าต่อ “หนานกงลี่ไปลอบสังหารคนผู้หนึ่ง แต่น่าเสียดายที่ล้มเหลว ซ้ำยังโดนฟันแขนขาดมาด้วย”
นึกไม่ถึงว่าการไปลอบสังหารคนผู้หนึ่งที่แคว้นเบื้องล่างจะคว้าน้ำเหลวมา
หันเย่ฉงน “คนที่เขาไปลอบสังหารคือ…”
“เซียวลิ่วหลัง”
หันเย่ตกใจยกใหญ่
ครู่ต่อมาเขาก็ถาม “ไยไท่จื่อต้องฆ่าเซียวลิ่วหลังด้วย”
“เพราะเขาเป็น…” ไท่จื่อจับพู่กันเขียนบางอย่างบนกระดาษ
หันเย่รู้สึกว่ามีบางอย่างปะทุจากก้นบึ้งหัวใจเขา “เป็นไปได้อย่างไร…เขาจะเป็น…”
ไท่จื่อตรัส “ดังนั้นเจ้าเข้าใจหรือยังว่าเหตุใดข้าจึงต้องฆ่าเขา”
ดวงใจหันเย่เกิดคลื่นกระเพื่อมสั่นไหวอย่างรุนแรง เรื่องนี้น่าตกใจกว่าการที่ล่วงรู้ว่าตัวเองสูญเสียม้าเฮยเฟิงไปเสียอีก
เขานึกบางอย่างขึ้นมาได้ วันที่หนานกงลี่โดนทำร้าย มือตีคลีของสำนักบัณฑิตเทียนฉงก็เข้าวังมาเข้าเฝ้าฝ่าบาทพอดี
เขาจึงถาม “หนานกงลี่แอบเข้าวังมาเพราะจะมาขัดขวางไม่ให้เซียวลิ่วหลังเข้าเฝ้าองค์กษัตริย์ใช่หรือไม่”
ไท่จื่อตรัส “น่าจะใช่ ข้าก็เพิ่งมาได้ยินทีหลังว่าคนของสำนักบัณฑิตเทียนฉงเข้าวังเช่นกัน หนึ่งในนั้นมีเซียวลิ่วหลังด้วย”
ก่อนวันเกิดเหตุหนึ่งวันหนานกงลี่บอกกับไท่จื่อว่าเขาเจอเซียวลิ่วหลังบนถนนใหญ่ ไท่จื่อให้เขาไปตามหาคนผู้นั้น วันรุ่งขึ้นหนานกงลี่ก็หาตัวเจอจริงๆ เพียงแต่ยังไม่ทันได้ทูลไท่จื่อ ก็เข้าวังไปลอบสังหารเซียวลิ่วหลังก่อน
สุดท้ายก็มาตายในวังหลวง
หันเย่เอ่ยขึ้นอีก “เช่นนั้นเขาก็โดนเซียวลิ่วหลังฆ่าตายเช่นกันรึ”
ไท่จื่อส่ายหน้า “เซียวลิ่วหลังไม่มีวรยุทธ์ ข้าเดาว่าเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายองค์หญิงที่สังหารหนานกงลี่”
ที่ไท่จื่อคาดเดาเช่นนี้ เป็นเพราะว่าองครักษ์เสื้อแพรที่พระองค์ส่งไปลอบสังหารองค์หญิงล้วนตายหมด หากบอกว่าข้างกายองค์หญิงไม่มียอดฝีมือเก่งกาจสักคน พระองค์ไม่มีทางเชื่อ
หันเย่เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียวลิ่วหลังมีวรยุทธ์นะพ่ะย่ะค่ะ วันนี้กระหม่อมเพิ่งประมือกับเขามา”
ไท่จื่อคล้ายคิดบางอย่างอยู่พลางเอ่ย “แปลก หนานกงลี่บอกข้าว่าเซียวลิ่วหลังเป็นบัณฑิตอ่อนแอ ไร้พละกำลัง ตอนนั้นเขาจับตัวเซียวลิ่วหลังมาได้อย่างสบายๆ เลย”
หันเย่ขมวดคิ้ว “หนานกงลี่จับผิดตัวหรือไม่ วรยุทธ์ของเซียวลิ่วหลังไม่ใช่ไก่กา อาจารย์ข้าฉีเซวียนก็เคยประมือกับเขามาก่อน ชื่นชมเขาว่าอีกหลายปีข้างหน้าวรยุทธ์เขาอาจจะเทียบเทียมข้าได้”
ไท่จื่ออย่างไรเสียก็ไม่ได้โง่ เพียงไม่นานพระองค์ก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่างได้ จึงถาม “เซียวลิ่วหลังที่ประมือกับเจ้า หน้าตาเป็นเช่นไร”
หันเย่ทูล “ไท่จื่อ ขอยืมกระดาษกับพู่กันได้หรือไม่”
ไท่จื่อพยักหน้าให้เขาใช้ได้ตามสบาย
หันเย่ฝีมือวาดภาพไม่เลว เพียงครู่เดียวก็วาดรูปเหมือนของเซียวลิ่วหลังเสร็จแล้ว
ปานบนใบหน้าด้านซ้ายของเซียวลิ่วหลังเป็นลักษณะเด่นมาก ไท่จื่อแทบจะจำได้ในปราดเดียว “เขาน่ะรึ”
หันเย่ทูล “เขาน่ะสิพ่ะย่ะค่ะ เขาก็คือเซียวลิ่วหลัง”
ไท่จื่อตรัส “ข้าหมายถึงว่าเขาคือมือตีคลีคนนั้น ข้าเคยเจอเขา แต่อยู่สำนักบัณฑิตไหนข้าไม่ได้ใส่ใจนัก ข้าจำได้แค่ว่าตอนนั้นสำนักบัณฑิตที่พวกเขาแข่งด้วยคือสำนักบัณฑิตของเช่อเอ๋อร์กับม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน”
หันเย่ทูล “นั่นคือสำนักบัณฑิตเทียนฉง!”
ไท่จื่อสีพระพักตร์พลันเปลี่ยน “ว่าอย่างไรนะ”
ตอนนั้นไท่จื่อไม่ได้สนพระทัยกับมือตีคลีคนนี้เท่าใดนัก จึงไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามอีกฝ่าย
หากได้ถาม หนานกงลี่อาจจะไม่ต้องตายก็ได้
หนานกงลี่นึกว่าคนที่อยู่สำนักบัณฑิตเทียนฉงคือเซียวลิ่วหลังตัวจริง จึงได้ไปขัดขวางไม่ให้เขาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่ในเมื่อเป็นตัวปลอม ต่อให้พระองค์เห็นเขาก็ไม่เป็นไร
ไท่จื่อกำหมัดทุบโต๊ะ “น่าชังนัก!”
มีคนสวมรอยเป็นเซียวลิ่วหลังแล้ว เช่นนั้นเซียวลิ่วหลังตัวจริงอยู่ที่ไหน
หันเย่ก็ไม่ใช่คนโง่ เขานึกถึงจุดสำคัญขึ้นมาได้ จึงรีบถาม “ไท่จื่อ เซียวลิ่วหลังที่อยู่สำนักบัณฑิตเทียนฉงเป็นตัวปลอมอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นคนที่ท่านต้องการสังหารคือใครกันแน่”
ไท่จื่อหยิบรูปเหมือนออกมาจากชั้นหนังสือ ก่อนชี้บุรุษรูปงามดุจหยกในรูป “เขา”
หันเย่เป็นบุรุษ ย่อมไม่มีทางสนใจว่าบุรุษคนหนึ่งจะหน้าตาเป็นอย่างไร แต่เขาก็ยังตื่นตะลึงอยู่ดี
ท่าทางและรูปลักษณ์แบบนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่ามู่ชิงเฉินเลย
ไท่จื่อตรัสเสียงเย็น “เดิมทีคิดว่าสืบเจอแล้วว่าเขาอยู่ที่ไหน ยามนี้เรื่องมันย้อนกลับมาที่จุดเริ่มต้นอีกแล้ว เขาอยู่ในที่ลับ ไม่รู้เลยว่าใช้ตัวตนใดหลบซ่อนอยู่ในเมืองชั้นใน”
หันเย่จดจำบุรุษในภาพเหมือนไว้อย่างละเอียด “หันเย่ทราบแล้วว่าควรทำเช่นไร”
ไท่จื่อแววเนตรเย็นเยียบตรัส “ไม่ว่าต้องแลกกับสิ่งใด ก็ห้ามให้เขาได้พบฮ่องเต้โดยเด็ดขาด!”
หันเย่ประสานมือคำนับ “หันเย่รับบัญชาพ่ะย่ะค่ะ!”
…
หันเย่ออกมาจากจวนไท่จื่อ หว่างคิ้วเผยความไม่แยแสออกมา
“หนานกงลี่ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมสองคน ยามนี้ดูท่าเจ้าจะตายอย่างสาสมแล้ว เจ้ามันตายเพราะโง่ พวกเราตระกูลหันจัดการเรื่องราวอย่างชาญฉลาดกว่าเจ้า! สิ่งที่เจ้าทำให้ไท่จื่อไม่ได้ ก็ให้ข้าจัดการแล้วกัน เจ้าตั้งใจดูจากนรกล่ะ ว่าตระกูลหนานกงลี่ของพวกเจ้ามันห่างชั้นกันเพียงใดกับตระกูลหัน!”
…
อรุณเบิกฟ้า เสี่ยวจิ้งคงถูกเซียวเหิงดึงออกมาจากรังผ้าห่ม
เมื่อคืนเสี่ยวจิ้งคงลองหนีไปหากู้เจียวอีกหน สุดท้ายโดนกู้เหยี่ยนไล่กลับมา เขาโกรธมากจนไม่ยอมนอน แม้จะยืนหยัดได้ไม่ถึงสามวินาทีก็ตาม
ทว่าเขาที่เจอกู้เจียวไม่ได้ ก็เป็นตุ๊กตาน้อยไร้ชีวิต
เขาแปรงฟันด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนจะล้างหน้าน้อยๆ อย่างไร้กะจิตกะใจ แล้วก็เปลี่ยนเป็นเครื่องแบบสำนักบัณฑิตด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กินอะไรนิดหน่อยเสร็จก็ถูกพี่เขยนิสัยไม่ดีจูงไปส่งที่สำนักบัณฑิตหลิงโป
เขาเป็นบัณฑิตที่อายุน้อยที่สุดในห้อง นั่งอยู่แถวแรกตรงกลางเพียงลำพัง
แต่เมื่อเขาเข้ามาในห้องกลับพบว่าที่นั่งข้างๆ มีเด็กน้อยเพิ่มมาอีกคน
ดูๆ แล้วจะเด็กกว่าเขาด้วย
สวมเครื่องแบบของห้องเด็กอัจฉริยะของสำนักบัณฑิตหลิงโป ถักเปียน้อยๆ น่ารักๆ เอาไว้เส้นหนึ่ง
เสี่ยวจิ้งคงผู้ไร้ชีวิตชีวาตกใจ ดวงตาเบิกกว้าง
เรียนมาตั้งนาน เป็นครั้งแรกที่เห็นบัณฑิตที่เด็กกว่าเขา!
อ่อนปวกเปียกเช่นนี้ แค่ดูก็รู้ว่ารังแกง่าย
อยากดึงเปียน้อยๆ นั่นของเขานัก!
“เจ้าเป็นใคร” เสี่ยวจิ้งคงถาม
“อืม ข้าคือ ข้าคือ…” นางจิ้มนิ้วไปมาพลางเอ่ยด้วยเสียงเด็กเล็ก “ข้าคือเสี่ยวเสวี่ย”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “เสี่ยวเสวี่ยหรือ นี่มันชื่อผู้หญิงนี่”
ท่านหญิงน้อยเอ่ย “กะ…ก็ข้าเป็นผู้หญิงนี่”
ท่านหญิงน้อยที่ชินกับการเป็นผู้อาวุโสกว่าซึ่งมีประสบการณ์มากมายสุดจะเปรียบกับการเข้าหาผู้ใหญ่ แต่แทบจะไม่เคยได้เล่นกับเด็กรุ่นเดียวกันเลย นางจึงค่อนข้างตื่นเต้นทำอะไรไม่ถูก
เสี่ยวจิ้งคงที่มีตัวอย่างอย่างกู้เจียวนั้นมีแนวโน้มยอมรับกับเรื่องผู้หญิงปลอมตัวเป็นชายมาเรียนได้มากสุดๆ เขาจึงแนะนำตัวเองอย่างใจกว้าง “ข้าชื่อจิ้งคง เจ้ามาเรียนวันแรกหรือ”
ท่านหญิงน้อยส่ายหน้าอย่างน่ารักน่าชัง “ไม่ใช่ อาจารย์ที่บ้านสอนไม่ดี ท่านลุงข้าจึงให้ข้ามาเรียนที่นี่”
เสี่ยวจิ้งคงวางกระเป๋าหนังสือลงบนโต๊ะ นั่งลงที่นั่งข้างๆ นาง ก่อนเอ่ย “ลุงของเจ้าสายตากว้างไกลทีเดียว”
“พอทำเนานะ” ท่านหญิงน้อยเอ่ย “แต่อาจารย์ที่เขาเลือกมาให้ที่บ้านใช้ไม่ได้เลย สอนแล้วข้าไม่เข้าใจ อีกเดี๋ยวลุงข้าจะมารับด้วย”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “พี่เขยข้า…พี่สาวข้าอีกเดี๋ยวก็จะมารับเหมือนกัน”